ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 42 ผนังใจ
บทที่ 42 ผนังใจ
ฝ่อออ !!!
เสียงเพรียกพลังจิตดุดันเป็นสัญญาณเริ่มต้นโจมตี
“ออกไปจากที่นี่ !” ซูเฉินตะโกน
หากเป็นอสูรกายอื่น ซูเฉินกับคนอื่นก็คงสู้ได้
แต่ตอนนี้คนทั้งหมดกำลังเผชิญหน้าอยู่กับแมลงพลังจิตฝูงใหญ่
แม้เสียงกรีดร้องจะเป็นเพียงการโจมตีธรรมดา แต่ไม่รู้ว่ามีแมลงจำนวนกี่ตัวกันแน่ ไม่อาจรู้เลยว่าการโจมตีจิตจะทบเท่าทวีคูณไปถึงไหน
พลังจิตของซูเฉินทรงพลังกว่าคนอื่นมาก ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่รู้ว่ามีแมลงนับพันกำลังพุ่งเข้ามา ทั้งยังมีพวกที่กำลังมาอีก
หากยังรั้งอยู่ที่นี่ ตัวเขาอาจไม่เป็นไร แต่คนอื่นอาจตายได้
ซูเฉินจึงตัดสินใจ
หนี !
เมื่อได้ยินคำสั่งซูเฉิน คนอื่นจึงรู้ว่าตกอยู่ในอันตรายแล้วหันหลังหนีทันที
แต่พวกแมลงก็ไม่เชื่องช้าเช่นกัน
พวกมันรุดหน้าเข้ามาเรื่อย ๆ ซูเฉินไม่บอกทุกคนก็รู้ว่ามีการโจมตีติดตามมาจากพวกมันที่อยู่ด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมแมลงพวกนี้ถึงรวดเร็วกว่าเราได้ ?” หลี่ซีเอ่ยตกตะลึงไป
“เพราะมันพุ่งออกมาจากผนังอย่างไรเล่า !” ซูเฉินตอบ
แมลงเหล่านี้สามารถเดินทางผ่านผนังอุโมงค์ตามใจชอบได้ แต่ก็ทำได้เพียงในอุโมงค์เท่านั้น แท้จริงแล้วไม่ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ แต่ความเร็วพอกันต่างหาก
ผลคือพวกมันประชิดตัวเข้ามาเรื่อย ๆ
ซึ่งยังไม่นับเป็นปัญหาใหญ่
ในไม่ช้าทุกคนก็พบว่าพวกตนหลงทาง
ระหว่างทางเดินมาผ่อนคลายสบายใจ ไม่มีใครสังเกตทางที่ใช้เดิน ตอนนี้ต้องหนีจึงไม่มีสติพอรู้ว่าวิ่งไปทางไหน จึงมุ่งหน้าไปผิดทาง หลงทิศหลงทางไปจนหมด ซูเฉินจำทางได้เพียงรางเลือน ก่อนหน้านี้เขานำอยู่ด้านหน้า แต่ตอนนี้อยู่ด้านหลัง หนึ่งใน 12 ข้ารับใช้ดาบพาคนที่เหลือไปผิดทาง แต่ซูเฉินดูไม่ใส่ใจอะไรนัก
พอถึงเวลาที่รู้ว่าผิดปกติ อยากหันหลังกลับก็สายไปเสียแล้ว พวกแมลงปิดกั้นทางหนี มีแต่ต้องมุ่งหน้าไปยังทางที่ผิดเท่านั้น
หากว่าแก้ไขความผิดพลาดได้ง่ายดาย ก็คงไม่เรียกว่าความผิดพลาด !
ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ จนกระทั่งต้องยอมรับว่าหลงทางแล้วจริง ๆ
“เวรเอ๊ย นี่เราอยู่ที่ไหนกัน ?” อวิ๋นเป้าสบถ
การรับรู้ของเขาถูกเสียงกรีดร้องของพวกแมลงกดดันอยู่ตลอด ทำให้ไม่อาจตระหนักถึงปัญหาทันเวลา
“เฝิงไห่เป็นคนนำทาง” ใครคนหนึ่งโยนความรับผิดชอบทันที
“ข้าไม่ได้เป็นคนนำทาง ข้าแค่วิ่งไปมั่ว ๆ เท่านั้น !” เฝิงไห่ตอบเสียงไม่พอใจ
“แต่ก็นับว่านำอยู่ด้านหน้าอยู่ดี”
“เจ้าก็ควรจะเตือนข้าสิ เจ้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหมเล่า ?”
“พอแล้ว ! จะทะเลาะกันไปทำไม ?” ซูเฉินตะโกนแล้วพุ่งมาด้านหน้า
ทุกคนจึงปิดปากเงียบทันที
ปกติอาจมีเรื่องกันบ้าง แต่ตอนนี้ความสามัคคีของกองทัพกลับมาแล้ว
ซูเฉินมองไปรอบกาย ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ทางสามแยก กระทั่งซูเฉินยังไม่รู้ว่าควรไปทางไหนจึงจะถูกต้อง
ซูเฉินใช้เวลาสงบจิตใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นเป้า เจ้าพาคนอื่นออกไป ข้าจะรับมือพวกมันเอง”
“บ้าไปแล้วหรือ” อวิ๋นเป้าตกใจ “แมลงพวกนั้นโจมตีจิตเป็น เจ้าไม่ไหวหรอก”
“หากพลังจิต 3,000 หน่วยของข้าไม่สามารถรับมือมันได้ก็คงไม่มีใครทำได้ พาพวกเขาหนีไปเสีย ใช้ประสาทรับรู้ของเจ้าพาพวกเขาออกไป”
“การโจมตีจิตของพวกมันรบกวนข้า”
“ข้าจะกันพวกมันออกไปจากที่นี่เอง” ซูเฉินว่า
พูดจบเขาก็หันหลังไปเตรียมเหินร่าง
“ซูเฉิน !” จูเซียนเหยาตะโกนขึ้น
ซูเฉินหยุดแล้วหันมามอง
จูเซียนเหยากล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ระวังตัวด้วยนะ”
“เจ้าอย่าห่วง” ซูเฉินยิ้มบาง “ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
ว่าแล้วเขาก็นำฝูงแมลงมุ่งหน้าไปอีกทาง
แม้จะมืดมากจนมองพวกมันไม่เห็น ซูเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่ามีฝูงแมลงเป็นจำนวนมากกำลังตามเขามา
พวกมันพุ่งออกมาจากผนังหินแกร่งราวกับเป็นลูกคลื่นที่สาดซัดเข้าใส่ซูเฉินอย่างรวดเร็ว
“มา ดูกันกว่าใครจะแกร่งกว่า !” ซูเฉินพึมพำแล้วจ้องผนังเบื้องหน้า
ประสาทสัมผัสจิตบอกเขาว่าแมลงที่พุ่งมาจากด้านหน้าอยู่ที่ตรงนี้
เขายืนนิ่งแล้วรวบรวมพลังจิตทั้งหมดไว้
“ฝ่อออ !”
แมลงประหลาดตัวหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากผนัง อ้าปากเขี้ยวคมกว้างหมายจะกัดซูเฉิน
แต่ฟันคมเหล่านั้นก็มีไว้เพียงโอ้อวด อันตรายที่แท้จริงคือการโจมตีจิตต่างหาก
แต่สำหรับซูเฉิน เป็นการโจมตีที่เบามาก
เขายกมือขึ้น ดาบเล่มหนึ่งจึงซัดลงมา แยกร่างเจ้าแมลงเป็น 2 ส่วน
แต่ไม่นานนักก็มีพวกมันพุ่งออกมาจากผนังอีก การโจมตีจิตซ้อนทับกันไปเรื่อย
ยิ่งมีแมลงจำนวนมากเท่าไหร่และเข้าใกล้เขามากเท่าไหร่ การโจมตีก็ให้ผลแรงมากขึ้นเท่านั้น
หากแมลงแต่ละตัวมีพลังจิตประมาณ 100 หน่วย 10 ตัวก็เท่ากับ 1,000 หน่วย มากเกินพอจะเป็นอันตรายต่อซูเฉิน แต่แน่นอนว่าพลังจิตของพวกแมลงไม่ได้รวมกันได้ทุกตัว ยิ่งมีพวกมันมากเท่าไหร่ พลังจิตที่แต่ละตัวสามารถควบรวมก็จะน้อยลงด้วย
ถึงกระนั้นแมลงจำนวนมากก็ยังมากพอจะทำให้เขาตกที่นั่งลำบากได้
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าแมลงนับร้อยกำลังพุ่งเข้ามาทางเขา ส่งเสียงกรีดร้องเข้าใส่ไม่หยุด การโจมตีจิตที่ประสานกันมากกว่า 2,000 หน่วยเข้าไปแล้ว เสียงหวีดร้องกึกก้องทั่วทิศทำให้เขากดดันไม่ใช่น้อย
“เวรแล้ว ! คราวนี้ได้แย่ของจริง”
กระทั่งซูเฉินยังเริ่มรู้สึกปวดหัวเมื่อถูกการโจมตีจิตมากขนาดนี้ซัดเข้าใส่
พลังจิต 3,000 หน่วยนับว่าสูงแล้ว แต่ปัญหาคือศัตรูดูจะมากันไม่จบไม่สิ้น !
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีทางที่เขาจะทนได้เลย
ทว่าเขามีวิชาประเภทจิตอยู่บ้าง และแม้วิชาสรรพสิ่งลวงตาจะทรงพลังไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถใช้กับพวกมันได้
โชคดีที่เขายังมียา
โอสถปลุกวิญญาณทำให้เขาสามารถต้านการโจมตีจิตของพวกมันได้ในระดับหนึ่ง
แต่โอสถปลุกวิญญาณเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้เขารับมือกับการโจมตีทั้งหมดได้
พวกมันพุ่งเข้ามาหลายระลอก ส่งผลให้เขาต้องใช้พลังจิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เช่นนี้มีแต่ผลาญพลังจิตทิ้งไปเปล่า ๆ พวกมันได้ทำให้เจ้าฝืนใช้พลังจนตายแน่ !”
เสียงผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยออกมาจากดาบหั่นภูผา
“ข้ารู้ แต่จะให้ทำอย่างไร ? พวกมันมีกันมากมายจริง เวรเอ๊ย !” ซูเฉินสบถ
“คิดเสียว่าตนเองโชคดีเถอะ ช่วงนี้ข้าเพิ่งคิดค้นวิชาจิตใหม่ขึ้นมาได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าว
“วิชาจิตของท่านไม่เหมาะกับข้า ไม่เช่นนั้นข้าก็คงเรียนไปนานแล้ว” ซูเฉินตอบตรง ๆ
“ถึงได้บอกว่าข้าคิดค้นมาใหม่ไงเล่า ทำมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า
“ท่านจะใจดีขนาดนั้นเชียว ?” ซูเฉินอึ้งไป
“แต่มีข้อแม้”
“ว่าแล้วเชียว ท่านว่ามา”
“ข้าใช้เวลากับดาบนี่นานมากแล้ว อยากออกไปสักที อยากมีร่างกายเป็นของตนเอง เจ้าเคยสัญญาไว้นี่”
“ข้าสัญญาไว้ก็จริง แต่ท่านน่าจะรู้ว่าทุกร่างกายมีจิตเป็นของตน มีโอกาสได้เปรียบกว่า หากท่านพยายามบุกเข้าไปมีแต่จะตาย เรายังต้องเตรียมตัว !” ซูเฉินตอบกลับ
“ก็เพราะว่าเจ้าทำลายห้องทดลองของข้าไม่ใช่หรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวเสียงเศร้า
ผ้าเท่อลั่วเค่อมีอุปกรณ์ข้าวของอยู่ในซากโบราณลุ่มน้ำทองที่เคลื่อนย้ายวิญญาณได้อยู่บ้าง แต่เมื่อซากโบราณลุ่มน้ำทองพังทลายไปแล้ว ของเหล่านั้นก็หายตามไปด้วย เมื่อผ้าเท่อลั่วเค่อไร้ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้น ก็ไม่อาจเข้าร่างสิ่งมีชีวิตใดได้โดยง่ายอีก เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขายอมอยู่ในดาบมานานขนาดนี้
“ข้าทำอะไรไม่ได้ ในแหวนต้นกำเนิดของข้ามีพื้นที่จำกัด” ซูเฉินตอบ
“ตอบมาตามตรง ถึงมีที่พอให้เก็บ เจ้าจะเก็บกลับมางั้นหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
ซูเฉินหัวร่อ “จะถามคำถามที่ทำให้เราเกลียดชังกันไปทำไม ?”
ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดไม่ออก
ใช่แล้ว อย่างไรตอนนั้นเขาก็คงไม่ทำ ในตอนนั้นเขาไม่อาจเชื่อใจผ้าเท่อลั่วเค่อ อีกฝ่ายคงหมายจะหาทางลวงเป็นแน่ ผ้าเท่อลั่วเค่อจะยอมรับใช้เขาอย่างเต็มใจก็ต่อเมื่อไม่อาจหาทางรอดได้แล้วเท่านั้น
“เช่นนั้นตอนนี้เล่า ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยถาม
“ตอนนี้ย่อมทำได้ แต่ท่านน่าจะรู้ว่าข้าไม่มีวิชาเช่นนั้นอยู่ในตอนนี้ อีกทั้งท่านยังไม่มีวิธีสร้างเครื่องมือพวกนั้นขึ้นมาใหม่” ซูเฉินตอบ
แม้ผ้าเท่อลั่วเค่อจะเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่า แต่ก็ไม่ได้รอบรู้ทั่วทุกสรรพสิ่ง ปรมาจารย์อาร์คาน่าคนอื่นเป็นคนสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้นให้ ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ใช้เท่านั้น
“ข้ารู้” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า “ข้าก็ไม่ได้ขอให้ไปหาร่างที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ข้าหาวิธีที่จะย้ายร่างออกมาโดยละเอียดได้ แต่ข้าต้องให้เจ้าช่วยหาหุ่นเชิด มีร่างปลอมก็ยังดีกว่ามีร่างเป็นดาบ อย่างไรเจ้าก็มีวิชาอาวุธวิญญาณแล้ว เอาวิญญาณอสูรกายที่ไหนมาแทนข้าก็ได้”
“แต่ก็ใช้งานได้ไม่ง่ายเหมือนตอนมีท่านอยู่”
“หากเป็นหุ่นเชิดก็ยังช่วยเจ้าได้ไม่แพ้กัน อีกทั้งเจ้าไม่คิดหรือว่าควรจะเปลี่ยนดาบหั่นภูผาได้แล้ว ?”
“ข้ารู้สึกว่ามันเหมาะมือดี”
“แต่มันสำแดงพลังได้เพียงพลังจากร่างเท่านั้น แม้เจ้าจะคุม วิชาอาร์คาน่า 3 วิชาได้ หนึ่งคือวิชาจิตหงส์เพลิงทรงพลัง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการใช้ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังของวิชาอาร์คาน่าเลยสักนิดเดียว เจ้าไม่สามารถเชี่ยวชาญสักทางเป็นเพราะมีเรื่องให้ค้นคว้ามากมายเกินไป”
“ท่านพยายามจะพูดอะไรกันแน่ ?” ซูเฉินเริ่มไม่คิดอดทนรอ
แมลงเริ่มพุ่งออกจากผนังมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าต้องมีอาวุธใหม่ ส่วนข้าต้องมีร่างใหม่ แล้วเหมือนข้าจะสัมผัสได้ว่าแถวนี้มีอาวุธที่เหมาะกับเจ้าอยู่ด้วย”
“หือ ? อะไรกันเล่า ?” ซูเฉินตาเป็นประกาย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกได้ว่าเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่มากมาย อาจไม่โดดเด่นเท่าดาบหั่นภูผาในเรื่องการปล่อยพลังจากร่าง แต่สามารถรวมพลังของเจ้ากับวิชาจิตหงส์เพลิงและภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเข้าด้วยกันได้หากมั่นคงมากพอ”
“มันมีพลังต้นกำเนิดด้วยหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจมาก
เมื่อมีแมลงปล่อยการโจมตีจิตออกมามากมายเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าอาวุธชิ้นนั้นควรจะมีพลังจิตมากมายงั้นหรือ ?
แต่สัมผัสของผ้าเท่อลั่วเค่อไม่มีทางผิดพลาด ในเมื่อเขาบอกว่ามีอาวุธที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ เช่นนั้นก็เป็นอาวุธที่มีพลังต้นกำเนิดกล้าแข็งจริง
“ก็ได้ ข้ามีคำถามหนึ่งข้อ แล้วข้าจะเรียนวิชาจิตของท่านได้อย่างไร ? จะให้เรียนแล้วนำมาใช้ตอนนี้เลยก็คงยาก”
วิชาต้นกำเนิดยังต้องเรียนรู้แล้วฝึกใช้หลายครั้งหลายหน บนทวีปต้นกำเนิดไม่มีวิชาใดที่เรียนรู้แล้วใช้ได้เลยในทันที ความสามารถของซูเฉินไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ผลึกวิญญาณของเขาก็เช่นกัน เขาอาจใช้ผลึกวิญญาณเพื่อทำให้เรียนวิชารวดเร็วขึ้นได้ แต่ก็ไม่สามารถลัดวิธีการเรียนใดไปได้
พวกแมลงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำเช่นนั้นแน่ !