ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 5 สังเวย (2)
บทที่ 5 สังเวย (2)
“ข้ามีความคิดอยู่” ภาพฉือไคฮวงว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าใช้พลังจากอารามพลังต้นกำเนิดสร้างแรงกดดันภายนอกเพื่อบีบอัดแท่นบงกชแล้วทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้ แม้จะทำซ้ำอีกครั้งไม่ได้ แต่ก็ใช้อ้างอิงได้ อีกทั้งเจ้ายังนำค่ายกลพลังต้นกำเนิดลับของอารามพลังกลับมาได้ ข้าคิดว่าเราต้องดำเนินต่อด้วยวิธีนี้”
“แต่อารามพลังต้นกำเนิดต้องใช้เงินเยอะเกินไป สำเร็จได้ยาก เว้นแต่จะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักร อีกทั้งทรัพยากรจำเป็นบางอย่างก็หาไม่ได้แล้ว จะสร้างอารามพลังต้นกำเนิดแห่งที่สองขึ้นมาไม่ได้แล้ว” ภาพมายาซูเฉินว่า
ฉือไคฮวงหัวเราะ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เสนอให้สร้างอารามพลังต้นกำเนิดอีกแห่ง ลืมไปแล้วหรือว่าอารามพลังต้นกำเนิดมีไว้เพื่อทำให้ใครที่ไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้สามารถควบคุมมันได้ ? สิ่งที่เราทำคือการบีบอัดพลังให้คนที่คุมพลังได้แล้วต่างหาก ความยากมันแตกต่างกันมากจนเทียบไม่ติดเลยนะ”
ซูเฉินเข้าใจความหมาย “อาจารย์หมายถึง……”
“ทำไมไม่พัฒนาค่ายกลที่ใช้เพื่อทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารขึ้นโดยเฉพาะเล่า ?” ฉือไคฮวงว่า
ได้ยินดังนั้น ทั้งภาพมายาซูเฉินและซูเฉินตัวจริงก็รู้สึกบรรลุ
ครั้งนี้ กระบวนความคิดของฉือไคฮวงเอาชนะชายหนุ่มได้ไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ซูเฉินใช้ความคิดเช่นอาร์คาน่าในการไขปัญหาวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือด ใช้ยาสามหยางทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่พอถึงการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารก็เหมือนสมองตายไปแล้ว เอาแต่วนเป็นวงกลมพยายามหาทางแก้ปัญหา แต่กลับลืมวิธีที่เหมือนกับตอนที่ใช้ยาสามหยางไปโดยสิ้นเชิง
ก็ทำไมไม่ลองพัฒนาค่ายกลพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะเล่า ?
ในเมื่อทำเองไม่ได้ ก็หาวิธีเสริมช่วยให้ทำได้ก็ได้นี่นา แต่ก่อนเขาทำมาแล้ว จึงแปลกนักว่าทำไมตอนนี้ทำไมเขาคิดไม่ได้กัน
แต่คิดอยู่เล็กน้อยก็พลันเข้าใจ
ที่คิดไม่ถึงเป็นเพราะเขาไม่ได้ชำนาญด้านค่ายกลพลังต้นกำเนิด
เขาพัฒนายาสามหยางขึ้นมาได้เพราะเชี่ยวชาญการปรุงยา ใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าทะลวงด่านได้เพราะเชี่ยวชาญเช่นกัน แต่ความเข้าใจเรื่องค่ายกลพลังต้นกำเนิดของเขามีจำกัด ดังนั้นจึงต่อต้านวิธีที่อาจเป็นไปได้นี้ไปโดยไม่ทันรู้ตัว
อาจเป็นธรรมชาติมนุษย์กระมัง คนเรามักไม่ชอบทำสิ่งที่เราไม่เข้าใจ จึงเมินเส้นทางที่เป็นทางดำเนินต่อไปทั้งที่เห็นอยู่เต็มตา
เทียบกันแล้ว คนที่สร้างค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดซึ่งมียันต์พลังต้นกำเนิดนับหมื่นบรรจุอยู่ภายในอย่างฉือไคฮวงจึงเข้าใจเรื่องค่ายกลพลังต้นกำเนิดดีกว่าเขา
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญมันสุด ๆ
ภาพหายไปแล้ว ซูเฉินพบทางเดินต่อ แต่เครื่องสังเวยส่วนมากยังไม่ทันหายไปจนหมด แต่ก็กำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งหมายความว่าส่วนที่ยังเหลืออยู่เป็นส่วนเกินนั่นเอง
“เวรเอ๊ย ขาดทุนยับเลยครั้งนี้” ซูเฉินพึมพำ
กระนั้นไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็เช่นกัน อย่างไรก็ใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์ได้ ทุกครั้งที่ใช้มันทำนายอนาคต อย่างไรก็มั่นใจได้เลยว่าจะต้องขาดทุนไปสักอย่าง
ดังนั้นแม้จะได้รับคำตอบที่ตามหาหรือไม่ อย่างไรก็ต้องเสียของสังเวยไปสักอย่าง ไม่ว่าจะนำไปใช้เพื่ออะไรก็จะไม่มีทางได้รู้สึกพึงพอใจได้
นับเป็นเครื่องมือน่าอัศจรรย์ใจโดยแท้ แต่กลับทำให้คนใช้รู้สึกเศร้าโศกอยู่ตลอด ช่างเป็นของชิ้นที่หาใครเหมือนได้ยากจริง
เมื่อพบทางออกแล้ว ซูเฉินจึงบอกฉือไคฮวงและส่งต่อภารกิจให้เขาดำเนินการวิจัยต่อ จากนั้นเขาก็เริ่มดำเนินแผนตามการทำนายที่สอง
ครั้งนี้เขาเลือกโทเทมวิญญาณสายฟ้า
ระหว่างศึกสามเขา ซูเฉินเผลอดูดซับโทเทมแห่งพลังชีวิตเข้าไปทำให้ร่างกายแกร่งขึ้นมาก ทั้งยังทำให้เข้าใจว่าโทเทมโบราณเหล่านี้ลึกล้ำเพียงไหน
แต่หลังจากนั้นเขากลับไม่สามารถดูดซับโทเทมวิญญาณสายฟ้าได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
หรือเพราะยังขาดคุณสมบัติในการเปิดใช้มันหรือ ?
หรือเมื่อดูดซับโทเทมแห่งพลังชีวิตแล้วจะดูดซับโทเทมอื่นไม่ได้อีก ?
หรือมีเหตุผลอื่น ?
ซูเฉินไม่รู้
หลังการทดสอบหลายครั้ง ซูเฉินจึงลองไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดดูบ้าง
เพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินไป เขาจึงลดมูลค่าเครื่องสังเวยลงมาก ครั้งนี้ใช้เพียงผลึกต้นกำเนิดของอสูรกายระดับสูงกับของสังเวยอื่น ๆ สองสามชิ้น
ครั้งก่อนเครื่องสังเวยถูกกัดกินช้า ๆ แต่ครั้งนี้ควันถูกส่งออกมาพร้อมเสียงดังปึง เครื่องสังเวยทั้งหมดบนแท่นหายวับไปกับตาไม่เหลือสิ่งใด
“บ้าเอ๊ย ไม่บอกคำทำนายด้วย แต่เอาเครื่องสังเวยไปเร็วเชียว” ซูเฉินเบ้ปาก
เขาย่อมรู้ว่านั่นเป็นเพราะไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่อาจมอบคำตอบให้ได้ ดังนั้นจึงกินเครื่องสังเวยไปอย่างรวดเร็วกว่าเก่า กระนั้นเขาก็ยังอดรู้สึกเหมือนถูกปล้นไม่ได้อยู่ดี
ในเมื่อครั้งนี้ไม่สำเร็จ เขาจึงลองใช้เครื่องสังเวยแบบครั้งก่อนหน้า ครั้งนี้สำเร็จ
แต่ผลลัพธ์ทำให้เขาตะลึงไม่น้อย
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดยังไม่อาจให้คำตอบได้อีก ?
ทำไมเล่า ?
ซูเฉินไม่รู้
หากสำเร็จมีเพียงเหตุผลเดียว แต่หากล้มเหลวนั้นมีหลายสาเหตุนัก
แต่ก่อนจะทำสำเร็จ ซูเฉินไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเหตุใดจึงล้มเหลว
ก็อาจพอรู้ว่าของสังเวยอาจไม่เพียงพอ แต่ไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าที่ไม่เพียงพอน่ะมันเท่าไหร่กันแน่
ลองอีกครั้งด้วยผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายดีไหมนะ ?
ซูเฉินเริ่มลังเล
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเหมือนเครื่องมือเล่นพนันขนานใหญ่ที่ทำเอาเขาหลงใหลมันนัก
ซูเฉินพยายามต่อต้านความเย้ายวนใจนั้นแล้วค่อย ๆ ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
มูลค่าของโทเทมวิญญาณสายฟ้าไม่มากไปกว่าวิชาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดแน่ ๆ แต่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าในอนาคต คำนึงเพียงมูลค่าในปัจจุบันเท่านั้น หมายความว่าไม่ว่าจะหาคำตอบไม่ได้หรือไม่ก็การหาคำตอบมีอุปสรรคใดขวางกั้น ก็เป็นเพราะไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้เพียงคำทำนาย ไม่ใช่คำตอบที่เที่ยงแท้ สามารถให้คำตอบได้หากมีคำทำนายความเป็นไปได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไร้คำตอบจะให้
ซูเฉินจึงเข้าใจว่านี่อาจเป็นวิธีที่เขาอาจใช้หาคำตอบได้ต่อไปในอนาคต
หรือก็คือต่อไปหากเขาสามารถใช้โทเทมวิญญาณสายฟ้าได้ ก็คงไม่ใช่ในห้องทดลอง แต่……
เป็นวิธีเดียวกับตอนที่ได้โทเทมแห่งพลังชีวิตมา ?
ในสนามรบ ?
หรือต้องเป็นในสถานการณ์พิเศษอื่น ?
ซูเฉินอดคิดถึงเรื่องเหล่านี้ไม่ได้
หากเป็นเช่นนั้น สังเวยต่อไปก็ไร้ผล เพราะมูลค่าเครื่องสังเวยเพื่อให้ได้คำตอบคงจะสูงมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
คิดได้ดังนี้ ซูเฉินจึงตัดสินใจไม่ทำการทำนายต่อ หยุดการวิจัยเรื่องโทเทมวิญญาณสายฟ้าไว้เท่านั้น พกติดตัวไว้ตลอดสักพักหนึ่ง มันก็เป็นเพราะเชื่อว่าเขาอาจจะหาคำตอบเรื่องโทเทมวิญญาณสายฟ้าได้นอกห้องทดลองนั้นเอง
ดังนั้นคำทำนายที่ล้มเหลวของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจึงไม่นับว่าไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หากเขาสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ได้ เขาก็สามารถลดความสูญเสียที่ได้รับลงมาก
และจริง ๆ แล้วก็ยังสามารถใช้ความล้มเหลวนี้เพื่อหาคำตอบได้
อย่างไรก็ดี ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ยังเป็นของดี อยู่ที่ตัวผู้ใช้ว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากเท่าไหน
หลังจากทำนายเรื่องโทเทมวิญญาณสายฟ้าไม่สำเร็จ ซูเฉินก็หันความสนใจไปศึกษาเรื่องอื่น
ครั้งนี้เขาได้รับคำตอบในเวลาไม่นาน
ยอดเขาหนีตะวัน
มันอยู่หลังยอดเขาเทียมสวรรค์ ไม่สูงมาก แต่ก็เป็นเขาหินแกร่ง
ตอนนี้หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง และผู้อาวุโสของนิกายต่างยืนอยู่บนยอดเขา
ล้อมรอบพวกเขามีศิลาขนาดใหญ่หลายก้อน สลักไปด้วยลวดลายลึกลับซับซ้อน ถักทอเข้าด้วยกันเพื่อรวมเป็นหนึ่ง สร้างค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา
ซูเฉินยืนอยู่ตรงกลางค่ายกล กำลังทำการลงอักขระขั้นสุดท้าย
“จะได้ผลแน่หรือ ?” ฉู่อิงหว่านถามเสียงสงสัย
ซูเฉินยกมือขึ้นพลางตอบ “มันเป็นสิ่งที่ข้าเห็นจากในอนาคต ไม่ผิดแน่นอน”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องที่จำอักขระค่ายกลได้หรือไม่ ข้าพูดว่าผลที่ออกมาอาจเป็นผลร้ายต่างหาก หากเราคุมสถานการณ์ไม่ได้เล่า ?” ฉู่อิงหว่านถาม
ซูเฉินตอบ “ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดบอกแต่ข่าวดี ไม่เกิดเรื่องร้ายเช่นนั้นหรอก”
“แต่ก็เป็นข่าวดีในสายตาเจ้าก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นจริงไม่ใช่หรือ ?” ฉู่อิงหว่านต่อทันควัน “เหตุผลที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดบอกแต่ข่าวดีก็เป็นเพราะมันพยายามรักษาความถูกต้องของการทำนายโดยสัญชาตญาณ ฉะนั้นจะดีหรือร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้ในตอนนั้นต่างหาก อาทิเช่น หากตอนนั้นเจ้าคิดว่าผลลัพธ์บางอย่างเป็นเรื่องดี เราก็ไม่คิดอยากเปลี่ยนแปลงมัน ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็จะบอกคำทำนายได้ แต่หากเจ้าคิดผิดเล่า ? หากเจ้าคิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่แท้จริงแล้วทำไม่ได้ล่ะ ? หากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่บอก เจ้าก็ไม่มีทางรู้ ฉะนั้นเจ้าเลยคิดว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้เลยไม่อยากเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของคำทำนาย ไม้เท้ากระดูกจึงสามารถหาคำตอบมาให้ก็ได้……”
ฉู่อิงหว่านพูดอ้อมค้อมไปสักหน่อย แต่ซูเฉินก็ยังเข้าใจ
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดสามารถบอกได้เพียงผลลัพธ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ชีวิตคนเรายืนยาวนัก ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่แน่ว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดแสดงแค่ภาพตอนที่ทำสำเร็จ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจากความสำเร็จนั้นยังไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเรื่องร้ายต่าง ๆ จึงอาจจะเหมือนเป็นเรื่องดีก่อนที่จะถึงเวลาจริง ๆ
ซึ่งก็เป็นความเป็นจริงของไม้เท้าเช่นกัน
ซูเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้าตอบ “น่าสนใจ นั่นก็เป็นไปได้ ท่านคิดว่าเราจะล้มเหลวหรือ ?”
ฉู่อิงหว่านตอบ “ไม่หรอก แต่จะให้คิดเรื่องการใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้ดีอีกหน่อย ที่ข้าว่ามาเป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเท่านั้น วันนี้อาจไม่เกิด แต่ในเมื่อมีโอกาส ไม่นานก็คงได้เห็นใช่ไหมเล่า ?”
ซูเฉินพยักหน้า “ท่านพูดถูก ข้าใจร้อนไป”
หลี่ฉงซานว่า “เวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้มากที่สุด เป็นของที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ทำนายก็ยากเย็น สุดท้ายเรื่องที่เราไม่รู้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เราไม่รู้อยู่ดี เราอาจรู้คำทำนายในอนาคต แต่จะพึ่งคำทำนายนั้นโดยตรงก็ไม่ได้ อิงหว่านพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เจ้าไม่เชื่อคำทำนาย แต่เป็นเพราะไม่อยากให้เจ้าพึ่งพามันมากต่างหาก”
ซูเฉินพยักหน้าอีก “ข้าเข้าใจดี เราเชื่อมันโดยที่ไม่ต้องพึ่งพามันอย่างไร้เหตุผลได้ นี่ถึงจะเป็นความคิดที่ถูกต้องยามใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด”
หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ หัวร่อ “ต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ”
พูดคุยกันเช่นนี้นับเป็นทางอ้อมเพียงเล็กน้อย ต่อมาซูเฉินก็วาดค่ายกลจนสำเร็จและเปิดใช้
อักขระที่สลักลงบนหินเริ่มส่องแสงสว่างขึ้น ถักทอประสานเข้าด้วยกัน เคลื่อนไหวผ่านอากาศ สุดท้ายก็เกิดเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้น
มันได้ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นประตูสีดำบานหนึ่ง
เริ่มมีความมืดมิดแผ่กลิ่นอายออกมาจากหลังประตู ความมืดเริ่มกลั่นตัวแน่น เกิดเป็นรูปกายปีศาจทมิฬที่ซูเฉินเคยเผชิญหน้ามาก่อนเมื่อครั้งอยู่ปราสาทไหลน่าตะวันตก
“กรรร ! ข้ามาถึงแล้ว ข้าจะเอาชนะทุกสิ่ง !”
ปีศาจทมิฬคำรามหยิ่งทระนง
แต่เมื่อปีศาจทมิฬเห็นว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางมนุษย์กลุ่มหนึ่ง มันก็อึ้งไปทันที