ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 51 พันธมิตร (2)
บทที่ 51 พันธมิตร (2)
ซูเฉินได้แก้ปัญหาในการแบ่งส่วนประโยชน์ไว้เรียบร้อยนานแล้ว เขาวางแผนที่จะใช้การแบ่งพื้นที่ของปราการนางพญาเป็นข้อต่อรอง
นี่เป็นการตัดสินใจที่เยี่ยมยอด
นางพญาจะพัฒนาไปเป็นป้อมปราการในไม่ช้า ทำให้มันสามารถแบกรับคนจำนวนมากได้ในคราวเดียว มันจะสามารถจุได้ถึงหลายร้อยนิกายไร้ขอบเขตได้อย่างง่ายดาย แล้วเพียงสำนักเดียวจะไปยากอะไร
การแบ่งบางส่วนให้กับตระกูลจูจะไม่เพียงเป็นค่าตอบแทนตามความต้องการของตระกูลจู แต่ยังจะพาพวกเขาไปอยู่บนเรือลำเดียวกัน
ที่จริงแล้วแนวคิดของตระกูลจูนั้นค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ภายใต้เงื่อนไขของซูเฉินแล้ว ตระกูลจูจะไม่เพียงคิดส่งต่อเหมืองทองดาราแต่ยังคิดตามหาเชลยเผ่าปักษาให้กับซูเฉินและจัดการปัญหาให้เขาซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มได้พบการแก้ไขเองแล้ว ทว่าทำไมพวกเขาจึงยอมจ่ายราคาแพงนักนะ ?
…คงเป็นเพราะพลังมหาศาลที่ป้อมปราการนางพญาจะได้มาครอบครอง หากซูเฉินพยายามมอบบางส่วนของการค้นคว้าเพื่อเป็นรางวัล พวกเขาคงจะไม่ตอบรับข้อเสนอของ=ชายหนุ่มเป็นแน่ !
ในอีกคำพูดหนึ่ง ป้อมปราการนางพญานั้นเปรียบได้กับธุรกิจ ตระกูลจูกำลังรับความเสี่ยงจากการลงทุนในสิ่งนี้ด้วยความหวังที่จะได้รับค่าตอบแทนในอนาคต
เนื่องจากทิศทางของการลงทุนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการถกเถียงมูลค่าที่แน่นอนของสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะนำมาสู่การตกลงกัน
นี่คือจุดสำคัญของการช่วงชิงระหว่างสองฝักฝ่าย
ตระกูลจูคิดว่าพวกเขาควรจะครอบครองส่วนหนึ่งในอาณาเขตของนางพญาตั้งแต่แรก ซูเฉินเป็นราวกับนกที่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจับหนอนกิน เนื่องจากตระกูลจูจะทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคาสูงยิ่งขึ้นไปในตอนนี้ ตระกูลจูต้องการครึ่งหนึ่งของป้อมปราการนางพญาทั้งหมดเป็นของพวกเขาเอง
ซูเฉินนั้นรู้อยู่แล้วว่าแมลงนางพญานั้นเป็นของเขา แผนการก็ถูกเสนอขึ้นโดยเขา และเขาก็เป็นคนจัดการมันเองด้วย ดังนั้นแล้วตระกูลจูจะต้องได้รับเป็นอย่างมากแค่สองในสิบส่วนของพื้นที่เท่านั้น
นี่ยังรวมไปถึงของขวัญที่เขาจำเป็นต้องจ่ายเพื่อจะรับจูเซียนเหยาไปเป็นภรรยา
ทั้งสองฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด
ทั้งคนแก่และเด็กต่างก็รับมือง่ายทั้งนั้น พวกเขาถกเถียงมาอย่างยาวนานจนทั้งคู่เริ่มจะมีน้ำโห จูเฉินฮ่วนไม่สนใจสถานะของเขาและทุบลงที่โต๊ะแล้วตะโกนขึ้น “ตระกูลจูได้กุมความลับของนางพญาแล้ว และไม่มีใครจะได้รับผลประโยชน์ทั้งนั้นหากพวกเรายังทะเลาะกันอยู่เช่นนี้เพราะพวกเรามีแต่จะทำให้เผ่าปักษารู้เรื่องเข้า” ซูเฉินไม่ได้ถอยแต่อย่างใดและตอบกลับเสียงดัง “ก็ปล่อยข่าวไปเลยถ้าเจ้าต้องการ ไม่ว่ายังไงนางพญาก็เป็นของข้า และข้าก็จะยอมทิ้งปราการนั่นเสีย นางพญานั้นอยู่ในขั้นเจ้าอสูรกายเป็นอย่างน้อย และการครอบครองจักรพรรดิอสูรกายเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้แย่เช่นกัน”
ทั้งสองคนต่างก็ตะโกนและจ้องมองอีกฝ่าย ไม่มีใครยอมถอยให้เลยแม้แต่ก้าวเดียว หากไม่ใช่เพราะจูอวิ๋นเยี่ยนและจูเซียนเหยาห้ามไว้พวกเขาอาจจะเริ่มการปะทะกันแล้วก็ได้ แม้ว่าชายแก่จะเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ซูเฉินก็ไม่มีทีท่าว่าจะแพ้ให้กับเขาในเรื่องของการแสดงท่าทางอันสง่างามเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า… เจ้าเด็กเหลือขอ ! ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ !” จูเฉินฮ่วนแผดเสียงลั่นพร้อมชี้นิ้วไปยังซูเฉิน “ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหยา ข้าจะระเบิดเจ้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฝ่ามือของข้าเดี๋ยวนี้เลย”
ซูเฉินกระแอม “หากเจ้าดีนักหนาเจ้าจะทำตัวป่าเถื่อนเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเพียงแค่ปฏิเสธไม่กี่ครั้งเจ้าก็โกรธข้าเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว เส้นทางการฝึกฝนของเจ้านั้นผิดไปไกลโพ้น ข้าจะมอบวิชาบ่มเพาะให้ในภายหลังสำหรับการเล่าเรียนของเจ้า ข้าสัญญาว่านั่นจะทำให้เจ้าสามารถใจเย็นอยู่ได้แม้ว่าคนอื่น ๆ จะกำลังก่นด่าสาปแช่งเจ้าอยู่ก็ตาม”
“เจ้าได้ยินไหม !” จูเฉินฮ่วนตะคอกใส่จูเซียนเหยาขณะที่ขี้หน้าของซูเฉิน “นี่หรือชายประเภทที่เจ้าคบหา”
จูเซียนเหยาทำหน้าตาบูดบึ้งและไม่กล่าวสิ่งใด
จูอวิ๋นเยี่ยนขำออกมาขณะพยายามที่จะคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าสามารถตกลงกันดี ๆ ก็ได้ จะตะโกนโหวกเหวกใส่กันไปเพื่ออะไร ถ้าคนนอกได้ยินเข้าพวกเราจะกลับกลายเป็นตัวตลกแทนนะ”
เหตุนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยความลึกลับจนไม่มีคนนอกใดสามารถเข้ามาใกล้พอที่จะได้ยิน คำพูดของจูอวิ๋นเยี่ยนนั้นก็เพื่อจะให้จูเฉินฮ่วนใจเย็นลง
จูเฉินฮ่วนหยิบยืมโอกาสในการเข้าควบคุมอารมณ์ของเขาพร้อมกับพูดขึ้นทั้งที่ยังคงเดือดพล่าน “นี่คือข้อเสนอสุดท้าย 4 ใน 10 ส่วน… ไม่ต่ำไปกว่านี้ !”
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะไม่ให้ไปมากกว่า 3 ใน 10 ส่วน !” ซูเฉินตอบ
“เฮ้อ ทั้งสองคนช่วยอลุ้มอล่วยกันหน่อยสิ เป็นสามส่วนครึ่งจากสิบส่วนไม่ได้หรือไร ?” จูอวิ๋นเยี่ยนพยายามทำให้บรรยากาศราบรื่น
“ไม่ได้เด็ดขาด !” ทั้งคู่ตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ป้อมปราการนางพญานั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพียง 1 ใน 10 ส่วนก็เทียบได้กับหินพลังต้นกำเนิดนับพันล้านก้อนหากว่ามองเป็นทรัพยากร ดังนั้นแล้วแต่ละฝ่ายจะยอมถอยได้อย่างไร !
ซูเฉินพูด “การลงทุนส่วนมากที่จะเข้าไปยังปราการนางพญานั้นขึ้นอยู่กับเผ่าปักษา ตระกูลจูนั้นละโมบเกินไปหากพวกเขาคิดว่าจะสามารถครอบครองมากถึง 4 ใน 10 ส่วน เพราะพวกเขากำลังลงทุนด้วยทองดาราเพียงหนึ่งแห่ง”
“ไร้สาระ ! เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหลอกตาเผ่าปักษาได้หรือไง ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็มีแต่จะตายหากยังดึงดันที่จะไป ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถจะทำอะไรก็ได้ในเขตของเผ่าคนเถื่อนเพราะวิชาการพรางตัวของเจ้า แต่ข้าจะบอกให้ว่ากลนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเผ่าปักษาหรอก !”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้ายอมให้ 3 ใน 10 ส่วน.. แค่นั้นก็มากโขแล้วนะ !”
“แล้วพวกเชลยเผ่าปักษาเหล่านั้นล่ะ”
“พวกเขามีค่าน้อยขนาดไหนกัน ข้าแค่ซื้อพวกเขามาด้วยเงินของข้าไม่ได้หรือ ?”
“ฮึ่ม ถ้าหากว่ามันง่ายงั้นเจ้าจะต้องการตระกูลจูไปทำไมล่ะ นอกจากนั้น เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสบายหากพวกเรารับมือทั้งสองปัญหาให้กับเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ และเจ้าจะต้องการแผนที่แยบยลกว่านี้แน่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะทำเพียงคนเดียวได้ เจ้าต้องใช้องค์กรที่มีคนจำนวนมาก”
“นิกายไร้ขอบเขตก็มีผู้คน”
“พวกเขาไม่เก่งกาจไปกว่าศิษย์ตระกูลจูหรอก”
“นั่นอาจจะไม่จริงก็ได้ อย่างไรแล้วการล่อลวงก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากำลังกายนักหรอก”
“เหมือนว่าเจ้าจะมีแผนแล้วสินะ”
“แล้วทำไมข้าจะไม่มีล่ะ ท่านบรรพชน ?”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะระเบิดหัวเราะลั่นออกมาพร้อมกันอย่างกะทันหัน
ทั้งคู่ดูเหมือนแทบจะฆ่าแกงกันเมื่อวินาทีก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มหัวเราะขบขันด้วยกันภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
จูเฉินฮ่วนหัวเราะร่วน “เยี่ยม ! ดีมากเจ้าเด็กน้อย เจ้ามีทั้งความกล้าหาญและความหลักแหลม ไม่แปลกเลยที่เสี่ยวเหยาของพวกเราจะตกหลุมรักเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันที่ 3 ใน 10 ส่วนแล้วกัน”
พวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แต่ตอนนี้จูเฉินฮ่วนกลับยอมถอยหลังให้แต่โดยดี
ซูเฉินขำ “ต้องแบบนี้สิ ชายแก่ ถ้าเจ้าทำเช่นนี้แต่แรกก็คงจะง่ายกว่าเยอะ”
เขาเรียกจูเฉินฮ่วนว่า ‘ชายแก่’ แต่จูเฉินฮ่วนกลับไม่ได้โกรธแต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นมิตรต่อกันในพริบตา
ทั้งจูอวิ๋นเยี่ยนและจูเซียนเหยานั้นหมดซึ่งคำจะพูดกับข้อแลกเปลี่ยนของพวกเขา
จูเฉินฮ่วนมีสถานะที่สูงส่งยิ่งนักในตระกูลจู ส่วนใหญ่แล้วไม่มีผู้ใดกล้าพูดคุยกับเขาเช่นนี้
หากใครทำให้เขาโกรธขึ้นมา พวกเขาจะต้องพบกับการโจมตีด้วยฝ่ามือที่แข็งแกร่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
แต่ซูเฉินไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด และไม่เพียงแค่จูเฉินฮ่วนดูจะไม่โกรธแล้ว เขายังดูมีความสุขเสียอย่างนั้น จูอวิ๋นเยี่ยนรู้สึกเหมือนว่าดวงอาทิตย์กำลังขึ้นทางทิศตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น
ต่อมา จูเฉินฮ่วนก็กล่าวขึ้น “เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลย ข้าชอบนะ เจ้าหนู เจ้าเล่นหมากรุกเป็นไหม ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าพอจะรู้นิดหน่อย แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญหรอก”
“นี่ ถ้าเจ้าอยากจะครอบครองป้อมปราการ เจ้าต้องเชี่ยวชาญการเล่นหมากรุกเสียก่อน มาสิอวิ๋นเยี่ยน ตั้งกระดานหมากรุกให้พวกข้า ข้าจะสอนเขาเอง !”
จูอวิ๋นเยี่ยนตัวแข็งทื่อ
จูเฉินฮ่วนมองนาง “เจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ”
“โอ้ ได้สิ !” จูอวิ๋นเยี่ยนดูราวกับว่าพึ่งตื่นขึ้นจากความฝันและรีบร้อนจัดการตั้งกระดานหมากรุกสำหรับพวกเขาทั้งสอง
จูเฉินฮ่วนโบกมือของเขา “เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้ เสี่ยวเฉินและข้าจะเล่นหมากรุกกันสักหน่อย”
จูอวิ๋นเยี่ยนทำได้เพียงแค่พาจูเซียนเหยาออกไปอย่างช่วยไม่ได้
จูเซียนเหยางุนงง “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ท่านบรรพชนจึงรับข้อตกลงของซูเฉินทันควันเช่นนั้น”
จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะและลูบจมูกน้อย ๆ ของจูเซียนเหยาด้วยความรักใคร่ “เจ้านี่ช่างใสซื่อเสียจริง เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าท่านบรรพชนและซูเฉินทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์น่ะ”
“พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นหรือ” จูเซียนเหยายังคงไม่เข้าใจ
“พวกเขาทำ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นกัน” จูเซียนเหยาถอนหายใจ
จูเซียนเหยาไม่เข้าใจว่ามันหมายคววามว่าอย่างไร
จูเซียนเหยาพูด “ข้าถึงบอกว่าเจ้ายังใสซื่อเกินไปหน่อยไงล่ะ เจ้าเคยสงสัยไหมว่าทำไมซูเฉินจึงมั่นใจยิ่งนักว่าจะคืนนางพญาให้กับเผ่าปักษา”
“เพราะเขาใช้วิชาสลักจิตไว้บนนางพญา มันจะเชื่อฟังแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ใช่แล้ว ! เพราะนางพญาคือศูนย์กลางของป้อมปราการมันจึงสำคัญที่สุด ดังนั้นแล้วตั้งแต่ที่ซูเฉินได้เป็นเจ้าของนางพญา ป้อมปราการลอยฟ้าก็จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีทางเป็นใครอื่น เจ้าคิดว่าจะต่อรองกับซูเฉินในการแบ่งส่วนปราการนางพญาไปทำไมล่ะ ?”
จูเซียนเหยาตกตะลึง
แน่นอนอยู่แล้ว !
ทั้งป้อมปราการนางพญานั้นเป็นของซูเฉินเพราะตัวนางพญาเองนั้นเป็นของซูเฉิน
แม้ว่าซูเฉินจะตกลงมอบ 3 ใน 10 ส่วนของพื้นที่ให้กับตระกูลจู แต่ซูเฉินก็สามารถควบคุมความต้องการของนางพญาได้ ซึ่ง 3 ใน 10 ส่วนนี้ก็ไม่ได้เยอะแต่อย่างใด แล้วถ้าซูเฉินมอบพื้นที่ทั้งหมดให้กับพวกเขาล่ะ ?
ซูเฉินสามารถไล่พวกเขาออกไปและยึดคืนพื้นที่นั้นกลับมาด้วยประโยคเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่ว่านั่นจะต้องเกิดขึ้นกับเผ่าปักษาอยู่แล้วหรือ ?
จูเซียนเหยาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่จูเฉินฮ่วนผู้มีอายุหลักร้อยปีจะมองข้ามมันไปได้อย่างไร
“แต่ท่านบรรพชนยังตั้งใจจะทะเลาะกับเขานี่” จูเซียนเหยายังคงจับใจความไม่ได้
“แน่นอนว่าพวกเขาต้องทะเลาะกัน ! ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าความตั้งใจของซูเฉินนั้นจริงใจเพียงไร” จูอวิ๋นเยี่ยนกล่าว
ยิ่งสัญญานั้นดูปลอมเปลือกเท่าไร มันก็ยิ่งฟังดูดีเท่านั้น
จูเฉินฮ่วนมีปากเสียงกับซูเฉินเพราะเขาต้องการจะดูว่าซูเฉินนั้นมีเจตนาที่จะทำตามสัญญาอย่างไร
มีเพียงผู้ที่ตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติตามคำสัญญาเท่านั้นที่จะลงแรงถึงเพียงนี้กับความยากลำบากแสนเข็ญ
หากซูเฉินไม่ต้องการที่จะทำตามข้อตกลง ไม่ว่าเขาจะตกลงส่วนแบ่งให้ตระกูลจูเท่าไรก็ไม่ต่างกัน
นอกจากนั้น แม้ว่า 3 ใน 10 ส่วนของอาณาเขตนี้พวกเขาจะแทบไม่ได้ใช้และไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ผลประโยชน์ที่พวกเขาสามารถได้รับจากปราการนั้นก็มีสูงกว่ามาก
ปราการลอยฟ้าเป็นเครื่องมือสงครามและจะถูกใช้ในสนามรบเสมอ ดังนั้นทรัพย์สินจากการสู้รบก็จะต้องถูกแบ่งออกตามสัดส่วนอาณาเขตที่พวกเขาครอบครอง เป็นเรื่องธรรมดาที่จูเฉินฮ่วนจะพยายามอย่างหนักที่จะเอาส่วนแบ่งนั้นมา
การวิวาทกับซูเฉินนั้นทั้งเพื่อเป็นการหยั่งเชิงเขาและเพื่อหาประโยชน์สำหรับตระกูลมากขึ้น
แค่ต้องมีการคาดการณ์ถึงข้อจำกัดของอีกฝ่ายที่จูเฉินฮ่วนพึงพอใจจะทำการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ด้วยก็เท่านั้น
เบื้องหลังความขัดแย้งและบทสนทนาแอบแฝงอยู่ซึ่งการเพิ่มขึ้นร่วมกันของความกล้าหาญ ความฉลาดเฉลียว ลักษณะนิสัย และปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่ง
ความชื่นชมในตัวซูเฉินของจูเซียนเหยามาจากการที่เขานั้นไร้ความเกรงกลัวและโต้แย้งอย่างถึงที่สุดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เขามีทั้งความกล้าและปัญญาอย่างสมดุลกัน
เนื่องจากนั่นคือความประทับใจที่เขามีต่อซูเฉิน เขาจึงสามารถหัวเราะและโอนอ่อนได้ด้วยความพึงพอใจในสิ่งที่ได้รับ
เขาสำเร็จเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การหยั่งท่าทีและหลอกลวงนี้มาถึงข้อสรุปในที่สุด
แน่นอนว่าจะต้องมีบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามแผนเสมอ
เช่นเดียวกันกับหมากรุกเกมนี้
ท่าทีของชายแก่มีแต่จะขุ่นเคืองมากขึ้นและมากขึ้น
เขาแพ้ !
บรรพชนเก่าแก่คนนี้เคยเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่โด่งดังที่สุดของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยที่มีทหารมากมายภายใต้บังคับบัญชา ภายหลังเขาก็ได้งานอดิเรกเป็นการเล่นหมากรุกเพิ่มเติมจากการฝึกวิชา เขาจึงคิดว่าตัวเองนั้นค่อนข้างจะมีฝีมือในการเล่นหมากรุก หากทักษะหมากรุกถูกแบ่งออกเป็นระดับขั้นแล้ว เขาคงจะเทียบเท่าได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินทีเดียว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้เมื่อพูดถึงหมากรุก
แต่หลังจากสองเกมแรกที่เขาเอาชนะซูเฉินได้ จูเฉินฮ่วนก็แพ้ถึงสามเกมรวด !
เขาพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ที่กล่าวว่าตนไม่ได้เล่นหมากรุกมากนักและได้หลงลืมวิธีการเล่นไปแล้ว จูเฉินฮ่วนถูกบังคับให้สอนกฎการเล่นให้เขาอีกครั้งก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเล่น !!
ไอ้เด็กเวร ! เจ้าคงจะไม่ได้แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเพื่อเล่นตลกกับข้าหรอกใช่ไหม ?
เจ้าอาจจะเก่งกาจยิ่งกว่าผู้เล่นหมากรุกด่านมหาราชันเสียอีก ! พวกเราควรสร้างระดับใหม่ให้เจ้าและเรียกมันว่าด่านรอบรู้สรรพสิ่ง !
ซูเฉินกำลังถูกกล่าวหาผิดไป
เขาลืมวิธีการเล่นไปแล้วจริง ๆ เหตุผลเดียวที่ชายหนุ่มสามารถเอาชนะชายชราได้เป็นเพราะผลึกวิญญาณของเขานั้นว่องไวกว่าสมองของบรรพชนอยู่มากทีเดียว ไม่มีทางเลยที่ทั้งสองจะเทียบกันได้
นี่จึงกลายเป็นการสังหารหมู่ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินโดยแท้ !