ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 56 ความก้าวหน้าของกังเหยียน
บทที่ 56 ความก้าวหน้าของกังเหยียน
กลางป่าเขาอันเงียบสงบ
อวิ๋นเป้ากำลังถูกห้อมล้อมด้วยอักขระลึกลับขณะที่นั่งอยู่ที่ก้นหุบเขา พวกมันส่องแสงระยิบระยับก่อตัวเป็นค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ซับซ้อน
ณ ใจกลางของค่ายกลนี้ ร่างกายของอวิ๋นเป้าได้ทอประกายแสงเจิดจ้าราวกับหลอดไฟขนาดใหญ่ ตอนนี้เขากำลังหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขาอยู่
ที่ด้านหลังของเขามีซูเฉิน จูเฉินฮ่วน เฟิงอันหยาและ 12 ข้ารับใช้ดาบคอยเฝ้าดูอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
สำหรับซูเฉินนี่คือการทดลองเปิดใช้งานค่ายกลพลังต้นกำเนิดเป็นครั้งแรก แต่สำหรับจูเฉินฮ่วนกับเฟิงอันหยา และคนอื่น ๆ นี่คือการร่วมเป็นสักขีพยานของปาฏิหาริย์
พวกเขานับเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เห็นผู้ไร้ซึ่งสายเลือดทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร
แน่นอนว่าผู้ที่ก้าวเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือด เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์อย่างแท้จริงย่อมเป็นซูเฉิน แต่วิธีของเขานั้นไม่สามารถนำมาใช้กับทุกคนได้ ดังนั้นอวิ๋นเป้าจึงถูกนับเป็นคนแรกที่ได้ใช้วิธีนี้อย่างเป็นทางการ
พลังต้นกำเนิดของอวิ๋นเป้าพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด ซูเฉินสั่ง “เริ่ม !” จากนั้นค่ายกลพลังต้นกำเนิดก็เปล่งแสงสว่างขึ้น
ภายใต้แรงกดดันของค่ายกลพลังต้นกำเนิด อวิ๋นเป้าทำตามขั้นตอนและรวบรวมพลังต้นกำเนิดของเขา ลวดลายลึกลับมากมายเริ่มปรากฏขึ้น พวกมันค่อย ๆ ควบแน่นก่อตัวขึ้นเป็นแท่นบงกช
การสร้างแท่นบงกชเป็นสิ่งแสดงพื้นฐานความสำเร็จของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร เมื่อมันเริ่มก่อตัวได้สำเร็จก็หมายความว่าวิธีทะลวงด่านนี้ได้ผลจริง ดังนั้นแม้ว่าแท่นบงกชของอวิ๋นเป้าจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ จูเฉินฮ่วนกับเฟิงอันหยาก็เข้าใจได้ทันทีว่าวิธีการนี้ใช้ได้จริง ๆ
“ข้าไม่เคยคาดหวังเลยว่าเจ้าจะทำได้จริง ๆ ” จูเฉินฮ่วนถอนหายใจ “เจ้าได้สร้างเส้นทางที่เป็นของเผ่ามนุษย์โดยเฉพาะขึ้นมาแล้ว”
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น” ซูเฉินกล่าวอย่างสงบ
ใช่ ! มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เส้นทางในอนาคตยังคงทอดยาวออกไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ซูเฉินเชื่อว่านี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความสำเร็จของพวกเขา
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ ด่านผลาญจิตวิญญาณก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
ในขณะที่แท่นบงกชค่อย ๆ มั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อวิ๋นเป้าก็จัดการลงรายละเอียดขั้นสุดท้ายบนแท่นบงกชและเก็บมันเข้าไปในตัวเขา ลำแสงพุ่งออกมาจากร่างกายของอวิ๋นเป้า บ่งบอกว่าเขาได้เข้าสู่ด่านสู่พิสดารอย่างเป็นทางการแล้ว
ความสำเร็จของอวิ๋นเป้าได้เปิดเส้นทางใหม่ให้กับทุกคน
ต่อมาก็เป็นตาของ 12 ข้ารับใช้ดาบ
เพื่อความรวดเร็ว ซูเฉินจึงได้สร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดขึ้นอีก 3 แห่ง เพื่อให้ 12 ข้ารับใช้ดาบเลื่อนระดับสู่ด่านสู่พิสดารได้ภายในสามรอบ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้ง 13 คนปรากฏตัวต่อหน้าจูเฉินฮ่วนกับเฟิงอันหยาก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันที่จะไปถึงด่านสู่พิสดารทว่าก็ไม่อาจทำให้มันเป็นจริงได้ แต่ซูเฉินกลับสามารถมอบความฝันอันน่าทึ่งนี้ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คุณค่าของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจะต้องลดลงอย่างมากเป็นแน่
โชคดีที่ซูเฉินเข้าใจความคิดของพวกเขา ชายหนุ่มกล่าวว่า “12 ข้ารับใช้ดาบติดตามข้ามาโดยตลอด ท่านทั้ง 2 คงทราบดีว่าข้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน ข้าทั้งแนะนำการฝึกฝนและให้ทรัพยากรมากมายแก่พวกเขา ดังนั้นข้าจึงเข้าใจเกี่ยวกับพวกเขาและเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขาดี นั่นคือเหตุผลที่ข้าสามารถช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จได้ หากอาศัยเพียงวิธีการอย่างเดียวมันก็ยังคงมีโอกาสล้มเหลวอยู่ดี”
วิธีการทะลวงด่านสู่พิสดารของซูเฉินไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้ใช้จะประสบความสำเร็จแน่นอน อันที่จริงโอกาสสำเร็จมันมีอยู่เพียงแค่ครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น แต่เนื่องจากซูเฉินเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเป็นอย่างดี เขาถึงสามารถให้การสนับสนุนที่เหมาะสมและผลักดันให้ทุกคนประสบความสำเร็จได้
ที่จริงแล้ว ไม่สำคัญหรอกว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เพราะพวกเขาสามารถลองใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากใช้เวลาในการฟื้นตัวเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ทุกครั้งที่ล้มเหลวโอกาสในการประสบความสำเร็จก็จะลดน้อยลง หากมีคนโชคดีไม่พอคนคนนั้นก็อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้
“แค่นั้นก็น่ากลัวมากพอแล้ว” จูเฉินฮ่วนถอนหายใจเมื่อได้ยินคำอธิบายของอีกฝ่าย
แม้แต่ผู้ที่มีสายเลือดเมื่อต้องการก้าวเข้าด่านสู่พิสดาร ก็ยังไม่มีใครสามารถรับประกันความสำเร็จที่แน่นอนได้ ยามที่จูเฉินฮ่วนพยายามจะทะลวงข้ามไปก็ยังเคยล้มเหลวไปถึง 2 ครั้ง
ในแง่ของความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ วิธีการของซูเฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าการพึ่งพาสายเลือดเลยแม้แต่น้อย และยังมีช่องว่างอีกมากให้พัฒนาต่อไปอีกในอนาคต
จูเฉินฮ่วนสามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดาย ว่าอนาคตของมนุษยชาติจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน
“ยังไม่จบ” ซูเฉินยิ้มขณะที่เขาเหลือบมองไปทางกังเหยียน “ข้ายังต้องการดูว่าวิธีการนี้จะส่งผลต่อเผ่าหินผาได้มากน้อยแค่ไหนด้วย”
กังเหยียนนั่งลงที่กลางค่ายกล
ไม่เคยมีเผ่าหินผาคนไหนไปถึงด่านสู่พิสดารมาก่อนเลย ไม่ว่าพวกเขาจะมีสายเลือดหรือไม่ก็ตาม
แต่คราวนี้ ซูเฉินต้องการทำให้กังเหยียนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ไม่เพียงแค่นั้น เขายังต้องการที่จะเปลี่ยนให้กังเหยียนเป็นเผ่าหินผาคนแรกที่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณอีกด้วย และแน่นอนว่าแม้แต่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจนถึงด่านมหาราชันเองก็เช่นกัน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสัญญากับอีกฝ่าย แต่เป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับกังเหยียนที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อเขามาเป็นเวลานานหลายปี
ในเวลาเดียวกัน พลังต้นกำเนิดจำนวนมากเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของกังเหยียน เขาหมุนเวียนและชักนำพลังเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเริ่มกระบวนการควบแน่นพลังต้นกำเนิดให้เป็นแท่นบงกช อย่างไรก็ตาม ความหนาแน่นของพลังในร่างกายของเขายังไม่ถึงระดับที่แท่นบงกชต้องการ ลวดลายบนร่างของกังเหยียนดูมือสลัวและเป็นประกายสลับกัน มันกะพริบริบหรี่ไม่หยุดหย่อนราวกับต้องการจะบอกว่าพลังต้นกำเนิดไม่เพียงพอ ในขณะที่คนอื่น ๆ สามารถรักษาแสงที่ว่านี้ให้คงที่ได้ แม้แต่ผู้ที่เฝ้ามองก็ยังบอกได้ว่ามันมีปัญหากับการเลื่อนระดับของเขา
ซูเฉินมองเห็นผ่านเนตรมองโลกจุลภาคได้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน เขาสามารถบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องพลังต้นกำเนิดของอีกฝ่ายไม่เพียงพอ แต่เป็นที่กังเหยียนขาดความสามารถในการควบคุมอย่างเต็มที่
นี่เป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของเผ่าหินผา การรับรู้เกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดของพวกเขาไม่ดีนัก และการที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมหรือใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้พวกเขาก้าวหน้าได้ยากมาก
ถึงอย่างนั้น กังเหยียนก็ไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้
เขาใฝ่ฝันอยู่เสมอว่าแม้แต่เผ่าหินผาก็สามารถทำลายโซ่ตรวนของเผ่าพันธุ์ และสร้างเส้นทางใหม่ให้แก่แห่งการบ่มเพาะได้
เหตุใดเผ่าหินผาถึงไม่สามารถแข็งแกร่งและมีสถานะที่สูงขึ้นได้ ?
สิ่งที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ 5 ไล่ตามและดิ้นรนเพื่อให้ได้มา เผ่าหินผาเองก็ควรที่จะตามไปเช่นกัน แม้ว่าเขาจะต้องให้ชีวิตของตัวเองก็ตาม
เมื่อกังเหยียนเห็นว่าตนยังไม่สามารถสร้างแท่นบงกชได้ เขาก็ตะโกนขึ้น “นายท่าน ได้โปรดเพิ่มพลังของค่ายกล”
“เพิ่มพลังของค่ายกลพลังต้นกำเนิด ? นั่นเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะอันตรายและเจ็บปวด” ซูเฉินกล่าว
ซูเฉินรู้ดีว่ามันจะรู้สึกอย่างไรเมื่อมีพลังต้นกำเนิดหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขา เนื่องจากชายหนุ่มเคยรับการเจิมน้ำมนต์ที่อารามพลังต้นกำเนิดมาก่อนหน้านี้
…เพื่อที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกคนเถื่อนต่างเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิด
ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถในการรับรู้และควบคุมได้ไม่ดีนัก
เมื่อไม่อาจควบคุมการไหลของน้ำให้เต็มส่วนที่ต้องการได้ เช่นนั้นก็ควรเติมน้ำเพิ่ม !
กังเหยียนกัดฟันและพูดว่า “ลงมือเลย !”
ได้ยินเช่นนั้นซูเฉินก็พยักหน้า “ได้ !”
เขาเปิดใช้งานค่ายกลพลังต้นกำเนิดอื่นขึ้นอีกในทันที
ค่ายกล 2 แห่งผลักดันปริมาณพลังต้นกำเนิดที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเข้าสู่ร่างกายของกังเหยียน
แสงบนร่างของเขาสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหมายความว่ามันได้ผล แต่ถึงกระนั้นครู่ต่อมาแสงสว่างก็ค่อย ๆ ริบหรี่และเริ่มกะพริบติดดับอย่างไม่เสถียรลงอีกครา
ใบหน้าของกังเหยียนเริ่มซีด “นายท่าน ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยกล่าวว่าความสามารถในการรับรู้ของเผ่าหินผามีเพียง 1 ใน 4 ของมนุษย์ถูกไหม ? ดังนั้นเผ่าหินผาจึงจำต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากกว่าเผ่ามนุษย์ถึง 4 เท่า ด่านสู่พิสดาร ถึงได้กลายเป็นคูน้ำที่เราไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ตลอดกาล”
ซูเฉินชะงัก ใช่ เขาเคยพูดแบบนั้นมาก่อน
หรือกังเหยียนกำลังจะ…
กังเหยียนกล่าวด้วยความมุ่งมั่น “เปิดค่ายกลพลังต้นกำเนิดอีก 2 ค่าย !”
ซูเฉินขมวดคิ้ว “พลังต้นกำเนิด 4 เท่านั้นมันมากเกินไป หากเจ้าไม่สามารถสร้างแท่นบงกชขึ้นมาได้สำเร็จ เจ้าอาจระเบิดตายเพราะพลังที่มากเกินได้”
“เช่นนั้นก็ให้ข้าตายไปเลย ! แม้ข้าต้องตายเพราะทำไม่สำเร็จมันก็ยังคงเป็นกรณีศึกษาได้ ข้าแค่หวังว่านายท่านจะให้โอกาสนี้กับข้า ! ข้าไม่ต้องการให้เผ่าหินผาไม่อาจเห็นแสงรุ่งอรุณของยุคใหม่ และข้าไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่คู่ควรที่จะติดตามท่านในอนาคต ถ้านั่นคือชะตากรรมของข้า ข้าขอยอมตายที่นี่และตอนนี้เลยดีกว่า” กังเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่นโดยไม่ลังเล
“อย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินจ้องมองอีกฝ่ายและรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา
ในที่สุด ซูเฉินก็พยักหน้า “ดี ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า”
ขณะที่พูด เขาก็ได้เปิดใช้งานค่ายกลพลังต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง
ค่ายกลพลังต้นกำเนิดทั้ง 4 ถูกเปิดออกพร้อมกัน พลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาลพากันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของกังเหยียนอย่างต่อเนื่อง เขาต้องทนกับการอาละวาดไปทั่วร่างกายของพลังงานที่รุนแรงและปั่นป่วนนี้ กังเหยียนทำให้ร่างกายของเขาแข็งราวกับเหล็กเพื่อกดพวกมันเอาไว้ภายใต้การควบคุมของเขา ขณะที่เขาคำรามร้องด้วยความเจ็บปวดไปตลอดกระบวนการ
“อดทน ! ตั้งสติ ทำใจให้สงบและสร้างแท่นบงกชขึ้นซะ เร็วเข้า !” คำพูดของซูเฉินที่ทะลุเข้าไปในความคิดของกังเหยียน ปลุกเจตจำนงของเขาให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาใช้กำลังทั้งหมดในร่างกายของเขาเพื่อต้านทานการโจมตีของพลังต้นกำเนิด ในเวลาเดียวกันเขามุ่งสมาธิไปที่การสร้างแท่นบงกช
ตอนนี้ร่างกายของกังเหยียนไม่ได้ทอแสงกะพริบริบหรี่อีกต่อไป แต่กลับเปล่งแสงอย่างเจิดจ้า แท่นบงกชขนาดใหญ่ที่แข็งแรงและมั่นคง เริ่มก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของเขา
“ใหญ่ขนาดนี้เชียว ?” เมื่อได้เห็นมัน อวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ ก็ตะลึงตาม ๆ กันไป
“ไม่น่าแปลกใจนัก กระแสพลังต้นกำเนิดถึง 4 เท่าของปริมาณที่เราต้องการได้ไหลเข้าไปในร่างกายของเขา นอกจากนี้ เผ่าหินผาไม่เหมาะกับงานละเอียดอ่อน ดังนั้นการสร้างมันขึ้นมาให้ใหญ่เข้าไว้ย่อมเป็นเรื่องง่ายกว่า” 1 ใน 12 ข้ารับใช้ดาบกล่าว
“ไม่ใช่ว่านั่นหมายความว่าหลังจากที่เขาเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้แล้ว ฐานการบ่มเพาะของเขาจะใหญ่ขึ้นมากหรอกหรือ ? เขาจะเก่งและมีพลังมากกว่าเรามากทั้งที่มีการฝึกฝนอยู่ในระดับเดียวหรือไม่ ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว เขายอมจ่ายในราคาและความเสี่ยงที่สูงเพื่อให้ได้รากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้มาก็ต้องดีมากเป็นธรรมดา”
“แต่เขาก็ต้องผ่านการทดสอบนี้ไปให้ก่อน” ใครบางคนพูดอย่างกังวล
“ทำได้ เขาต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน !” อวิ๋นเป้ากล่าวอย่างจริงจัง
“นั่นคงไม่ใช่ลางสังหรณ์ของเจ้าใช่ไหม ?” มีคนถาม
“ไม่ มันคือความเชื่อในตัวพวกเขาของข้า” อวิ๋นเป้าตอบ
เขาเชื่อในตัวกังเหยียน และเขาก็เชื่อในซูเฉินด้วย
เขาเชื่อว่าซูเฉินจะไม่ยอมยืนดูและปล่อยให้ผู้ติดตามคนสนิทที่สุดของเขาตายลงที่นี่ทั้ง ๆ แบบนั้นเป็นแน่ แม้ว่าสถานการณ์ของกังเหยียนจะยังอันตรายอย่างยิ่งก็ตาม…
แท่นบงกชค่อย ๆ ควบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่ากังเหยียนไม่ได้มีปัญหาในการควบคุมพลังต้นกำเนิดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาที่ถูกบังคับให้ทนต่อความรุนแรงของจากการอาละวาดของพลังมหาศาล ก็เริ่มไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ผิวที่แกร่งดุจหินของเขาเริ่มพังทลาย อวัยวะภายในเองก็ถูกกระแทกและได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอาการบาอเจ็บแบบผิวเผิน แต่เป็นความเสียหายอันรุนแรงที่เกิดจากพลังต้นกำเนิดอาละวาดไปทั่วร่างกายของเขา บาดแผลเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะอาศัยฟื้นฟูจากฐานพลังฝึกฝนเพียงอย่างเดียวได้เลย หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ …ไม่มีใครสามารถใช้พลังงานที่ทำร้ายพวกเขาเพื่อมารักษาบาดแผลของตนในเวลาเดียวกันได้
ต้องรอหลังจากที่กระแสพลังที่รุนแรงนี้สงบลงแล้วเท่านั้น กังเหยียนจึงจะจะสามารถใช้พลังต้นกำเนิดเพื่อรักษาตนได้อีกครั้ง จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาทำเพียงอดทนอย่างเงียบ ๆ
แท่นบงกชเริ่มเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนอย่างช้า ๆ มันดูแตกต่างไปจากแท่นบงกชของมนุษย์อยู่เล็กน้อย มันใหญ่กว่าและเรียบง่ายกว่ามาก ด้วยธรรมชาติของเผ่าหินผาทำให้กังเหยียนไม่ถนัดงานฝีมือที่ต้องใช้ละเอียดอ่อนนัก ความเรียบง่ายของแท่นบงกชนี้ได้สะท้อนถึงคุณลักษณะนั้นออกมา
แต่สถานะของร่างกายเขาในตอนนี้ กำลังเริ่มแย่หนักขึ้นเรื่อย ๆ
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป กังเหยียนเกรงว่าเขาคงจะได้ตายก่อนที่แท่นบงกชจะเสร็จสมบูรณ์
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ซูเฉินก็พูดขึ้นว่า “เจ้าจะไม่ตาย”
ขณะที่พูดเขาก็กรีดข้อมือของเขา เลือดสดกระเซ็นใส่กังเหยียน จากนั้นกลิ่นอายพลังชีวิตอันแข็งแกร่งก็ระเบิดออกมา
ซูเฉินดูดซับโทเทมแห่งพลังชีวิตเอาไว้ทำให้พลังชีวิตของเขาแข็งแกร่งยิ่ง แค่เลือดเพียงหยดเดียวก็เปี่ยมไปด้วยพลังงานชีวิต เมื่อเลือดเหล่านี้สัมผัสโดนตัวของกังเหยียนอาการบาดเจ็บก็หยุดลงทันทีและเริ่มฟื้นตัว
ด้วยการสนับสนุนของซูเฉิน ในที่สุดกังเหยียนก็สร้างแท่นบงกชจนเสร็จสิ้น
“สำเร็จ !” ทุกคนตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่มีสีหน้าซีดเผือด และดูเหมือนไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรหรือกังเหยียน ?” ซูเฉินถามเขา
กังเหยียนถอนหายใจ “ข้าล้มเหลว หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากนายท่านข้าก็คงตายไปแล้ว ความสำเร็จของข้าไม่อาจเป็นประโยชน์ให้เผ่าหินผาได้เลย”
ซูเฉินขมวดคิ้ว “ใครบอกว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเผ่าหินผา ? ตราบใดที่เราสามารถสร้างยาที่เพิ่มพลังชีวิตให้พวกเขาได้ วิธีการนี้ก็ย่อมใช้กับพวกเขาได้เช่นกัน จริงไหม ?”
ดวงตาของกังเหยียนเป็นประกาย
“นอกจากนี้ วิธีการฝึกฝนเองก็ยังคงมีการปรับปรุงและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำเร็จครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่เหมาะกับเผ่าหินผาขึ้นมาได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นโอกาสสำเร็จก็จะมากขึ้น ยังไงก็ตาม…. ตอนนี้เส้นทางการฝึกฝนของเผ่าหินผาได้เปิดออกแล้ว !”