ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 57 ค้นหาหุ่นเชิด
บทที่ 57 ค้นหาหุ่นเชิด
วันนี้ได้กลายเป็นวันของนิกายไร้ขอบเขต
นิกายไร้ขอบเขตได้รับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารมาถึง 29 คนในวันเดียว
ใช่ ไม่ใช่ 14 เพราะมีคนอีก 15 คนทะลวงผ่านได้สำเร็จที่เขาหมื่นดาบ ทว่าซูเฉินไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อแนะนำพวกเขา จึงมี 8 คนล้มเหลวไป แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็จะได้รับโอกาสเพื่อทะลวงข้ามไปอีกครั้งในอนาคต
อนาคตข้างหน้าหลังจากนี้ จะมีผู้ทะลวงผ่านและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้สำเร็จอีกมาก
เช่นเดียวกับที่จูเฉินฮ่วนและคนอื่น ๆ ได้เห็น เมื่อวิธีก้าวข้ามระดับที่ไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดนี้กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ขอบเขตการฝึกฝนที่สูงขึ้นก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ทำให้ค่าตัวของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารลดลง
สิ่งที่ซูเฉินทำก็เพียงแค่ดึงสิ่งสูงส่งที่อยู่ด้านบนลงมายังพื้นดิน ทุกสิ่งที่สามัญชนถือว่ามีเกียรติและไม่อาจแตะต้องได้ จะกลับกลายเป็นสิ่งมีค่าพอ ๆ กับกะหล่ำปลีในทันใด ทำให้ทุกคนในโลกนี้สามารถเดินไปในเส้นทางเฉกเช่นเดียวกันได้
นั่นคือสาเหตุ… การที่มีใครสักคนตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
แต่ซูเฉินก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าเหล่าผู้ที่แสวงหาผลกำไรจากระบบปัจจุบันจะต่อต้านชายหนุ่มมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานของซูเฉินเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่เขาจะหยุดลงเพียงเพราะคำพูดของคนวิสัยทัศน์แคบและไม่เคยที่จะเผชิญหน้ากับความลำบากบางกลุ่มอย่างแน่นอน
โชคไม่ดีที่ข่าวเรื่องที่นิกายไร้ขอบเขตได้รับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร 29 คนมาอย่างกะทันหันนี้ไม่อาจแพร่กระจาย เนื่องจากนิกายของพวกเขายังคงต้องการเวลาเพื่อสะสมแข็งแกร่งอยู่
ในขณะเดียวกัน ซูเฉินก็ได้รับข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง
ข่าวดีนี้มาจากทางฝั่งของนางพญา ซูเฉินได้ทิ้งร่างโคลนสายเลือดตัวหนึ่งเอาไว้ที่นั่น เขาได้รู้จากมันว่านางพญาได้พบสิ่งน่าสงสัยที่ดูเหมือนหุ่นเชิด
มันซ่อนอยู่ใต้เหมืองทองดาราของตระกูลจู
ข่าวร้ายคือดูเหมือนว่าเผ่าปักษาไม่รู้ว่าจะตามหานางพญาได้อย่างไร และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงเขตแดนแปลกประหลาดที่นางพญาขังตัวเองเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงวิ่งไปมารอบ ๆ ราวกับแมลงวันไม่มีหัว
แม้ว่าพวกเขาจะใช้กลวิธีทุกรูปแบบ เพื่อปกปิดแรงจูงใจที่แท้จริงในการมาเยือนเมืองนภาลัยราบ แต่พวกเขากลับกำลังติดอยู่ในการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรม ตระกูลจูรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกมนุษย์นกกำลังมองหาอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหลอกลวงคู่ต่อสู้ได้ไม่ว่าจะพยายามทำอะไรก็ตาม จากมุมมองของตระกูลจู กลวิธีและท่าทางทั้งหมดของพวกเขาดูราวกับเด็กเล่นทำให้ผู้คนรู้สึกขบขันนัก
อันที่จริง ตระกูลจูก็สามารถปล่อยให้พวกมันพยายามหลอกล่อตามที่พอใจได้ แต่มันจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยขึ้นมา ตระกูลจูจึงต้องเล่นตามน้ำไปกับพวกมนุษย์นก และหลีกเลี่ยงการทิ้งเบาะแสหรือรายละเอียดอะไรที่เกินจำเป็นเอาไว้
เมื่ออู่เยว่มี๋กังวลว่าจะหาตัวนางพญาไม่เจอ ตระกูลจูเองก็เป็นห่วงพวกมันเช่นกัน โชคดีที่ยังพอมีเวลาก่อนที่ของกินในเหมืองทองดาราที่มีให้นางพญาจะหมดลง ทุกคนจึงมีความสุขที่จะลากถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนเป็นพิเศษอะไร และอาจจะใช้เวลา 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อยเลยก็ได้
ดังนั้นจูเฉินฮ่วนจึงเริ่มการเจรจาแลกเปลี่ยนเชลยศึกที่ไร้จุดหมายกับจื่อหลิงลิ่ว ในขณะที่ซูเฉินกับผ้าเท่อลั่วเค่อได้รับข่าวดีมา พวกเขาเลยตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเหมืองทองดารา
——————————————
ผึ้งงานนำทางซูเฉินกับผ้าเท่อลั่วเค่อผ่านอุโมงค์เหมือง
เมื่อซูเฉินได้รู้ว่าแมลงเหล่านี้มีหน้าที่เก็บเกี่ยวทรัพยากรให้กับนางพญา เขาจึงตัดสินใจเรียกพวกมันว่าผึ้งงาน
จูเฉินฮ่วนสั่งให้หยุดการทำเหมืองที่เหมืองทองดารานี้ ดังนั้นทางเดินเหมืองและอุโมงค์ทั้งหมดจึงถูกทิ้งร้าง ไม่มีคนงานอยู่ในเหมืองอีกต่อไป ที่ผนังส่วนลึกของอุโมงค์บางครั้งก็มีสิ่งสะท้อนแสงสีทองแวววาวปรากฏให้เห็น
แร่ที่นี่ยังไม่ได้ถูกขุดออกไป นางพญาได้ให้กำเนิดผึ้งงานชุดใหม่ออกมาเพื่อรวบรวมและขุดแร่ทองดาราแร่ทองดาราเหล่านี้
“จู่ ๆ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้” ซูเฉินกล่าว “ความบริสุทธิ์ของแร่ศิลาจันทร์ยังไม่มากพอทำให้ยากต่อการสกัดมาก ศิลาจันทร์ที่มีคุณภาพสูงมากนั้นมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุว่าทำไมนางพญาถึงอาศัยฝูงผึ้งงานเพื่อมาขุดเอาศิลาจันทร์ทั้งหมดออกไป อย่างไรก็ตามไม่ว่านางจะหิวเพียงใดก็ไม่อาจกินทั้งหมดในคราวเดียวได้ พวกมันจึงถูกกักตุนเอาไว้ในพื้นที่แปลกประหลาดด้านใต้แทน ที่นั่นมีแร่ทองดาราอยู่เยอะมาก จนน่าจะทำให้นางพญาอยู่รอดไปได้อีกเป็นปีสองปี แต่เราไม่สามารถยืดเวลาการเจรจาไปหลายปีเช่นนั้นได้ จริงไหม ?”
“นั่นเป็นปัญหาจริง ๆ ” ผ้าเท่อลั่วเค่อตระหนักได้ถึงสิ่งที่ซูเฉินพยายามจะบอก “มีวิธีแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ ?”
ซูเฉินยิ้ม “เหตุใดข้าถึงต้องเป็นคนแก้ไขปัญหานี้ ? การทำงานร่วมกับตระกูลจูได้สอนบางสิ่งให้แก่ข้า ถ้าแร่ทองดาราไม่ถูกกินไปจนหมดแล้วยังไงล่ะ ? มันก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไร เพราะมันไม่ใช่ปัญหาที่เราต้องเก็บมาคิดเสียหน่อย ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลยนี่”
ผ้าเท่อลั่วเค่อผงะไปชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะเสียงดัง “สมเหตุสมผลยิ่งนัก คนที่มีความสามารถจริงไม่เพียงแต่รู้วิธีแก้ไขสถานการณ์เท่านั้น ทว่ายังต้องรู้วิธีหลีกเลี่ยงปัญหาด้วย จูเฉินฮ่วนช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เสียจริง”
ทิ้งปัญหาของมนุษย์นกให้มนุษย์นกจัดการ การระวังตัวมากเกินไปมักจะทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ค่อยดี
ขณะพักสมองไปเรื่อยเปื่อย ซูเฉินก็ยังคงเดินผ่านอุโมงค์สู่อุโมงค์ต่อไป
ในที่สุด ผึ้งงานก็พาพวกเขามาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเหมือง
มีหลุมขนาดใหญ่ถูกขุดเอาไว้ และที่ด้านล่างของหลุมนั้นก็มีโพรงมืดสลัว ๆ อยู่
ซูเฉินกระโดดลงไปในหลุม ก่อนจะตระหนักว่าเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรในความมืดที่อยู่รอบตัวเขาได้เลย
เขาสะบัดมือสร้างลูกไฟขึ้นมาส่องแสงสว่างให้รอบ ๆ ตัวเขา ชายหนุ่มพบว่าตอนนี้ตนกำลังยืนอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ ที่มีผนังโดยรอบเต็มไปด้วยอักขระลึกลับ
ดูเหมือนว่าหุ่นเชิดน่าสงสัยที่นางพญาพบจะอยู่ที่สุดปลายถ้ำนี้
วัตถุรูปเหมือนมนุษย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ถูกทำลายซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของถ้ำ
เหตุผลที่ซูเฉินคิดว่ามันเป็นวัตถุรูปเหมือนมนุษย์ไม่ใช่หุ่นเชิด เพราะมันยากที่จะระบุได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มันคืออะไรกันแน่ มันนั่งอยู่ด้านในม่านแสงสีขาว ซึ่งตัดกับฉากด้านหลังที่เป็นสีดำสนิทอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแสงนั่นดูสลัวมากแล้วแต่ก็ยังสว่างอยู่
สิ่งที่อยู่ด้านในม่านแสงนั้นทั้งดูเหมือนมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ในเวลาเดียวกัน หัวของมันใหญ่และกลม หูของมันยาวและแหลม ลักษณะใบหน้าของมันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แขนขาที่ทั้งบางทั้งเล็กดูตรงตามลักษณะมาตรฐานของชาวอาร์คาน่า อย่างไรก็ตาม มันมีสี่แขนและมีวัตถุทรงกลมวางอยู่ที่กลางหน้าอกของมัน
ม่านแสงกระจายตัวออกมาจากวัตถุทรงกลมนี้ มันปกป้องบัลลังก์และทุกสิ่งรอบตัวเอาไว้
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าแสงนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มันทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ด้านในถูกผนึกอย่างถาวร และมันก็ไม่ถูกสึกกร่อนไปตามกาลเวลา
ช่างยากที่จะจินตนาการว่าพลังแบบไหนกันถึงทรงพลังมากพอที่จะป้องกัน ไม่ให้กาลเวลากัดเซาะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังม่านแสงนั้นได้มาตลอดจนถึงตอนนี้
แต่บางทีอาจเป็นเพราะว่าทางเข้าถ้ำถูกเปิดออก พลังงานของมันจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าจะสลายหายไปในไม่ช้า
แต่ก่อนหน้านั้น…
ซูเฉินพยายามโจมตีม่านแสงดู แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงการโจมตีของเขากลับเพิ่มพลังงานให้มัน และทำให้มันสว่างมากขึ้นด้วยซ้ำ
“งั้นนั่นก็คือสิ่งนั้น ?” ซูเฉินถาม
“ใช่ ไม่ต้องสงสัยเลย ! มันคือหุ่นเชิดสื่อสาร !” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“นี่คือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของอาณาจักรอาร์คาน่า หุ่นนี้สร้างขึ้นวัสดุพิเศษที่ช่วยให้อยู่รอดได้ในทุกสภาพแวดล้อม มันสามารถรับและส่งข้อมูลได้มากเกินกว่าที่วิธีการในปัจจุบันทำได้ถึง 10 เท่า นอกจากนี้มันยังมีความสามารถในการป้องกันตัวเองอีกด้วย”
“ป้องกันการสูญสลายได้นานนับพันปี” ซูเฉินพึมพำ “วิทยาการของอาณาจักรอาร์คาน่าพัฒนาไปจนถึงระดับนั้นแล้วหรือ ? จนถึงจุดที่พวกเขาสามารถแปลงการโจมตีเป็นพลังงานสำหรับป้องกันได้ ?”
สิ่งใดก็ตามที่สามารถดำรงอยู่ได้นับหมื่นปีโดยไม่ถูกทำลายได้นั้น ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และที่หายากยิ่งกว่านั้นก็คือมันยังคงใช้งานได้อยู่
เป็นเรื่องยากสำหรับซูเฉินที่จะจินตนาการว่า ต้องเป็นวิทยาการเช่นใดถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้กัน แม้ว่าวิชาอาร์คาน่าที่เขารู้จักนั้นจะยอดเยี่ยมแต่ก็ไม่มีอันไหนที่มีความพิเศษถึงขนาดนี้ มันดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเกินกว่าที่เหล่าผู้คนในยุคปัจจุบันจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ หากอาณาจักรอาร์คาน่าสามารถสร้างหุ่นสื่อสารของพวกเขาได้ด้วยมาตรฐานเช่นนี้ ซูเฉินรู้สึกว่าแม้แต่เทพอสูรบรรพกาลก็คงไม่ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถสู้ได้
แน่นอนว่าผ้าเท่อลั่วเค่อเองก็ตกตะลึง เมื่อเขาตระหนักได้ว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นวิทยาการที่ยอดเยี่ยมมากขนาดไหน “ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีใครสร้างหุ่นเชิดแบบนี้ได้ เพราะไม่เคยมีใครมีความสามารถเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไร ? มีของเช่นนี้อยู่ได้ยังไงกัน ? นี่คืออะไรกันแน่ ?”
เขาจ้องมองที่หุ่นเชิดอย่างตกใจ
“ข้ารู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเจ้าพูดแบบนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างก็ตาม” ซูเฉินเดินเข้าไปดูม่านแสงที่สลัว ๆ เขาทำการคำนวณอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “น่าจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันก่อนที่มันจะหายไป”
“นี่มันอะไรกันแน่ ? ทำไมถึงได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กัน ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถามด้วยความอยากรู้อย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่ม่านแสงนี้ไม่อาจทำลายได้ มันหยุดสิ่งแปลกปลอมทั้งหมดที่มาจากด้านนอก หากพวกเขาพยายามที่จะโจมตีมันจะกลายเป็นว่าพวกเขาไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับมันแทน
ภูเขาสมบัติอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่อาจสัมผัสมันได้ ผ้าเท่อลั่วเค่อกับซูเฉินที่กระวนกระวายใจจึงทำได้เพียงเฝ้ารอ
ในตอนนั้นเอง ซูเฉินก็สังเกตเห็นลวดลายประหลาดที่เชิงบัลลังก์ มันดูเหมือนข้อความบางอย่างเรียงรายอยู่ข้างมือที่ห้อยอยู่ของหุ่นเชิด ถ้าซูเฉินไม่ได้ใส่ใจเขาก็คงจะไม่เห็นมัน
“ผ้าเท่อลั่วเค่อ เจ้ารู้ไหมว่านี่คืออะไร ?” ซูเฉินถาม
“มันเป็นอักษรอาร์คาน่าแบบโบราณ ตอนที่ข้าเกิดมามีเพียงไม่กี่คนที่รู้วิธีอ่านพวกมัน แม้แต่ข้าจำได้แค่บางคำเท่านั้น” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวตอบ
“นั่นก็เกินพอแล้ว บอกข้าทีว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง แล้วปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ภาษาแต่ละอย่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในตัวของมันเอง ตราบใดที่สามารถระบุข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้ ซูเฉินก็จะสามารถถอดรหัสความหมายของข้อความออกมาได้ แต่แน่นอนว่าสำหรับคนส่วนใหญ่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากมันต้องใช้ความสามารถในการคำนวณและการวิเคราะห์ถอดรหัสหลักการพื้นฐานที่ซับซ้อนของภาษา
ผลึกวิญญาณช่วยทำให้ซูเฉินมีความสามารถในการคำนวณที่ยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์ และด้วยพื้นฐานบางส่วนจากผ้าเท่อลั่วเค่อที่เป็นเสมือนเบาะแสบางอย่างให้เขาสามารถเริ่มต้นได้
ตามทฤษฎีแล้ว การคำนวณประเภทนี้สามารถถอดรหัสได้โดยการวิเคราะห์อักขระเพียงตัวเดียว แต่การทำเช่นนั้น จะส่งผลให้สิ่งที่ต้องคำนวณมีมากขึ้นและซับซ้อนขึ้นอีก แม้แต่ซูเฉินที่มีผลึกวิญญาณอยู่ก็ยังไม่สามารถคำนวณแบบนั้นได้ โชคดีที่ผ้าเท่อลั่วเค่อจำตัวอักษรโบราณนี้ได้มากกว่าหนึ่งตัว อักขระทั้งหมดที่เขารู้จักมีอยู่ประมาณ 30-40 ตัวด้วยกัน
จำนวนเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ซูเฉินข้ามขั้นตอนแรกเริ่มที่ยุ่งยากที่สุดไปได้แล้ว เขาใช้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เชื่อมโยงข้อกำหนดกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักซูเฉินก็สามารถถอดรหัสความหมายของข้อความนี้ได้
“นี่คือ… บันทึกของซือปาเส้อ… หุ่นสื่อสาร… หากท่านได้พบเห็นสิ่งนี้ โปรดส่งต่อเรื่องราวของข้า… ” ซูเฉินพึมพำ “ซือปาเส้อ มันมีชื่อด้วย”
ผ้าเท่อลั่วเค่อเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “เรื่องราว ? หุ่นเชิดตรงการส่งต่อเรื่องราวอะไรกัน ?”
“นั่นคือส่วนที่น่าสนใจ จำเรื่องราวเกี่ยวกับหุ่นเชิดสื่อสารที่เจ้าบอกให้ข้าฟังก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ?”
“แน่นอน”
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะซับซ้อนและน่าสนใจมากกว่าที่เราคิด” ซูเฉินถอนหายใจขณะที่เขามองดูอักขระบนพื้น “นี่เป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าและน่าสลดใจ…”