ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 65 เศษเล็กเศษน้อย
บทที่ 65 เศษเล็กเศษน้อย
จังหวะที่ฉู่ไหวเหลียงหยิบมุกดับเพลิงออกมา ซูเฉินก็ถอนใจ
ไม่ใช่เพราะเอาชนะไม่ได้ แต่เป็นเพราะรู้ว่าตนยังปรับสมดุลความสามารถได้ไม่ดีพอ และพบว่าพลังของตนยังไม่อาจนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ต่างหาก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดค้นวิชาใหม่ ๆ ขึ้น แต่ก็เป็นแค่วิชาเดี่ยว ไม่อาจนำมาควบรวมกันให้เป็นการโจมตีรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เขาไม่อาจนำมาใช้คู่กันได้ดี
ที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้เพราะหากคู่ต่อสู้ไม่แกร่งไปก็แกร่งไม่พอ แต่ตอนนี้ปัญหากลับถูกเปิดเผยโดยคู่ต่อสู้ที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขา
ซูเฉินคิดว่าตนเองควรทำตามคำแนะนำของผ้าเท่อลั่วเค่อ จัดการตนเองเสียใหม่เพื่อที่จะได้ใช้พลังให้ถึงขีดสุด นำทุกอย่างที่มีมาใช้ประโยชน์หากได้จังหวะ รวมถึงสมบัติจักรพรรดิอสูรกาย หุ่นเชิดสื่อสาร สายเลือดมังกรสุริยะ และเทียนไขชีวิต
ซูเฉินคิดแล้วก็ไม่เสียเวลาอีก
พลันมีกระแสพลังประหลาดเกิดขึ้นด้านหลังซูเฉินตอบโต้การโจมตีของฉู่ไหวเหลียง
มันส่องสว่างราวกับดวงตะวัน เริ่มขยายพลังออกมาอย่างท่วมท้นซึ่งวิ่งเข้าไปสู่ร่างของซูเฉิน
“เป็น…… ไปได้อย่างไรกัน ?” ฉู่ไหวเหลียงจ้องซูเฉินด้วยความตะลึง
“มันคือบ่อขุมพลัง” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ
ซูเฉินได้รับวิชาอาร์คาน่าทั้งสามมาจากเผ่าปักษา น้ำพุทมิฬทำให้เขาสามารถใช้สสารต้นกำเนิดแห่งความมืดได้ดียิ่งขึ้น วิชาร่างต้นแบบอาร์คาน่าช่วยเสริมพลังของร่างแยกขึ้นได้มาก ทำให้สามารถปล่อยหงส์เพลิงออกมาได้ และบ่อขุมพลัง ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายเป็นไพ่ตายของเขา ไม่เพียงแต่เสริมพลังต้นกำเนิดให้ได้มากมาย แต่ยังยกระดับวิชาต้นกำเนิดของเขาได้ด้วย
นี่เป็นวิชาอาร์คาน่าที่นำมาใช้ในการต่อสู้ได้ดีที่สุดที่เขามี การใช้วิชาของซูเฉินในตอนนี้เป็นเหมือนการเผยไพ่สุดท้าย หากไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วยวิชาเหล่านี้ ก็คงต้องโกงเพื่อเอาชนะ อย่างเช่นการใช้เทียนไขชีวิตและของอย่างอื่น
หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากทำเช่นนั้น
เขาอยากพึ่งกำลังตนเองเอาชนะศัตรูมากกว่า !
ตู้ม !
หงส์เพลิงทมิฬขยายขนาดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่แค่ขนาดแต่ยังเป็นกลิ่นอายด้วย กลิ่นอายของฉู่ไหวเหลียงลดลงเมื่อแปลงกายเป็นสัตว์อสูร ดังนั้นกลิ่นอายของซูเฉินในปัจจุบันจึงเหนือกว่าฉู่ไหวเหลียงที่มีสายเลือดเทพอสูรได้
หงส์เพลิงทมิฬกระพือปีกเกิดเป็นคลื่นพลังเพลิงพุ่งเข้าหาฉู่ไหวเหลียง
มุกดับเพลิงไม่อาจต้านทานการโจมตีของเพลิงดำได้อีกต่อไปและแตกกระจายหายไปในอากาศ
“อะไรกัน ?” ฉู่ไหวเหลียงตกใจสุดขีด
เมื่อไร้มุกดับเพลิงแล้ว เพลิงสีดำก็ไม่ถูกดูดหายไปไหนอีก อ้าปากกว้างกลืนร่างฉู่ไหวเหลียงเข้าไป
“ไม่ !” ฉู่ไหวเหลียงร้องลั่นด้วยความสิ้นหวัง ใช้สายเลือดจนถึงขีดสุดเพื่อปกป้องตนเอง
ทว่าสายเลือดเขี้ยวขาวมีพลังโจมตีสูงส่งไม่ใช่พลังป้องกัน เพลิงดำมีความสามารถในการย่อยสลายสูง กระทั่งสายเลือดเต่าดำอย่างต้านทานได้ยาก ไม่ต้องเอ่ยถึงเขี้ยวขาวเลย
สายเลือดของฉู่ไหวเหลียงรั้งอยู่ได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะแตกสลายไป
การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังมักจบลงคล้ายกัน เมื่อตัดสินแพ้ชนะแล้วก็จะต้องมีคนตาย
เมื่อเกราะพลังสิ้นสุดลง ฉู่ไหวเหลียงก็นับว่าใกล้ตายเต็มทน
“ซูเฉิน ไว้ชีวิตข้าด้วย……” ฉู่ไหวเหลียงร้องโหยหวน
น่าเสียดายที่ซูเฉินไม่สนคำที่เขาคิดจะเอ่ย ยื่นมือออกไปเจาะเลือดออกจากร่างฉู่ไหวเหลียงอย่างช่ำชองก่อนจะให้เปลวเพลิงกลืนกินเข้าไปทั้งร่างจนเหลือแต่ผุยผง
แน่นอนว่ายังยั้งมือไว้บ้างเพื่อให้เหลือแหวนพลังของฉู่ไหวเหลียงไว้
น่าเสียดายที่ฉู่ไหวเหลียงไร้ของมีค่าใดติดตัว
“มาจากตระกูลสายเลือดเทพอสูร แต่ยากจนนัก” ซูเฉินอึ้งไป
ฉู่ไหวเหลียงมีของมีค่าอยู่บ้าง เช่นมีหินพลัง ยา และเครื่องมือต้นกำเนิด แต่ซูเฉินไม่ขาดหินพลัง สามารถปรุงยาเองได้ และมีเพียงสองมือในการใช้เครื่องมือต้นกำเนิดทั้งหลาย ดังนั้นของมีค่าพวกนั้นจึงไม่เตะตาเขา
ในตอนนี้กรอบการอ้างอิงของซูเฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ของที่เขาต้องการไม่จำเป็นต้องเป็นของที่มีค่ามากที่สุด แต่เป็นของที่หายากที่สุดต่างหาก หากเป็นของที่สามารถหาได้ในแดนนี้ แม้จะมีมูลค่าสูงเขาก็ไม่ชายตามอง
เมื่อคนเราร่ำรวยมากพอ บางครั้งก็อาจไม่สนใจเรื่องเงินทองอีก
ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินคิดใช้โอ้อวด แต่เป็นมุมสะท้อนของธรรมชาติมนุษย์ คนเราไม่สนใจในของที่ตนมีอยู่มากมาย เว้นเสียแต่ว่าสิ่งแทนจะมีมูลค่าสูงพอกับของที่ตนมีอยู่แล้ว
ซูเฉินยังมีหินพลังอีกนับพันล้านก็เหลืออยู่ มีแต่การค้าที่ใช้หินพลังมากกว่าร้อยล้านเท่านั้นเขาถึงจะใส่ใจ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สนใจเงินตรา
ฉู่ไหวเหลียงมีมูลค่าเป็นหินพลังเพียงไม่กี่สิบล้านก้อน จึงไม่แปลกที่ซูเฉินจะดูหมิ่นสิ่งของที่อีกฝ่ายพกไว้ คิดว่าฉู่ไหวเหลียงคงยากจนนัก หากฉู่ไหวเหลียงที่อยู่ในแดนนรกได้ยินเข้าก็คงโกรธจนตายไปอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ซูเฉินไม่สนใจสมบัติของฉู่ไหวเหลียงเลยด้วยซ้ำ แม้จะได้กำไรมาบ้าง แต่ก็น้อยนิดเสียจนไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงคิดว่าไม่มีค่าใด ที่เห็นว่ามีค่าอยู่สักหน่อยก็คือกริชสีดำ ซึ่งนับเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 3 ชั้นสูง กระนั้นเขาก็ไม่สามารถใช้มันเองได้ ได้แต่มอบให้กับอวิ๋นเป้า
เมื่อจัดการศัตรูเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็กลับเมืองนภาลัยราบ
ด้วยการต่อสู้ดำเนินอยู่ห่างไกลจากเมืองมาก จึงไม่มีใครในเมืองนภาลัยราบรับรู้เลยว่ามีคนสายเลือดเทพอสูรเพิ่งสิ้นชีพไป ทุกอย่างดำเนินไปเช่นแต่ก่อน
เผ่าปักษายังคงตามหานางพญาไปทุกหนทุกแห่ง
นกขมิ้นเปลวเพลิงทำหน้าที่ซ่อนนางพญาได้ดีเกินคาดแม้ตระกูลจูจะเปิดประตูอนุญาตให้พวกเขาค้นเหมืองตระกูลหรงได้ตามใจชอบ แต่ก็ยังหาไม่พบ
กระทั่งตระกูลจูยังเริ่มเป็นห่วงเผ่าปักษาขึ้นมา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงใช้เวลาตามหานางพญาอีกหลายปี
เป็นเหตุผลที่พอซูเฉินกลับมา จูเฉินฮ่วนก็เรียกตัวไปปรึกษาทันที
“เผ่าปักษาพวกนี้ไร้ประโยชน์จริง ยังคงตามหานางพญาอย่างไร้ทิศทาง เมื่อหลายวันก่อน เผ่าปักษามาเยี่ยมถึงเหมืองทองดาราของเรา ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าตระกูลหรงช่วยเหลือนกขมิ้นเปลวเพลิงในการซุกซ่อนนางพญาไว้ในเขตแดนที่ไม่ใช่ของตนเองได้อย่างไร ?” จูเฉินฮ่วนพูดไปก็ถอนหายใจ สีหน้าโศกเศร้า
“นี่นับว่าเป็นปัญหา ดูเหมือนว่าเราจะต้องเตรียมดำเนินการขั้นที่ 2 แล้ว” ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ
“เจ้าคิดจะแอบเข้าไปในแดนเผ่าปักษาจริงหรือ ?” จูเฉินฮ่วนถามด้วยความสงสัย
“เมืองล่องนภา…… ข้าอยากไปเห็นด้วยตาตนเอง” ซูเฉินตอบเสียงสงบ
ภายในคุกตระกูลจู
เชลยเผ่าปักษาเกือบ 60 คนถูกขังไว้ที่นี่
ปักษาชราและปักษาหนุ่มถูกขังอยู่ห้องเดียวกัน
เผ่าปักษาชรานั่งขัดสมาธิ ส่วนเผ่าปักษาหนุ่มมองนอกหน้าต่าง คิดเรื่องบางอย่างอยู่
หลังเหม่ออยู่สักพัก เผ่าปักษาหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ ได้ยินว่าหลายวันก่อนเผ่าปักษาส่งทูตมาเพื่อแลกตัวเชลย……”
เผ่าปักษาชรายังนั่งนิ่ง ครู่หนึ่งจึงตอบ “อะไร ? เจ้าร้อนใจหรือ ?”
เผ่าปักษาหนุ่มเอ่ย “ใจศิษย์ไม่อาจสงบ อดรู้สึกห่วงกับสถานการณ์พวกเราไม่ได้”
เผ่าปักษาชราถอนใจแล้วเปิดตามองศิษย์รักตนช้า ๆ “เจ้าไม่ผิด ถูกนำมาขังในคุกประหลาดเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ทำใจให้นิ่งได้ยาก”
เผ่าปักษาหนุ่มก้มหน้าลงเงียบ ๆ
เผ่าปักษาชราเหลือบมองศิษย์ก่อนกล่าว “ข้าได้ยินมาบ้าง แต่เจ้าไม่คิดว่าแปลกหรือ ? เผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาต่อสู้กันหลายครั้ง การจับตัวเฉลยนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มีกี่ครั้งที่เราแลกตัวเชลยกัน ?”
เผ่าปักษาหนุ่มเงียบไป
ในอดีตเคยมี แต่มักเป็นพวกมนุษย์ที่เป็นฝ่ายเจรจาก่อน
เผ่าปักษาเย่อหยิ่งเป็นทุนเดิม ดังนั้นในอดีตจึงไม่เคยเป็นฝ่ายร้องขอสงบศึกกับเผ่าอื่น
เป็นสาเหตุที่พวกมนุษย์เป็นฝ่ายส่งทูตมายังเมืองล่องนภาก่อน
นับเป็นครั้งแรกที่เผ่าปักษาเป็นฝ่ายส่งทูตมาก่อน
เผ่าปักษาชราเข้าใจความคิดคนในเผ่าตน จึงเอ่ยขึ้นว่า “มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่องที่จะทำให้พวกเรายอมลดตัวลงเช่นนี้”
เผ่าปักษาหนุ่มชะงักไป อยากจะถามเพิ่ม แต่เผ่าปักษาชราส่ายหน้าแล้วชี้ไปด้านบน เผ่าปักษาหนุ่มพลันเข้าใจแล้วเงียบเสียงลงเช่นกัน
พวกเขาถูกจับอยู่ในคุกของมนุษย์ ไม่รู้ว่าที่คุยกันมีใครแอบฟังอยู่บ้าง
เผ่าปักษาชราพอจะรู้สถานการณ์อยู่บ้างแต่ไม่กล้าเอ่ย แม้ว่าเผ่าปักษาหนุ่มจะยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็ฉลาดเฉลียวและไม่ถามให้มากความ
ซึ่งก็ไม่ใช่เข้าใจผิดแต่อย่างใด เพราะความจริงแล้วตอนนี้มีคนจับตามองพวกเขาอยู่
ภายในคฤหาสน์ตระกูลจู เหนือคุกขัง
ซูเฉินนั่งอยู่หน้าผลึกแก้วตรวจสอบ ปรากฏภาพหน้าจอประมาณ 10 ภาพให้เห็นถึงเผ่าปักษาในปัจจุบัน
มีเพียงคนอย่างซูเฉินเท่านั้นจึงจะสามารถสอดส่องคนทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกันได้โดยไม่สับสน
เมื่อฝั่งบทสนทนาระหว่างเผ่าปักษาชราและปักษาหนุ่มแล้วก็หัวเราะ “สองคนนี้น่าสนใจไม่น้อย”
ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้าคุกคือจูเทียนฉือ เสร็จจากสายตระกูลจู เมื่อได้ยินคำซูเฉินก็รีบเอ่ยเสริม “เผ่าปักษาที่อายุมากกว่ามีนามว่าอู๋เยว่ชิงเหยียน ที่อายุหนุ่มกว่าคือชุยอวี่คงเหิน”
“ชุยอวี่คงเหิน ? ตระกูลชุยอวี่หรือ ?” ซูเฉินอึ้งไป
“ใช่แล้ว ตระกูลชุยอวี่” จูเทียนฉือตอบเสียงมั่นใจ
รังปักษาแต่ละรังจะมีตระกูลใหญ่เป็นศูนย์กลาง ตระกูลชุยอวี่คือหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่อยู่ในรังราตรีเยือกแข็ง
แต่ก็ไม่เหมือนกับตระกูลของมนุษย์ ตระกูลของเผ่าปักษานั้นใหญ่กว่ามาก
นั่นเป็นเพราะเผ่าปักษาไม่แบ่งแยกตระกูลออกเป็นสายย่อย
ดังนั้นในหนึ่งตระกูลจึงมีคนนับร้อยนับพันจนไม่รู้ว่าตระกูลตนเองเริ่มและจบตรงไหน ยิ่งมนุษย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะอยู่ตระกูลไหนก็ไม่สำคัญ เว้นเสียแต่ว่าเป็นคนใหญ่คนโตในตระกูล
ชุยอวี่คงเหินก็ไม่ต่าง แม้ในทางทฤษฎีจะเป็นชนชั้นสูง แต่ก็อยู่ในลำดับที่ 342 ฐานะของบิดาและมารดาอย่างมากก็อยู่แค่ธรรมดา ซึ่งก็ส่งต่อมายังเขา ทว่าอาจารย์ของเขา อู๋เยว่ชิงเหยียนนั้นน่าประหลาดใจไม่ใช่น้อย
เขาเป็น 1 ใน 5 นักบวชในนิกายแห่งพระแม่ของรังราตรีเยือกแข็ง มีฐานะและอำนาจสูง ยกระดับฐานะของชุยอวี่คงเหินในตระกูลให้สูงขึ้น
แต่ในตอนที่ชายแดนถูกรุกราน ชุยอวี่คงเหินและอาจารย์โชคร้ายถูกมนุษย์จับตัว เป็นเฉลยศึกอยู่อย่างน้อย 3 ปีแล้ว
ด้วยฐานะนักบวชของอู๋เยว่ชิงเหยียน อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยจึงดูแลพวกเขาดีไม่ใช่น้อย ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ในตอนแรกราชวงศ์ลังเลที่จะขายพวกเขาให้แก่ตระกูลจู
ครั้งนี้ ตระกูลจูใช้เส้นสายทั้งหมดเพื่อเอาตัวศิษย์อาจารย์คู่นี้มา
รายชื่อคนที่จื่อหลิงลิ่วต้องการเจรจาให้ปล่อยตัวก็รวมถึงเผ่าปักษาคู่นี้ด้วย
“อะไรกัน ? พวกเขาเตะตาเจ้าหรือ ?” จูเฉินฮ่วนมุ่นคิ้ว “ข้าไม่แนะนำให้เลือกพวกเขา”
“เพราะเหตุใด ?”
“ตาแก่นั่นฉลาดไม่น้อย จะปิดบังยามอยู่ใกล้คงยาก”
“แต่เขามีฐานะสูงมาก เป็นหนึ่งในนักบวชของรังราตรีเยือกแข็ง เมื่อมีอาจารย์เช่นนี้ ข้าก็จะสามารถติดต่อกับชนชั้นสูงเผ่าปักษาได้”
“จุดมุ่งหมายของเจ้าไม่ใช่การแทรกซึมไปยังชนชั้นสูงของศัตรูนะ !”
“ก็เป็นเพียงจุดมุ่งหมายเสริม อย่างไรก็ต้องเดินทางไปอยู่แล้ว ข้าก็จัดการให้ได้ประโยชน์มากที่สุดเสียเลยสิ”