ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 68 มาเยือน (1)
บทที่ 68 มาเยือน (1)
เชลยเผ่าปักษาทั้ง 60 คนถูกแยกเป็นคู่แล้วขังใน 30 ห้องขัง ตระกูลจูมีห้องขังไม่มาก ต้องปรับห้องอื่นมาใช้ขังโดยเฉพาะถึงได้มีที่มากพอ
เพื่อร่วมห้องของอวี้หลิวหมิงคือเผ่าปักษาชรา
เผ่าปักษาชรามีอายุไม่น้อย ยามเอ่ยคำก็ตะกุกตะกัก จิตใจไม่กระจ่าง อวี้หลิวหมิงจึงไม่ชอบเขาเท่าไหร่ บางครั้งก็ส่งเสียงละเมอออกมายามเห็นภาพหลอน
เอาแต่พูดว่าตนเคยเป็นเผ่าปักษาฐานะสูงส่ง แต่ประสบบางอย่างเข้า ที่ถูกพวกมนุษย์จับมาเป็นเพราะกำลังพยายามหาสมบัตินั่น ถึงได้ถูกจับขังเช่นนี้
อวี้หลิวหมิงรู้สึกว่าหากใส่ใจตนจะบ้าไปด้วย ดังนั้นส่วนมากจึงเมินเผ่าปักษาชราไปเสีย
ทว่าห้องก็เล็กเท่านั้น จะหลบได้ก็จำกัด
“เจ้าหนุ่ม ทำไมไม่เชื่อข้าล่ะ ? ข้าพูดจริง ๆ มันอยู่ใกล้หุบเขาธารดำ เผ่าวิญญาณทิ้งของล้ำค่าไว้ เต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย วิชาอาร์คาน่าล้ำค่าก็ยังมี ที่ข้าบอกเพราะเจ้าเคยดูแลข้าหลายครั้ง จำไว้ หาเมดูซ่าสามหัวในอารามพังให้พบ เลือกหัวทางขวา แล้วเจ้าจะเจอหนทางสู่ความร่ำรวย……” ชายชราพึมพำ
“เมดูซ่าไม่ได้มีสามหัวนี่” อวี้หลิวหมิงเอ่ย
“ก็เลยเป็นกลไกลับที่ดีได้ไงเล่า”
“ข้าเพียงหวังว่าท่านจะหยุดเพ้อสักที” อวี้หลิวหมิงถอนใจ
ชายชราไม่พอใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พึมพำคำฟังไม่ได้ความอีกหลายประโยคก่อนเงียบไป
ครู่ต่อมา ทหารยามคนหนึ่งก็เข้ามา
ผู้คุมคนเดิมพี่มีหน้าตาท้วมเดินนำหน้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นำตัวชายชราไป
เขาพุ่งเข้ามาด้านในคุกแล้วคว้าร่างชายชรา ผลักออกจากคุกอย่างไม่เบามือ
“พวกเจ้าจะทำอะไร ?” แม้อวี้หลิวหมิงจะไม่ชอบชายชราที่ละเมอเพ้อพก แต่ก็อดร้องขึ้นไม่ได้
“หลีกไป !” ผู้คุมผลักอวี้หลิวหมิงออกแล้วลากเผ่าปักษาชราออกไป
อวี้หลิวหมิงเห็นชุยอวี่คงเหินกลับเข้ามาในคุกข้างเคียงเหมือนเดิม รู้ว่ามีคงผลลัพธ์ไม่ดีแน่ แต่ก็ทำได้เพียงดูชายชราถูกนำตัวไปไม่อาจทำอะไรได้
ราวหนึ่งชั่วยาม ชายชราก็กลับมา
ชายชราราวกับเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลังจากถูกทุบตีอย่างสาหัส
“มนุษย์พวกนั้นป่าเถื่อนยิ่งนัก !” อวี้หลิวหมิงเอ่ยเสียงโกรธ
“ก็ไม่แปลกหรอก” ชายชราตอบ “พวกมนุษย์ที่ถูกขังอยู่ในคุกของเราก็คงได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกันหรอกกระมัง ? สุดท้ายก็ยุติธรรมเหมือนกันหมด”
“ยังจะพูดเข้าข้างพวกมันอีกหรือ ?” อวี้หลิวหมิงไม่เข้าใจ
“หึ ข้าก็แค่พูดความจริง” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงประหลาด
วิธีการพูดของเขาดูจะแปลกตาอวี้หลิวหมิงไปสักหน่อย อวี้หลิวหมิงจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัย “ท่านเป็นอะไรไป ?”
ชายชราถอนใจ “ไม่ได้เป็นอะไร ข้าจะตายอยู่แล้ว สายตาเลยกระจ่างแจ้งกระมัง”
จะตายอยู่แล้ว ?
อวี้หลิวหมิงอึ้งไป “ท่าน…… พูดจริงหรือ ?”
ชายชราคว้ามืออวี้หลิวหมิงไว้ “ข้ารู้สภาพตนเองดี ข้าแก่มากแล้ว กระดูกเปราะบางนัก เจ้าพวกนั้นทุบตีข้าจนอวัยวะภายในบอบช้ำ และข้าไม่อาจใช้พลังต้นกำเนิดได้ สุดท้ายจะตายอย่างช้า ๆ คงจะในอีกไม่นานหรอก”
อวี้หลิวหมิงได้ยินแล้วก็ตกใจ
จึงเริ่มร้องตะโกนออกไปนอกคุก “นี่ มีใครอยู่หรือไม่ ? เขาจะตายแล้ว ! ใครก็ได้ส่งหมอมาช่วยเขาหน่อยได้หรือไม่ ? หรืออย่างน้อยก็ให้ใช้พลังต้นกำเนิดบ้าง !”
ไร้ซึ่งคำตอบใด
เชลยเผ่าปักษาเหลือบมองมา ส่องแววเห็นใจสงสาร
“อย่าเสียเวลาเลย” ชายชราพึมพำ “เจ้าหนุ่มเข้ามานี่ ก่อนจะตายข้ามีความลับจะบอก”
อวี้หลิวหมิงส่ายหน้า “อย่าได้พูดเรื่องคลังสมบัติอีกเลย”
“ไม่ มันไม่เกี่ยวกับคลังสมบัติ” ชายชราตอบ “เป็นอีกความลับหนึ่งเกี่ยวกับเมืองนภาลัยราบ”
“อะไรนะ ?” อวี้หลิวหมิงตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ชายชราโบกมือ ทำท่าให้เขาก้มตัวเข้ามา
จากนั้นก็กระซิบเสียงเบา “ฟังให้ดี ใต้เท้าที่เรายืนมีแดนประหลาดอยู่”
เมื่อเขากระซิบเสียงเบา ๆ ที่ข้างหู อวี้หลิวหมิงก็ยิ่งเบิกตากว้างขึ้น
“ท่าน…… พูดจริงหรือ ?”
“จริงสิ !”
“แล้วรู้ได้อย่างไร ?”
“จำนกขมิ้นเปลวเพลิงจากเมืองหลวงได้ไหม ?”
“จำได้” อวี้หลิวหมิงหน้าแดงเล็กน้อย
เขาย่อมจำนักร่ายมนตร์แห่งรังเสียงละไมได้ ครั้งหนึ่งยังเคยชอบนางด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่นางมาถึงแล้วก็ถูกนำตัวไป ส่วนนางอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้
ชายชราเอ่ย “นางเป็นคนบอก”
“จะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะนางหรือ ?” อวี้หลิวหมิงอึ้งไป
ชายชราพยักหน้า “ใช่ น่าเสียดายที่นางทำไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะล้มเหลวไปทั้งหมด พวกมนุษย์ยังไม่รู้ถึงความลับนี้”
“แต่ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าท่านติดต่อกับนาง” อวี้หลิวหมิงว่า
“มันเกิดขึ้นตอนข้ายังอยู่ข้างนอก นางบอกข้าไว้ตอนข้าไปพบนางเข้า”
“แล้วทำไมถึงต้องบอกท่านด้วย ?”
“นางไร้ทางอื่น” เผ่าปักษาชราตอบ “นางรู้ว่านางกำลังจะตาย แต่ความลับของแผนการฟื้นคืนเผ่าปักษาไม่อาจตายไปพร้อมกับนางได้ นางจึงต้องบอกกล่าวกับคนอื่นเพื่อที่จะเก็บความลับนี้ต่อไป ตอนนี้ข้าจะตายแล้วจึงไร้ทางเลือก มีแต่ต้องบอกเจ้า ได้แต่หวังว่าเจ้าจะมีจังหวะได้พูดคุยกับพวกเขา”
“คุยกับใคร ?”
“จื่อหลิงลิ่ว…… ทูตที่ถูกส่งมาครั้งนี้”
อวี้หลิวหมิงพลันเข้าใจ “พวกเขาไม่ได้ใส่ใจช่วยเชลย แต่มาหาสิ่งนั้นสินะ”
“ถูกต้อง ทว่ามีแต่ต้องพบเจ้าพวกเขาถึงจะสามารถบอกที่อยู่สมบัติได้” ชายชรากล่าว
“แล้วอย่างไร ?” อวี้หลิวหมิงส่ายหน้า “พวกเขาไม่ได้มาช่วยเรา เราเองก็ติดต่อพวกเขาไม่ได้ด้วย”
“ข้าจะหาจังหวะให้” ชายชราว่าพลางจับมืออวี้หลิวหมิงแน่น “หากเจ้าสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อบอกพวกเขาเรื่องความลับนี้ละก็นะ !”
ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห่งความหวัง อวี้หลิวหมิงรู้สึกราวกับไหล่ตนถูกความรับผิดชอบถ่วงไว้จนหนัก
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการขยายตัวของเผ่าปักษาในอนาคตและความสำเร็จของจุดลอยที่ 6 เขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแม้จะต้องสิ้นชีพก็ตาม
ในตอนนั้นเอง อวี้หลิวหมิงก็รู้สึกราวกับตนจะต้องเป็นคนสรรค์สร้างประวัติศาสตร์เผ่าปักษาขึ้นทีเดียว
เขาพยักหน้ารับหนักแน่น “ท่านอย่าห่วง หากข้าติดต่อกับพวกเขาได้ จะต้องเตือนพวกเขาแน่ แต่… ข้าจะติดต่อกับพวกเขาได้อย่างไร ?”
“อย่าห่วงเลยเจ้าหนุ่ม ทูตมาในเรื่องว่าช่วยเชลย แต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ ยังไม่ทันได้พบเชลยเลย ตระกูลจูคงเริ่มสงสัยแล้ว พวกเขาทั้งทุบตีทั้งเค้นคอข้าเพื่อหาจุดประสงค์ของทูต ตัวทูตน่าจะมาพบพวกเราสักหน่อย และตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสของเรา …” ชายชราตอบ
วันต่อมา
ภายในห้องโถงใหญ่ตระกูลจู
จื่อหลิงลิ่วตั้งอยู่บนที่นั่งแขก หัวเราะไปพร้อมกับจูอวิ๋นเยี่ยน “หัวหน้าตระกูลจู ข้าเป็นเพียงผู้นำคณะทูตเล็ก ๆ นำคำสั่งจากเบื้องบนมาเท่านั้น ไม่มีอำนาจตัดสินใจมากมาย การต่อรองเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าตัดสินใจเองได้ ในช่วงนี้เราดำเนินการไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องรอให้อาณาจักรของข้าตอบกลับมาเสียก่อน พวกเขาเป็นฝ่ายที่ต้องตัดสินใจ ก่อนที่การพูดคุยของเราจะดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น นี่คือเหตุผลที่ทำให้การเจรจาของเราดำเนินมานานเช่นนี้ หวังว่าท่านจะอภัยให้พวกเราได้”
จูอวิ๋นเยี่ยนตอบเสียงนิ่ง “พวกท่านว่าเช่นนั้น แต่ข้ายังรู้สึกว่าพวกท่านไม่ได้สนใจเหล่าเชลย พวกท่านอยู่เมืองนภาลัยราบมาหลายวันแล้วใช่หรือไม่ ? แต่ไม่ถามสักคำว่าเชลยที่จะแลกตัวกลับไปเป็นอย่างไรบ้าง ไม่กลัวว่าพวกเราจะปฏิบัติกับเชลยไม่ดี เผลอทำเชลยตายไปสักคนหนึ่งบ้างหรือ ?”
จื่อหลิงลิ่วรีบเอ่ย “แน่นอนว่าเราเชื่อคำหัวหน้าตระกูลจู”
จูอวิ๋นเยี่ยนพลันเอ่ย “ก็พูดยาก เมื่อวานลูกน้องตระกูลจูคนหนึ่งดื่มเหล้ามากไป ซ้อมเชลยเผ่าปักษา ใช้แรงมากไปหน่อยจนเชลยผู้นั้นอยู่ได้ไม่นาน แม้ข้าจะลงโทษแล้ว แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ไอ้หยา เป็นความผิดข้าเองที่ไม่สั่งสอนลูกน้องให้ดี แต่ตระกูลนี้ใหญ่เกินไป คนยิ่งมาก ยิ่งมีเรื่องพลาดมาก ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นรายไหนอีก ?”
จื่อหลิงลิ่วผุดลุกขึ้นทันที
หากเป็นเผ่าปักษาตายคนเดียวพวกเขาย่อมไม่สนใจ แต่ในเมื่อมาเพื่อแลกตัวเชลย ก็ต้องแสดงให้ดีสักหน่อย “หัวหน้าตระกูลจู ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนกลอกตา “ข้าบอกแล้วไม่ใช่ข้าที่ทำ อย่างไรหากพวกท่านไม่สน แล้วข้าต้องสนหรือ ?”
“เรื่องนี้……” จื่อหลิงลิ่วดูดิว่าพวกตนจัดการเรื่องเชลยได้ไม่ดีเท่าไหร่ จึงทำให้อีกฝ่ายเริ่มเคลือบแคลง
คิดอยู่ครู่หนึ่ง จื่อหลิงลิ่วจึงเอ่ยขึ้น “เป็นเพราะเชื่อในนิสัยหัวหน้าตระกูลจู ข้าจึงวางใจได้ แต่คราวนี้ก่อนจะคุยกันจบ เราต้องสืบหาแล้วว่าตระกูลจูดูแลเชลยอย่างไรบ้าง”
“โอ้ ? แล้วจะสืบหาอย่างไร ?” จูอวิ๋นเยี่ยนเลิกคิ้ว
“ข้าต้องไปดูเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์สักหน่อย ไปตรวจดูร่างกายพวกเขา ท่านต้องรักษาคนที่บาดเจ็บทันที และสัญญาว่าจะไม่ใช่เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก !” จื่อหลิงลิ่วทำทีเป็นโกรธเกรี้ยว
ในสายตาของคนที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการร้าย ท่าทางเช่นนี้ดูน่าขบขันไม่น้อย..
จูอวิ๋นเยี่ยนพยายามกดความอยากหัวเราะลงทว่าล้มเหลว ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นหลุดออกมา “พวกท่านพูดเหมือนมันง่ายดายนัก คิดว่าจะเดินไปดูตรงไหนก็ได้งั้นหรือ ?”
จื่อหลิงลิ่วเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ด้วยรู้ว่าหากถอยตอนนี้ อีกฝ่ายจะยิ่งสงสัยมากขึ้น อย่างไรคนตระกูลจูก็เริ่มเฝ้าติดตามพวกเขามาตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้ว
คิดได้ดังนี้ จื่อหลิงลิ่วจึงเอ่ยว่า “ครั้งนี้พวกเรานำของขวัญติดมาด้วย ขอหัวหน้าตระกูลจูได้โปรดรับความหวังดีนี้ไว้”
ว่าแล้วก็ตบมือ ลูกน้องเผ่าปักษาก้าวขึ้นมา ในมือถือแหวนกักเก็บไว้
จูอวิ๋นเยี่ยนรับแหวนกักเก็บมาดูแล้วคลี่ยิ้ม “อ้อ ตอนนี้จริงใจแล้วสิ เช่นนั้น… เซียนเหยา พาพวกเขาไปดูคุกหน่อย”