ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 8 แขก
บทที่ 8 แขก
หลี่เจียงเป็นหนึ่งใน 73 ข้ารับใช้ดาบ มีหน้าที่รับผิดชอบอาหารการกินในทุกวันของซูเฉิน
หน้าที่หลักของหลี่เจียง คือเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็เตรียมอาหารเช้าให้ซูเฉิน จากนั้นนำไปวางบนโต๊ะอาหารเช้า
กำลังจะยกไปก็พบว่าซูเฉินเดินเข้ามาทางเขาแล้ว โดยออกจากห้องมาทางประตูด้านข้าง
“ท่านเจ้านิกาย” หลี่เจียงเอ่ยเสียงเคารพ
“อืม” ซูเฉินพึมพำตอบ จากนั้นเดินมานั่งที่โต๊ะแล้วหยิบถ้วยโจ๊กขึ้นดื่ม แล้วกล่าวคำประหลาดออกมา “การกินอาหารทำให้มันอยู่ได้นานขึ้นด้วยหรือ หืม ?”
หลี่เจียงได้ยินคำถามลอย ๆ เช่นนี้ขึ้นมาก็ไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าซูเฉินพูดอะไร กำลังจะตอบคำก็ได้ยินซูเฉินพูดขึ้นว่า “ไปเรียกคนอื่น ๆ มา วันนี้ข้าอยากรับรู้เรื่องภายในนิกายสักหน่อย”
“ขอรับ” หลี่เจียงออกไปตามคำสั่ง
สักครู่ต่อมา หลี่ฉงซานและคนอื่นก็มาถึง รายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักขึ้นมา
แม้ว่าซูเฉินจะใช้เวลาส่วนมากทำการวิจัยอยู่ในห้อง แต่ก็ยังพยายามรับรู้ความเป็นไปภายในนิกายอยู่ตลอด ทั้งยังบอกสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม เรื่องเช่นนี้จึงไม่แปลก
แต่ครั้งนี้ไม่รู้ทำไม หลี่เจียงถึงรู้สึกว่าซูเฉินดูเชื่อง ๆ กว่าปกติ
หลังคุยกันมาสักพัก ฉู่อิงหว่านไม่อาจทนได้อีกต่อไปจึงเอ่ยขึ้น “เจ้านิกาย เจ้าสบายดีหรือไม่ ?”
“หือ ? ทำไมจะไม่สบายดีล่ะ ?” ซูเฉินหัวเราะ
“เจ้านิกายวันนี้ดูไม่กระฉับกระเฉงเท่าไหร่” หลี่ฉงซานกล่าว
ซูเฉินยังหัวเราะ “แค่ระดับพลังงานหรือที่ไม่เหมือนเดิม ?”
“ดูเหมือนว่า……” เฉิงเถียนไห่ใช้สายตาสงสัยจ้องซูเฉิน “ทำไมไอ้จู๋ของเจ้าถึงได้ดูอ่อนแอลงเช่นนี้ ?”
ดูท่าจะมีเพียงเฉิงเถียนไห่ที่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้บอกมาตามตรง
ซูเฉินไม่ใส่ใจอะไร ถามด้วยความฉงนเล็กน้อย “ท่านก็สัมผัสได้หรือ ?”
คนอื่น ๆ เข้าใจความหมายที่ซูเฉินจะสื่อ ทว่าเฉิงเถียนไห่กลับพยักหน้าตามตรง “ใช่แล้ว กลิ่นอายเจ้าดูอ่อนแอลงเล็กน้อย”
ซูเฉินเห็นด้วย เขาลูบคางแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว กลิ่นอายอ่อนแอลงเล็กน้อย หากมีวิธีแก้ตรงส่วนนี้ แม้จะไม่ได้ให้ผลจริง แต่ก็น่าจะดี”
หลี่ฉงซานและคนชะงักไปเมื่อได้ยินเขาว่า “เจ้านิกาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
“ไอ้หยา ระดับพลังงานต่ำแล้ว แค่พูดคุยกับพวกท่านก็รู้สึกเหนื่อยสุด ๆ” ซูเฉินถอนหายใจแล้วก้มลงมองร่างกายตนเอง “ยังคงสกัดเลือดออกมาน้อยเกินไป ไม่สามารถโครงร่างไว้ได้นานกว่านี้แล้ว เอาเถอะ ตลาดวายเสียตอนนี้เลยดีกว่า”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะหายไปในทันที เหลือไว้เพียงชุดคลุมตัวยาวร่วงลงไปกับพื้น
ทุกคนชะงักไป ฉือไคฮวงรีบเดินเข้าไปหยิบชุดคลุมที่พื้น ก่อนจะเห็นเลือดหยดหนึ่งเปื้อนอยู่
เขาเป็นคนแรกที่ตอบสนองและหัวเราะออกมา “ดูท่าเจ้าหนูจะสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่น่าสนใจขึ้นมาอีกแล้ว”
คนอื่นจึงได้สติเมื่อซูเฉินอีกคนเดินออกมาจากประตูด้านข้างบานเดียวกัน แต่ครั้งนี้มีกลิ่นอายผ่าเผยกว่า ไม่เหลือเขาความอ่อนแอให้ได้เห็น
“สร้างวิชาแยกร่างได้หรือ ?” ทุกคนดูประหลาดใจแต่ท่าทางยินดี
“ไม่ใช่แยกร่างได้จริง ๆ หรอก เพียงแต่สร้างหุ่นเชิดมนุษย์ตัวเล็กขึ้นมาเท่านั้น” ซูเฉินเดินเข้ามานั่ง อธิบายถึงวิธีการสร้างหุ่นเชิดขึ้นมา
ได้ยินว่าซูเฉินสร้างของเช่นนั้นขึ้นมา ทุกคนก็ทั้งตื่นเต้นและรู้สึกพิศวง
เฉิงเถียนไห่ว่า “หรือก็คือ หากข้าเอาเลือดในร่างทั้งหมดมาใส่เจ้านั่น…… มันเรียกว่าอะไรนะ ? สสารต้นกำเนิดหรือ ? แค่ใส่เจ้าสสารต้นกำเนิด เจ้าก็สามารถสร้างข้าอีกคนขึ้นมาได้งั้นหรือ ?”
ซูเฉินตอบ “มันจะไม่ได้พลังทั้งหมดของท่านมา อาจจะได้เกือบครึ่งหนึ่ง ร่างยังเป็นของท่านอยู่ จิตนึกคิดก็จะยังเป็นของคนที่สร้างหุ่นเชิดขึ้นมา”
“อ้อ……” เฉิงเถียนไห่เงียบไป มันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำใจยอมรับสักเล็กน้อย
ฉู่อิงหว่านหยิบชุดคลุมยาวขึ้นมาก่อนถาม “ใช้พลังต้นกำเนิดสร้างภาพมายาเสื้อผ้าเหล่านี้ขึ้นมาได้หรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบ “ได้ ทั้งยังไม่ได้ใช้พลังงานเพิ่มเติมจากตัวหุ่นเชิดด้วย พลังจากหุ่นเชิดมาจากเลือดคน เมื่อถูกใช้ไปแล้วจะฟื้นพลังได้ยากมาก”
เมื่อหุ่นเชิดมนุษย์หมดพลังแล้วก็จะหายไป
ซูเฉินลองใช้หลากหลายวิธีแก้ปัญหาแล้ว รวมถึงใช้หินพลังต้นกำเนิด กระทั่งเติมพลังให้มันเอง แต่ก็ให้ผลได้ไม่ดีนัก การดูดซับพลังของมันมีค่าตามสัดส่วนกำลังของร่างกายหลัก หรือก็คือ หากหุ่นเชิดมีพลังเพียง 10 ส่วนของร่างกายหลัก ก็จะสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดที่ร่างกายหลักสามารถดูดซับได้ในอัตรา 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น
กลับกันแล้ว หุ่นเชิดสามารถดูดซับพลังจากอาหารที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ได้เต็มที่
โจ๊กเมื่อก่อนหน้าเพิ่มระยะเวลาที่ซูเฉินสามารถคงร่างไว้ได้ขึ้นมาก
แต่ซูเฉินก็ไม่สามารถให้หุ่นเชิดมนุษย์กินส่วนผสมล้ำค่าได้ ให้เลือดเพิ่มอีกสักหลายหยดจะคุ้มค่ากว่า
แต่หากต้องใช้หุ่นเชิดมนุษย์ออกไปทำภารกิจด้านนอก ไม่อาจหาหนทางฟื้นคืนพลังได้ ก็คงต้องใช้วิธีนั้นในการยืดระยะเวลาการมีอยู่ของมัน
สิ่งที่ซูเฉินมั่นใจแล้วคือ ไม่ว่าพลังงานจะถูกใช้ไปมากเท่าไหร่ แต่จะให้หุ่นเชิดคงอยู่ตลอดก็เป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็เป็นเพียงหุ่นเชิด ไม่สามารถมาแทนร่างกายหลักได้ จุดประสงค์ของมันคือใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ให้มาแทนร่างจริงแบบเหมือนกันทุกประการ
กระนั้นหุ่นเชิดมนุษย์ก็ยังมีมูลค่าสูงมาก
“เจ้าหมายความว่า หากเราเก็บเลือดเอาไว้สักหลายขวดแล้วพกสสารต้นกำเนิดตัวนี้ไปด้วย หากพบอันตรายก็สามารถใช้มันสร้างเป็นตัวแทนได้ ซึ่งไม่เพียงใช้ต่อสู้แทนแต่ยังช่วยสร้างความสับสนให้ศัตรูยามหนีได้ด้วยงั้นหรือ ?” หลี่ฉงซานเข้าใจสถานการณ์ได้โดยเร็ว
“เป็นเช่นนั้น” ซูเฉินกล่าว
หุ่นเชิดมนุษย์มีประโยชน์ทั้งในการช่วยสู้ช่วยหนี
แม้การสร้างหุ่นเชิดที่มีความสามารถในการต่อสู้และสามารถคงอยู่ได้ยาวนานจะต้องใช้เลือดเป็นจำนวนมาก แต่ของเหล่านี้ก็สามารถตระเตรียมไว้ก่อนได้
หากสกัดเอาเลือดเก็บไว้ตอนยังไม่เกิดเรื่องอะไร หากมีสสารต้นกำเนิดมากเพียงพอก็สามารถสร้างกองทัพหุ่นเชิดมนุษย์ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ
กระนั้นซูเฉินก็ไม่คิดจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้
เลือดของผู้เชี่ยวชาญพลังมีพลังต้นกำเนิดอยู่ แต่ละหยดเต็มไปด้วยพลังงาน เสียเลือดไปแต่ละหยดจำต้องใช้เวลาบ่มเพาะพลังกลับคืนมา
การสกัดเอาเลือดออกมาเรื่อย ๆ จะทำให้ความสามารถในการสร้างร่างแยกสูงขึ้น แต่ก็หมายความว่าร่างหลักจะเกิดอาการเจ็บไข้เรื้อรังและไม่อาจพัฒนาต่อไปได้ ทำให้ย่ำอยู่กับที่ไม่แข็งแกร่งกว่าเดิม
อีกทั้งสสารจำลองร่างนี้ก็เหมือนกับสสารต้นกำเนิดเงา ในใต้หล้านี้หาได้ยากนัก
ซูเฉินไม่สามารถทำให้วิชานี้เรียบง่ายขึ้นได้ ทำได้เพียงสร้างเครื่องมือนำพลังขึ้นและค่อย ๆ ใช้มันสร้างคลังเก็บของขึ้นมาเท่านั้น
จะใช้มันเป็นกลยุทธ์เอาตัวรอดยามคับขันนับว่าได้ แต่จะสร้างมาทั้งกองทัพยังนับว่าไม่คุ้ม
เครื่องมือจำลองร่างจึงกลายเป็นรางวัลชิ้นที่ห้าของนิกาย เริ่มสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ซูเฉินพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ใหม่ขึ้นไม่หยุด ศิษย์ในนิกายก็ทำความดีความชอบให้นิกายต่อไป ท้ายที่สุดแล้วของรางวัลเหล่านี้ก็กลายเป็นแหล่งทรัพย์สมบัติอุดมสมบูรณ์ให้กับนิกายไป
ซูเฉินกำลังนั่งทำการทดลองอยู่ในห้องตามปกติ
เงามรณะเดินเข้ามาจากด้านนอก
“นายท่าน !” เงามรณะคุกเข่าลง
“มีเรื่องอะไร ?” ซูเฉินยังจ้องโทเทมวิญญาณสายฟ้าเขม็ง ไม่แม้แต่จะหันมา
“เรามีแขกขอรับ”
“ใครกัน ?”
“ฉือหมิงเฟิง”
เมื่อได้ยินชื่อฉือหมิงเฟิง ซูเฉินก็มุ่นคิ้ว สุดท้ายจึงเงยหน้าขึ้นมา
แล้วหัวเราะ “คนผู้นี้ตามกลิ่นรวดเร็ว พาเขาไปยังห้องรับแขก ข้าจะไปพบเขาที่นั่น”
ชั่วครู่ต่อมา ซูเฉินก็มาปรากฏอยู่ในห้องรับแขก ฉือหมิงเฟิงเห็นแล้วจะหัวเราะ “ยินดีด้วยท่านเจ้านิกายซู ! ต่อไปต้องฝึกฝนคนฝีมือโดดเด่นมาได้อีกมากเป็นแน่ !”
“เหล่าฉือ ทำไมพูดสุภาพกับข้าล่ะ ?”
ซูเฉินกับฉือหมิงเฟิงอาจนับได้ว่าเป็นสหายเก่า แม้ความลังเลใจในระหว่างที่อยู่ปราสาทจักรพรรดิอสูรกายจะทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาพึ่งพาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทรยศซูเฉิน ซูเฉินเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก ดังนั้นจึงไม่คิดใส่ใจมากมาย
ฉือหมิงเฟิงโล่งอกอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าซูเฉินดูจะไม่ติดใจอะไร จึงกล่าวขึ้นว่า “ไม่สุภาพไม่ได้ เพราะข้ามาครั้งนี้เพื่อชดใช้ความผิด”
“ชดใช้ความผิด ?” ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย “หมายความว่า……”
“ซุนโม่” ฉือหมิงเฟิงตอบคำ
เมื่อได้ยินชื่อซุนโม่เขาก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากเงียบไปสักพัก ซูเฉินพูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้วข้าก็ต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องซุนโม่”
ฉือหมิงเฟิงกล่าว “แท้จริงแล้วไม่มีอะไร ท่านก็รู้ว่าในเมื่ออารามนิรันดร์เป็นกลุ่มใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนในกลุ่มจึงค่อนข้างซับซ้อน เมื่อมีคนมาก การต่อสู้เล่นเล่ห์ภายในจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เราได้เห็นในระดับอาณาจักรมาแล้ว ในกลุ่มใหญ่อื่น ๆ ก็เป็นเช่นนั้น เรื่องซุนโม่เป็นหลักฐานที่เห็นได้ชัดที่สุดของความจริงข้อนี้”
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าก็คิดไว้อย่างนั้น”
เรื่องซุนโม่เป็นปัญหาที่เกิดจากการแตกหักภายในของอารามนิรันดร์ ซูเฉินอาจไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่เขารู้ว่าบ่อเกิดแห่งปัญหาคืออะไร
ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อหม่าเหรินเจ๋อ ซางเจิน และคนอื่น ๆ
ใต้หล้านี้ไร้สิ่งแปลกใหม่ จะให้มานั่งอธิบายเรื่องนี้ก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก
แต่จะไม่ให้เขารู้สึกขัดใจก็ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องภายในเหล่านี้กลับส่งผลมาถึงเขาได้
ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าท่านจะกล่าวอย่างไร เหตุการณ์นี้ก็เป็นปัญหาต่อข้ามาก แม้ข้าจะสามารถเอาชนะซุนโม่และทำลายความน่าเชื่อถือเขาลงได้ แต่ก็ไม่ใช่เพราะหลักฐานของข้า เป็นเพราะสิ่งที่ข้าลงมือทำมาต่างหาก คงมีหลายคนคาดเดาความสัมพันธ์ของข้ากับท่านได้แล้ว ดูท่าการร่วมมือของเราคงจะต้องหยุดลงที่ตรงนี้”
ซูเฉินกล่าวถึงเรื่องตัดความสัมพันธ์เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาที่จะไปกระตุ้นอาณาจักรหลงซางมากขึ้น และก็เพราะตอนนี้เขามีคนของตนเองแล้ว ต่อไปจึงไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอารามนิรันดร์อีก
ดังนั้นตัดความสัมพันธ์ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ฉือหมิงเฟิงรีบเอ่ย “น้องซูอย่าได้รีบร้อนแล้วฟังข้าก่อน อันซื่อลี่เป็นคนวางแผนเรื่องนี้ อารามนิรันดร์ไม่พอใจกับการกระทำของเขาเป็นอย่างมาก เรากำลังลงมือกับเขาแล้ว”
หัตถ์สีเลือดอันซื่อลี่เดิมทีเป็นหัวหน้าหม่าเหรินเจ๋อ ศัตรูเก่าฉือหมิงเฟิง ในเมื่อซูเฉินยืนอยู่ข้างฉือหมิงเฟิงอย่างชัดเจน ย่อมต้องต่อต้านอันซื่อลี่ไปด้วย เมื่อมีเขาคอยสร้างเครื่องอยู่หลังฉาก การที่มีซุนโม่เข้ามาเอี่ยวด้วยซึ่งเหตุผลชัดเจนขึ้นมา
ฉือหมิงเฟิงมาหาซูเฉินถึงที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือในการรับมือกับอันซื่อลี่
ผู้มีอำนาจทั้งหลายในอารามนิรันดร์สามารถจำแนกเป็นโครงสร้างได้ดังนี้ ผู้มีอำนาจสูงสุดคือสภาสูง เกิดจากผู้อาวุโส 7 คน กระจายตัวทั่ว 7 อาณาจักรมนุษย์ แต่ละคนมีประธาน 3 คนเป็นลูกมือ
หัตถ์สีเลือดอันซื่อลี่เป็นหนึ่งในประธาน ยศค่อนข้างสูงในอารามนิรันดร์
จะลงมือกับคนฐานะเช่นนี้นับว่ายากเย็นแม้ว่าเขาจะทำผิดก็ตาม
แต่ครั้งนี้ การที่อันซื่อลี่ส่งซุนโม่มาสร้างเครื่องให้ซูเฉินได้ทำลายกฎที่ผู้คนไม่กล่าวถึงไปแล้ว
เพราะอย่างไร ฐานะและตัวตนในปัจจุบันของซูเฉินก็ไม่ใช่ต่ำต้อย นำพาประโยชน์มากหลายมาสู่อารามนิรันดร์ และต่อไปอาจมีมาอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ อันซื่อลี่จึงนับว่าตัดหนทางหาเงินขององค์กร กระเทือนกับคนหมู่มาก ทำลายเส้นทางร่ำรวยของใครหลายคนเช่นนี้ก็นับว่าเลวร้ายเหมือนกับฆ่าคนในครอบครัวก็ว่าได้
ดังนั้นสมาชิกอารามนิรันดร์หลายคนจึงเริ่มคิดกำจัดเขา
ทว่าอันซื่อลี่หยั่งรากลึกในอารามนิรันดร์ มีมิตรสหายและผู้ติดตามเดนตายหลายคน จะรับมือเขาไม่ง่าย ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อการเบาะแว้งภายในปะทุขึ้น การสังหารฆ่าฟันจะยิ่งรุนแรง กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเบื้องบนคนไหนในอารามนิรันดร์อยากให้เกิด