ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 82 แก่น (1)
บทที่ 82 แก่น (1)
ซูเฉินที่เคลื่อนกายผ่านแนวป้องกันเข้ามาปรากฏตัวภายใน เกือบชนเข้ากับเผ่าปักษาอีกคนแล้ว
เขายังเร้นกายอยู่ เผ่าปักษาจึงไม่เห็นเขา แต่ก็รู้สึกว่ามีลมพัดผ่าน จึงโบกมือตรงหน้า เกือบตบหน้าซูเฉิน บีบให้ชายหนุ่มจำต้องหมอบหลบทันที และเมื่อเผ่าปักษาลองเดินหน้าก้าวหนึ่ง ซูเฉินก็ได้แต่ถอยแล้วกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบเท้าเผ่าปักษา
ซูเฉินถึงกับเหงื่อเย็นไหลทีเดียว
เมื่อเห็นว่าเผ่าปักษาเดินผ่านเข้าด้านในไปแล้วจึงลุกขึ้นมา
ชั้นล่างสุดของหอคอยแห่งความโกลาหลคือค่ายกลต้นกำเนิดขนาดยักษ์ ทุกห้องทำหน้าที่เป็นตาค่ายกล คอยถ่ายเทพลังต้นกำเนิดไปให้ทั่วค่ายกลขนาดใหญ่
น่าประหลาดที่คนส่วนมากไม่ใช่เผ่าปักษา แต่เป็นเผ่าช่างฝีมือ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะคอยาวสามแขน
เผ่าช่างฝีมือทำงานฝีมือดีมาก มือที่สามงอกจากหลัง เอื้อมไปเหนือหัวได้ ทำงานควบคู่กับแขนอีกสองข้าง
ทั้งยังคล่องแคล่วนัก นิ้วมือขยับได้ทุกองศา ทำให้เหมาะกับงานประณีต ฉลาดลึกล้ำ รักการสร้างสรรค์ เป็นช่างตีเหล็กและช่างฝีมือที่เยี่ยมยอดที่สุดก็ว่าได้
เมื่อครั้งชาวอาร์คาน่าเรืองอำนาจ เผ่าช่างฝีมือมีฐานะสูงที่สุดในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ แต่นิสัยรักอิสระไม่มั่นคงจึงทำให้พวกเขาไร้ความแกร่ง อาศัยอยู่ใต้ปีกชาวอาร์คาน่าอย่างสะดวกสบาย เพราะทำหน้าที่เป็นลูกน้องอีกฝ่ายได้ดี แต่เมื่อชาวอาร์คาน่าถึงคราวล่มจม เผ่าช่างฝีมือยิ่งจมลึกกว่า สุดท้ายก็ไปอยู่กับเผ่าปักษาที่ต้องการใช้งานช่างฝีมือมาก พวกเขาถูกหักหลังมามากทีเดียว
เผ่าช่างฝีมือไร้แดนเป็นของตน พึ่งพาคนแกร่งเพื่ออยู่รอด รวมถึงเผ่าปักษา เผ่าวิญญาณ และเผ่าท้องสมุทร
มนุษย์ก็เป็นช่างฝีมือที่ค่อนข้างดีเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องใช้เผ่าช่างฝีมือ คนเถื่อนไม่เห็นค่าฝีมือการสร้าง แม้จะต้องการช่างฝีมือ แต่ด้วยเน้นเรื่องทางทหารจึงทำให้มองเผ่าช่างฝีมือว่าต่ำต้อยแทน
มีเผ่าช่างฝีมือจำนวนมากอาศัยอยู่ในหอคอยแห่งความโกลาหล
พวกเขายืนเฝ้าอยู่เหนือวัตถุรูปร่างแปลกประหลาด เรือ เตา และค่ายกลต้นกำเนิด คอยกลับพวกมันอยู่ตลอด จากนั้นสังเกตและจดบันทึก บางครั้งก็ส่งเสียงประหลาดออกมา
มีเผ่าปักษาสองสามคนคอยกำกับดูแล จดบันทึกเมื่อช่างฝีมือส่งเสียงประหลาด
เห็นได้ชัดว่าเผ่าช่างฝีมือเหล่านี้สำคัญต่อการให้พลังหอคอยแห่งความโกลาหลมาก
ค่ายกลต้นกำเนิดภายในหอคอยมีขนาดใหญ่เกินคาด ทว่าก็ได้รับการดูแลจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เหล่านี้ ดูแล้วไม่มีพวกคนสำคัญลงมาอยู่ที่นี่เลย
ซูเฉินจึงเดินทางไปอย่างไร้อุปสรรค นอกจากตอนเข้าแล้ว ก็ไม่พบอันตรายใดอีก
ตอนเดินไปนั่นเอง ก็เห็นห้องขนาดใหญ่ตรงหน้า มีเผ่าช่างฝีมือและเผ่าปักษานับไม่ถ้วนเดินเข้าออก จึงรู้ว่ามันต้องเป็นห้องพิเศษแน่
ซูเฉินจึงเดินเข้าไป เห็นเสาขนาดใหญ่ตั้งตรงขึ้นจากพื้น มันเรืองแสงสว่างสีแดง เผ่าช่างฝีมือนับไม่ถ้วนล้อมรอบมันไว้ กำลังทำงานอย่างขันแข็ง
ที่ชั้นบนสุดของห้องขนาดใหญ่นี้ ยังเห็นผลึกคล้ายอเมทิสต์ห้อยลงมาจากเพดานอีกด้วย
มันคืออเมทิสต์ฟ้าประกาย เป็นผลึกแก้วประเภทพลังจิตที่หายากนัก ซูเฉินเคยเห็นครั้งหนึ่ง ขนาดเท่านิ้วก้อยก็ราคาเท่าหินต้นกำเนิดเป็นล้านแล้ว แต่เจ้านี่ที่ห้อยอยู่ใหญ่เท่าหัวคนได้ แค่มันก็มีค่าหลายร้อยล้านหินพลังต้นกำเนิดแล้ว ที่สำคัญยังหาซื้อได้ยาก ไม่รู้ว่าเผ่าปักษาไปหามันมาจากไหน
อเมทิสต์ฟ้าประกายจะปล่อยควันสีม่วงออกมาเป็นครั้งคราว ดูเหมือนจะเป็นเสียงครวญบางอย่างที่ปล่อยออกมาจากมันที่ทำให้ขนบนหัวเขาลุกชัน ราวกับมีอะไรขู่ขวัญ เสียงมันน่าขนลุกนัก ซูเฉินรู้สึกว่าจิตใจตนสั่นไหวน้อย ๆ ทำให้อยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ โชคดีที่ใช้วิชากำแพงใจ ทำให้เสียงร้องเขย่าขวัญไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่กระนั้นก็เหงื่อเย็นไหลอีกครั้ง
เดินทางมาไร้เรื่องราวตลอด แต่ตอนนี้อยู่ในส่วนสำคัญ กลับถูกทำให้ตกใจเช่นนั้น จะไม่ประหลาดใจก็คงไม่ได้
นี่คงจะเป็นการโจมตีในระดับจิต แต่ไม่ใช่ว่าตั้งใจ เพียงแต่เป็นผลึกที่ทรงพลังมากก็เท่านั้น
จะมีสิ่งมีชีวิตอะไรที่มีกลิ่นอายน่าผวาเช่นนี้ได้อีก ? คงมีแต่เทพอสูรกระมัง
แต่เทพอสูรตัวนั้นไม่ใช่ว่าถูกทำให้สติกระเจิงไปแล้วหรือ ?
แล้วเสียงคำรามเช่นนี้ออกมาจากอะไร ?
ซูเฉินรู้สึกราวกับตนแตะถูกความลับของหอคอยแห่งความโกลาหลเข้าแล้ว
แต่เขาสังเกตเห็นอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือเขาต้านเสียงคำรามนั่นได้ยากมาก แต่เผ่าปักษาและเผ่าช่างฝีมือดูไม่เป็นอะไร ทำไมถึงทนได้กันเล่า ?
ซูเฉินจึงสังเกตเผ่าช่างฝีมือให้ดี เห็นว่าต่างก็ใส่ของประหลาดที่ช่วยทำให้เกิดความผันผวนพลังเล็กน้อย ดูท่าจะช่วยกันกลิ่นอายจากผลึกแก้วไว้ได้
“เช่นนี้เอง” ซูเฉินเหมือนจะเข้าใจ
ดูท่าไม่ใช่เพียงเครื่องแสดงฐานะ แต่เอาไว้แยกคนนอกด้วย หากใครที่ไหนแอบเข้ามา เมื่อเจอกลิ่นอายเทพอสูรเข้าก็คงสติกระเจิง มีแต่ซูเฉินที่มีวิชากำแพงใจกระมังที่ต้านทานได้
แต่พ้นจุดนี้ไปได้เมื่อไหร่ ก็คงไร้อุปสรรคยากเย็นแล้วกระมัง
คิดแล้วจึงก้าวเข้าห้องไปอย่างกล้าหาญ
แต่เพิ่งก้าวเข้ามา ก็ถูกแสงจากเหนือหัวสาดใส่ ทำให้ร่างปรากฏขึ้นอีกครั้งทันที
การที่จู่ ๆ จะมีใครปรากฏกายขึ้นท่ามกลางห้องที่คนขวักไขว่เช่นนี้ นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
พริบตาเดียว หลายสายตาก็มองมายังซูเฉินด้วยความตกใจ
ซูเฉินเองก็ชะงัก ไม่คิดว่าในห้องนี้จะมีแสงใช้เปิดโปงการเร้นกายด้วย ไม่ว่าเร้นกายอย่างไรก็ถูกมันจับได้อยู่ดี
ในเมื่อถูกเปิดโปงแล้ว ต้องฆ่าทิ้งให้หมดเลยหรือไม่ ?
แต่ในตอนคิดอยู่นั่นเอง เผ่าช่างฝีมือคนหนึ่งก็คำนับทักทาย “คงจะเป็นท่านเหอหยางกระมัง ?”
หือ ?
ซูเฉินชะงักไป จึงได้รู้ว่าแสงนั่นไม่เพียงสลายการซ่อนเร้น แต่ยังเผยปีกฉกาจของจริงบนหลังออกมาอีกด้วย
ในสายตาเผ่าช่างฝีมือ เผ่าปักษาตัวจริงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างหาก
เผ่าปักษามีความสามัคคีภายในสูง การป้องกันของหอคอยแห่งความโกลาหลมุ่งไปยังคนนอก ไม่ใช่คนใน จึงอาจมีเผ่าปักษาคนสำคัญมาเยือนในบางจุดได้ ทำให้เผ่าช่างฝีมือเข้าใจว่าซูเฉินเป็นพวกชนชั้นสูงเหล่านั้น ส่วนที่จู่ ๆ มานั้นก็คิดเพียงว่าคงเป็นคนพิลึก นึกอยากมาดูการป้องกันของปราการกระมัง
ชะงักไปเล็กน้อย ซูเฉินกระแอมเสียงเบาก่อนตอบ “อืม ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ ?”
เผ่าช่างฝีมือตอบเสียงเคารพ “ท่านเหอหยาง เปลี่ยนโซ่ผิวสมุทรแล้ว พวกเราเก็บผลึกลึกล้ำได้ 31 ก้อน อยากให้ส่งมอบเลยหรือไม่ ?”
ซูเฉินชะงักไป
เขาไม่รู้ว่าโซ่ผิวสมุทรคืออะไร แต่รู้จักผลึกลึกล้ำ ผลึกแก้วเหล่านี้มีคุณสมบัติค่อนข้างพิเศษอยู่
มันไม่เหมือนกับผลึกแก้วต้นกำเนิดทั่วไปที่เก็บพลังไว้ได้ ใช้เพื่อเติมพลัง ไม่ใช่บ่มเพาะ แต่มันเป็นตัวพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์ที่สามารถใช้เพื่อบ่มเพาะพลังได้
แต่แน่นอนว่าใช้บ่มเพาะก็เสียของไปหน่อย แท้จริงแล้วเป็นของใช้เสริมวิชาอาร์คาน่าทั้งหลายได้ดี ทั้งยังเป็นวัตถุดิบพิเศษที่ใช้สร้างค่ายกลต้นกำเนิด หุ่นเชิด เครื่องมือต้นกำเนิด และของที่เกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดอีกมากมาย
หากเครื่องมือต้นกำเนิดฝังผลึกลึกล้ำไว้ พลังจะสูงขึ้นไม่น้อยทีเดียว
เผ่าปักษายังคงผูกขาดผลึกลึกล้ำ ไม่เคยนำมามอบให้เลย มีแต่ต้องสังหารเผ่าปักษาพลังสูงส่งสักคนแล้วชิงจากแหวนต้นกำเนิดเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ผลึกลึกล้ำในแดนมนุษย์จึงมีราคาสูงมาก ไม่มีใครสั่งซื้อได้เลย
ได้ยินว่าช่างฝีมือบอกจะมอบผลึกลึกล้ำ 31 ก้อนให้ เขาก็ดีใจเป็นล้นพ้น
นี่มันอะไรกันเนี่ย ?
กำลังจะพยักหน้าบอก ก็คิดได้ว่าตนมีสมบัติเยอะแล้ว เลือดเทพอสูรเป็นอย่างไร นั่นยังไม่ได้ทดลองเลย ทั้งยังไม่ขาดผลึกลึกล้ำ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องรีบ เดินดูสักหน่อยเถอะ”
เขาอยากดูการจัดการภายในของที่นี่
เผ่าช่างฝีมือชะงักไป “ท่านอยากเห็นอะไรหรือ ?”
ซูเฉินเห็นท่าทีเผ่าช่างฝีมือแล้วก็รู้สึกประหลาด
คิดแล้วจึงว่า “ช่วยเดินดูรอบ ๆ ข้าจะได้เห็นการทำงานได้หรือไม่ ? ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไร ?”
เผ่าช่างฝีมือก้มหัวตอบ “ช่างฝีมือผู้นี้ชื่อว่าอวิ๋นกง”
“อวิ๋นกงหรือ ? พาข้าเดินดูรอบ ๆ ทีสิ ? ข้ามาครั้งแรก อยากเห็นการทำงานสักหน่อย”
“……ขอรับ !” เผ่าช่างฝีมือลังเลเล็กน้อยก่อนตกลง พาซูเฉินเดินดูรอบ ๆ
ขณะนี้พวกเขาอยู่ในห้องควบคุมพลังหลักของหอคอยแห่งความโกลาหล ซูเฉินจึงได้รับรู้ความลับทั้งหลายภายใน แต่ได้เห็นไม่ได้หมายความว่าเข้าใจ ดังนั้นจึงเดินไปถามไปอยู่ตลอด พยายามแอบเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
ช่างฝีมือผู้นี้ฉลาดไม่น้อย ถามอะไรก็ตอบได้หมด
ไม่นานเขาก็ตอบสิ่งที่คาใจมานานได้ เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะไม่อาจหาคำตอบมานาน นั่นคือเทพอสูรยังมีชีวิตอยู่อย่างไรกัน ?
ซูเฉินคาดเดาไว้มากมาย แต่ความจริงเผยออกมาครั้งนี้ เขาเดาถูกจริง ๆ ด้วย
คำตอบอยู่ที่โซ่ผิวสมุทร เช่นเดียวกับท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบ
ท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบเป็นแหล่งพลังต้นกำเนิดให้ทั้งทวีปต้นกำเนิด ตั้งอยู่ในพลังงานสูญอันไกลโพ้น แต่กลับส่งพลังต้นกำเนิดให้ทั้งทวีปผ่านรอยแยกพลังสูญได้อย่างไร้ขีดจำกัด
บ้างบอกว่าที่พลังต้นกำเนิดกำลังลดต่ำลงเป็นเพราะท้องสมุทรพลังต้นกำเนิดเคลื่อนที่ไปมาได้ ขยับห่างออกจากทวีปต้นกำเนิดทุกที ทำให้มีพลังต้นกำเนิดไหลเวียนน้อยลง
เพราะเหตุนี้ใครหลายคนจึงอยากเสาะหาท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบให้พบ
แต่เรื่องเกี่ยวกับพลังสูญไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แม้จะได้กำไรบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจสรุปได้ ใครที่ได้พลังต้นกำเนิดไร้ขีดจำกัดมาไว้ในมือย่อมทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
เมืองล่องนภามีพลังต้นกำเนิดให้ใช้อยู่ตลอดจากท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบด้วยการเอาตนเองมาผูกติดกับที่นี่
แม้จะทดลองผิดพลาด แต่มองบางมุม เผ่าปักษาก็นับว่าเรียนรู้จากสถานการณ์นี้ได้มาก
ในเมื่อเมืองล่องนภาเคลื่อนที่ไม่ได้ เผ่าปักษาบางคนจึงเสนอว่า ในเมื่อรู้วิธีดึงพลังต้นกำเนิดจากท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบ งั้นเหตุใดไม่ใช่ความรู้นี้สร้างเมืองล่องนภาอีกเมืองขึ้นเล่า ?