ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 84 นักล่าวายุ (1)
บทที่ 84 นักล่าวายุ (1)
หลังเดินชมหอคอยแห่งความโกลาหล ซูเฉินก็รับของขวัญจากอวิ๋นกงและจากมา
ซูเฉินไม่รู้ว่าจากนี้อวิ๋นกงจะรับมือเรื่องอย่างไร แต่ดูท่าจะไม่เป็นปัญหากับเขาภายหลัง
เช้าวันต่อมา ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าการป้องกันของหอคอยแห่งความโกลาหลแน่นหนาขึ้นมาก ทหารเผ่าปักษาลาดตระเวนไปมาราวกับหาบางอย่าง
ซูเฉินรู้ว่าเรื่องที่เขาแอบเข้าไปเมื่อวาน อีกฝ่ายคงรู้แล้ว
ทว่าเผ่าปักษาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นปักษาเช่นเดียวกัน จึงไม่สงสัยเลยว่าจะเป็นมนุษย์แอบเข้ามา
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้ที่เข้ามาในหอคอยแห่งความโกลาหลตั้งแต่แรกก็เป็นเผ่าปักษาอยู่แล้ว
เป็นเพราะซูเฉินไม่ได้ทำอันตรายแก่นของหอคอยแห่งความโกลาหล เผ่าปักษาจึงยิ่งไม่เชื่อว่าเป็นคนทรยศที่หันไปเข้าฝั่งกับเผ่าพันธุ์ภายนอก ไม่เช่นนั้นเผ่าปักษาผู้นั้นคงจะไม่จากไปทั้งที่หอคอยแห่งความโกลาหลยังมีสภาพสมบูรณ์แน่
เผ่าปักษาจึงเห็นเรื่องนี้ว่าเป็นเผ่าปักษาด้วยกันที่แอบเข้ามาขโมยของ
ซึ่งเป้าหมายย่อมเป็นผลึกลึกล้ำ และอาจเป็นอเมทิสต์ฟ้าประกายด้วย แต่เพราะพวกช่างฝีมือ ‘ขัดขืน’ จึงไม่เกิดเรื่องราวเช่นนั้นขึ้น
อวิ๋นกงและเผ่าช่างฝีมือคนอื่นถูกลงโทษเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เผ่าช่างฝีมือยังนับว่าเป็นแขก ด้วยเป็นพวกเขาที่คอยควบคุมแหล่งเกาะเกิดความแข็งแกร่งของเผ่าปักษาไว้ เผ่าปักษาได้รับบทเรียนแล้วว่าควรจะให้เกียรติเผ่าช่างฝีมือไว้บ้าง ในมุมมองของเผ่าช่างฝีมือ เป็นเพราะการป้องกันของเผ่าปักษามีไม่เพียงพอต่างหาก พวกเขามีหน้าที่แค่ก่อสร้าง รอดชีวิตมาได้ขนาดนี้ก็นับว่าดีแล้ว !
ซูเฉินมารู้เรื่องภายหลังว่าในตอนนั้นที่เผ่าปักษาพากันหาตัวคือ ‘เหอหยาง’ คนลึกลับผู้นั้น แต่เห็นได้ชัดว่าหาอย่างไรก็ไม่พบ
กลุ่มพ่อค้าใช้เวลาอยู่ที่นี่อีก 2 วันก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองล่องนภาต่อ ใช้เวลาสัก 10 วันก็คงจะถึง
ซึ่งซูเฉินก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร
เขายังคงสนุกสนานกับข้อมูลใหม่ทั้งหมดที่ได้มาอยู่
ผลึกลึกล้ำ 31 ก้อนถูกทิ้งขว้างไม่ไยดี ไม่เหลียวมองสักครา แต่หยิบบันทึกของอวิ๋นกงขึ้นมากางอ่าน นับเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาซูเฉิน สมควรแก่การอ่านซ้ำหลายครั้ง
การก่อสร้างหอคอยแห่งความโกลาหลใช้ความรู้หลากหลายประเภทมาก ใช้หลักการพลังสูญ ในการเชื่อมต่อหอคอยกับดินแดนที่ตั้งของท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบ เพื่อให้มีพลังต้นกำเนิดแก่เทพอสูรเพียงพอ และต้องใช้พลังจิตในการควบคุมมัน และยังต้องมีการดัดแปลงสิ่งมีชีวิตเพื่อประสานหอคอยแห่งความโกลาหลเข้ากับเทพอสูร เห็นได้ชัดว่าในแต่ละด้านต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง
ที่สำคัญ ความรู้เหล่านี้มาจากเผ่าปักษา จึงมีหลายเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ได้รับรู้เรื่องราวผ่านมุมมองของเผ่าปักษา พยายามค้นหาและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่หลากหลายแบบ ขยับขยายสายตาซูเฉินให้กว้างไกลขึ้น
เขาลอยละล่องอยู่ท่ามกลางทะเลความรู้จนความเข้าใจทั้งหลายในใต้หล้าเพิ่มพูนขึ้นด้วยความรวดเร็ว
เมื่อมีความรู้มากขึ้น ซูเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ซึ่งความแข็งแกร่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับกำลังจริงแต่อย่างไร พลังจะได้มาจากการบ่มเพาะพลังและการขัดเกลาเท่านั้น ไม่ใช่ได้มาจากความเข้าใจ
แต่ความเข้าใจก็สามารถทำให้คนเราใช้พลังได้ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้พลังธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ทำให้สิ่งที่ไม่ธรรมดากลายเป็นตำนานได้
ความรู้เรื่องพลังงานสูญที่ได้มาจากหอคอยแห่งความโกลาหลนั้นกว้างขวางมาก แม้พวกเขาจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ลึกซึ้งเท่าซูเฉิน แต่ก็มีวิธีค้นพบและทำงานเป็นของตนเอง เมื่อรวมกับสิ่งที่ซูเฉินพอจะเข้าใจอยู่เป็นทุนเดิม ก็ทำให้เขาได้มองหลักการนี้ในมุมใหม่ สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการทำงานของพื้นที่ให้เขาเป็นอย่างมาก
และย่อมทำให้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายพัฒนาขึ้น
ในอดีตต้องพยายามมากหน่อยถึงจะเคลื่อนกายไป 500 จั้งได้ ตอนนี้ขยายออกไปได้เป็น 700 จั้งแล้ว
ที่สำคัญ ด้วยความสามารถในการรับรู้ตำแหน่ง เขายังสามารถข้ามผ่านเกราะกำบังทั้งหลายและปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าศัตรูได้ในทันที ซึ่งวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายในกาลก่อนไม่อาจทำได้
มันไม่ใช่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย แต่การกระโจนฝ่ามิติไปแล้ว
ความเข้าใจเรื่องพลังจิตของเขาไม่เพิ่มขึ้นสูงนัก ส่วนมากเป็นเพราะข้อจำกัดทางระดับพลัง เว้นเสียแต่ว่าเขาจะอยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ ทำให้กว่าจะเพิ่มพลังจิตได้อีกก็ยากเย็นนัก
แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ซูเฉินได้เรียนรู้มากขึ้นเล็กน้อย
เรื่องนี้มาจากการศึกษาการดัดแปลงสิ่งมีชีวิต
เพราะการวิจัยเกี่ยวกับการบ่มเพาะโดยพลังไร้สายเลือด ทำให้งานวิจัยหลักของเขามุ่งเป้าไปยังชีววิทยาอยู่ตลอด
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งมีชีวิตไปมากกว่าเขาอีกแล้ว
ซึ่งก็รวมถึงการเล่นแร่แปรธาตุด้วย
การดัดแปลงสิ่งมีชีวิตมีความคล้ายคลึงกับการบ่มเพาะพลังโดยไร้สายเลือดอยู่บ้าง สุดท้ายคือการหาทางที่จะทำให้ชีวิตล้ำหน้าและดีขึ้น แต่อย่างหนึ่งทำจากภายนอก อีกอย่างหนึ่งทำจากภายใน
การดัดแปลงสิ่งมีชีวิตเป็นตัวอย่างการพัฒนาจากภายนอกที่ดีมาก… ความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตจะได้รับการยกระดับขึ้นสูงด้วยการปรับเปลี่ยนภายนอก
ซูเฉินสนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่จะหาคนถกปัญหาได้ด้วยแทบไม่ได้เลย
เกินคาดนักที่เผ่าปักษามีข้อมูลเกี่ยวกับการดัดแปลงสิ่งมีชีวิตมากมายเช่นนี้
การผสานระหว่างวิถีภายในและภายนอกส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลึกล้ำ ทำให้ซูเฉินพลันรู้สึกราวกับจมอยู่ในห้วงเห็นความเป็นไปได้
เขาใช้เวลาส่วนมากวิจัยเรื่องเหล่านี้อยู่บนเรือเคลื่อนเมฆา
วันนี้ ซูเฉินก็ยังทำการทดลองเหมือนเก่า ผ้าเท่อลั่วเค่อพลันพุ่งเข้ามาหา
“ผ้าเท่อลั่วเค่อ ปกติท่านจะไม่พุ่งเข้ามาเช่นนี้” ซูเฉินเอ่ยโดยไม่เงยหน้า
เขากำลังจัดการกับสสารประหลาดอยู่
มันดูราวกับชิ้นเนื้อลายหินอ่อนก้อนหนึ่ง แต่มันกลับมีใบหน้า
ใบหน้าที่บิดเบี้ยว แปลกประหลาด พิลึกนัก
มันส่งยิ้มให้ซูเฉินด้วย
ซูเฉินเมินยิ้มนั่นแล้วเริ่มกรีดหน้ามันออก
เจ้าหน้าจึงร้องเสียงโกรธขึ้น “อย่ากรีดนะ ! อย่ากรีดข้า !”
ผ้าเท่อลั่วเค่อทำเหมือนไม่เห็นอะไร “มีบางอย่างเกิดขึ้น”
ซูเฉินใช้มีดกรีดเนื้อ เฉือนจมูกเจ้าใบหน้าขึ้นมา เจ้าก้อนเนื้อเริ่มบิดไปมาโดยแรง
“ว่ามาสิ” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
“นักล่าวายุมาถึงแล้ว”
ซูเฉินหยุดมือค้างไว้
นักล่าวายุเป็นกลุ่มนักฆ่ามีชื่อที่ท่องไปทั่วแดนปักษา
พวกเขาเองก็เป็นเผ่าปักษา แต่เป็นพวกที่ทรงพลัง แยกตนออกมาจากกลุ่มใหญ่ ท่องเที่ยวไปทั่วแดน เสาะหาเหยื่อเพื่อปล้นชิง เพราะไปมาราวกับลม จึงรู้สึกกันในนามนักล่าวายุ
กลุ่มเช่นนักล่าวายุหาได้ยากนักท่ามกลางเผ่าปักษาที่กลมเกลียวเป็นปึกแผ่น เป็นเหมือนจุดดำบนใบหน้าหล่อเหลา สะดุดตาเห็นได้ชัด เพราะเหตุนี้คนจึงแปลกใจนักว่านักล่าวายุจะเป็นเผ่าปักษาที่ได้รับการฝึกพิเศษเพื่อรับภารกิจที่ไม่อาจบอกใครได้หรือไม่
อาทิเช่น ใช้จัดการปัญหากับกลุ่มพ่อค้า รับภารกิจลอบสังหาร หรือไม่ก็ปล้นชิงอย่างโหดร้าย… เรื่องชั่วช้าเช่นนี้อย่างไรก็มีคนเต็มใจทำอยู่แล้ว
นักล่าวายุก็เช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงพูดยากว่ากลุ่มยังรอดพ้นมาจดถึงบัดนี้ได้อย่างไร
แท้จริงแล้วในเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณก็มีเช่นกัน มนุษย์มักใช้กลุ่มนอกคอก หรือบางทีก็เลี้ยงกองกำลังฝีมือดีไว้ทำงานสกปรกเช่นกัน เผ่าวิญญาณพึ่งพากลุ่มผสานลักษณ์และกองกำลังใต้ดิน แท้จริงแล้วก็หาคนพวกนี้ได้ไม่ยาก เผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่ไม่เลี้ยงกลุ่มเหล่านี้ไว้มีเพียงเผ่าท้องสมุทรเผ่าคนเถื่อน เผ่าคนเถื่อนเชื่อว่าตนแกร่งที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่มเช่นนั้น ส่วนเผ่าท้องสมุทรแค่เอาชีวิตรอดยังยาก ปัญหาหลักคือสัตว์อสูรดุร้ายที่อยู่ทั่วทะเล จึงไม่จำเป็นต้องมีกลุ่มเหล่านี้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี นักล่าวายุนั้นท่องไปทั่วแดนปักษาพร้อมเป้าหมาย แต่ก็ไม่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเผ่าปักษาอยู่ตลอด ค่อนข้างเป็นอิสระ มีความคิดเป็นของตน
ซูเฉินได้ยินว่านักล่าวายุมาเยือนจึงอึ้งไปเล็กน้อย “นักล่าวายุคิดชิงเรือเรา ? จะชิงนางพญา ? บ้ากันไปแล้วหรือ ?”
นางพญาเป็นของสำคัญที่สุดของเผ่าปักษา หากนักล่าวายุยังมีสติ ก็ควรต้องเกรงกลัวและไม่กล้าแตะต้องเรือด้วยซ้ำ
ผ้าเท่อลั่วเค่อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ เผ่าปักษาควรปกป้องคณะเดินทางเราไม่ให้เกิดเรื่อง แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เราไม่รู้นะ”
“ไปดูหน่อยเถอะ” ซูเฉินโยนมีดเล็กลงพื้นแล้วก้าวออกไป
เรือเคลื่อนเมฆาหยุดแล้ว
เผ่าปักษาฝูงใหญ่กำลังบินอยู่หน้าเรือเคลื่อนเมฆาทั้ง 2 ลำ
ทั้งหมดอยู่ในชุดต่อสู้สีดำ ต่างกับชุดสีเงินของทหารเผ่าปักษา ส่วนมากถือหอกซึ่งทำมาจากไม้ม่วง
เผ่าปักษาส่วนมากต่อสู้ระยะไกล ใช้ธนูและวิชาอาร์คาน่า แต่นักล่าวายุนั้นแตกต่าง ส่วนมากถืออาวุธระยะใกล้ เห็นถึงวิธีการต่อสู้ได้เด่นชัด
เหตุผลหนึ่งก็เพราะเป้าหมายมักเป็นเผ่าปักษาไม่ใช่ใครอื่น หากใช้เพียงความสามารถในการบินและความรวดเร็ว ก็สามารถเข้าประชิดตัวศัตรูได้อย่างเร็วไว ซึ่งได้ผลกว่าการใช้อาวุธโจมตีจากระยะไกล อีกทั้งพวกเขาเป็นนักฆ่า หากอยากได้เปรียบก็ต้องเข้าประชิดตัวศัตรูให้ได้ก่อน
ในตอนนี้ จื่อหลิงลิ่วและอู่เยว่มี๋กำลังต่อรองกับนักฆ่า แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล การต่อสู้ขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
นักฆ่าผมสีแดงเพลิงเอ่ยขึ้น “ข้าให้เวลามามากพอแล้ว ในเมื่อไม่ตกลง ข้าก็ต้องชิงมาเอง !”
อู่เยว่มี๋ร้องเสียงโกรธ “หงอูยา เจ้าไม่รู้อยู่หรอกว่ากำลังล่วงเกินใคร !”
นักฆ่านามหงอูยาหัวร่อ “ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ! นักฆ่าไม่กลัวใคร !”
ว่าแล้วก็เงื้อหอกในมือ นักล่าวายุทั้งหลายร้องคำรามแล้วพุ่งเข้ามา
เห็นแล้วซูเฉินก็หัวเราะน้อย ๆ “หาได้ยากจริง……”
“หาได้ยาก ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่เข้าใจ
“เท่าที่จำได้ เผ่าปักษาเป็นเผ่างามสง่า ชมชอบความงดงามและรื่นรมย์ ไม่คิดเลยว่าจะมี…… ท่าทางเหมือน ‘หมาบ้า’ เช่นนี้ได้” ซูเฉินว่า หยุดคิดเล็กน้อยก่อนเรียกอีกฝ่ายออกมาว่า “หมาบ้า”
ซึ่งก็ถูก ท่าทางของเผ่าปักษาเหล่านี้ป่าเถื่อนบ้าคลั่ง ไม่ต่างจากพวกกองโจรนักฆ่าของเผ่าอื่นที่พวกเขารังเกียจเลย
หลังได้ยินคำซูเฉิน ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ตอบเสียงเข้าใจ “วัฒนธรรมต่าง แต่พวกเราต่างมีความป่าเถื่อนในตัวเหมือนกัน”
ซูเฉินเลิกคิ้วสูง “ข้าชอบวิธีคิดท่านนะ ผ้าเท่อลั่วเค่อ”