ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 97 มือแห่งโชคชะตา (2)
บทที่ 97 มือแห่งโชคชะตา (2)
ชัวหลวนจือเฟิง สายลมแห่งความโกลาหล เป็นชื่อที่แสดงถึงลักษณะของพี่น้องคู่นี้ได้เป็นอย่างดี
ความวุ่นวาย !
ทั้ง 2 มีความสามารถพิเศษที่สามารถพลิกทุกอย่างกลับหัวกลับหาง เห็นได้ชัดจากการผสมผสานของคลื่นพลังที่ทั้งวุ่นวายและปั่นป่วนที่พี่น้องเพิ่งคู่นี้เพิ่งใช้ออกมา
พรายหวน เป็นวิชาอาร์คาน่าที่ชั่วร้ายยิ่งอย่างหนึ่ง เมื่อเปิดใช้งาน มันจะทำให้คู่ต่อสู้เกิดความเศร้าไม่รู้จบจากก้นบึ้งของหัวใจ จากนั้นเจตจำนงของพวกเขาก็จะค่อย ๆ เสื่อมสลาย และจะสูญเสียความปรารถนาที่จะต่อสู้ต่อไป รูปลักษณ์ของวิชานี้ก็เหมือนชื่อของมันทั้งดูมืดมนและชั่วร้าย ทว่าเมื่อมนุษย์นกผิวดำปีกเงินใช้ออกวิชานี้ มันกลับดูราวแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง
ใช่ แสงศักดิ์สิทธิ์ อย่างกับว่ามันคือวิชาที่มีพลังบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
แต่ซูเฉินก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายและจิตสังหาร ที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์อันบริสุทธิ์นี้ได้อย่างชัดเจน
มันยังคงเป็นพรายหวน วิชาชั่วร้ายที่มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่จิตวิญญาณก็สามารถกัดกร่อนได้เช่นเดิม ที่ผิดเพี้ยนไปก็มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของมันเท่านั้น
เช่นเดียวกับดาราฉายแสง
มันควรจะเป็นวิชาที่เปี่ยมไปด้วยแสงสว่างของดวงดาวหลากสีสัน ที่พร้อมคร่าชีวิตเป้าหมายในขณะที่อีกฝ่ายยังคงตกตะลึงไปกับความตระการตาของมัน แต่เมื่อมันถูกใช้ออกโดยมนุษย์นกผิวขาวปีกดำผู้นี้ แสงของดวงดาวที่ควรจะกระจ่างบริสุทธิ์กลับเต็มไปด้วยความมืดมนและจิตสังหารที่เย็นชา หากปฏิบัติต่อมันเฉกเช่นวิชาอาร์คาน่าที่สามารถปล่อยผ่านได้แล้วล่ะก็ ถือว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังคงเป็นวิชาสายโจมตีที่ทรงพลังเช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
พลังดั้งเดิมวิชาอาร์คาน่าทั้ง 2 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่ผิดเพี้ยนไปก็มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันที่พลิกกลับตรงข้ามก็เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ของพวกเขาพี่น้องตัดสินใจผิดไป
โชคดี ที่ซูเฉินไม่ทำเช่นนั้น
พลังจิตอันทรงพลังของเขา ทำให้ชายหนุ่มสามารถแยกแยะคุณลักษณะพื้นฐานของวิชาอาร์คาน่าทั้ง 2 ตรงหน้านี้ได้ในทันที เขาจึงสามารถตอบสนองต่อพวกมันได้อย่างเหมาะสม
สายฟ้าเริ่มกะพริบไปทั่วร่างของซูเฉิน
คลื่นสายฟ้าเป็นเพียงวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 แต่สายฟ้าอันทรงพลังของมันนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของวิชาชั่วร้ายอย่างพรายหวน ถึงแม้วิชาระดับ 4 จะถือเป็นรองวิชาระดับ 6 อยู่มาก ทว่าผู้ที่ใช้งานมันคือซูเฉิน !
วิชาอาร์คาน่าที่เขาสามารถใช้ออกได้ทั้งหมดล้วนมีคุณลักษณะเฉพาะ ดังนั้นแม้ว่าการโจมตีนี้จะเป็นเพียงวิชาระดับ 4 แต่ภายใต้การควบคุมของเขา ทำให้มันสามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมา จนสามารถตอบโต้กับวิชาอาร์คาน่าระดับ 6 ได้
ผลจากการปะทะครั้งนี้ คือพรายหวนที่เผชิญกับสายฟ้าอันทรงพลังได้แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ส่วนดาราฉายแสงนั้น ซูเฉินได้ใช้ร่างกายอันทรงพลังของเขาทนรับต่อการโจมตีนี้ตรง ๆ
นี่เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าเสี่ยง ทว่ามันไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือได้ แต่เพราะเขากำลังปลอมตัวเป็นมนุษย์นกอยู่ ร่างกายที่อ่อนแอของเผ่าปักษาแทบจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะทนรับอะไรเช่นนี้ แต่มันเป็นความเสี่ยงเพียงเล็กน้อย เพราะมันยังมีวิชาอาร์คาน่าบางอย่างที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเป็นการชั่วคราวอยู่ และไม่มีใครรู้ว่าซูเฉินใช้วิชาเช่นนั้นได้หรือไม่
และที่สำคัญกว่านั้น ซูเฉินจำเป็นต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังทั้ง 2 นี้
พริบตาต่อมาที่เขาปล่อยคลื่นสายฟ้า ซูเฉินก็เปิดใช้งานวิชาอาร์คาน่าอีกอัน
ประกายผันผวน
ประกายผันผวนเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 5 ที่เขาอาศัยเปลวไฟของจือฮัวนู๋เพื่อใช้ออกมา แสงอันเจิดจ้าส่องประกายระยิบระยับไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทันทีที่มันก่อตัวขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันกับที่เขาโจมตี พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงก็ลงมือเช่นกัน การผสมผสานของแสงสีขาวดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกมันม้วนพันกันในอากาศและพุ่งตรงเข้าหาซูเฉิน
ซูเฉินไม่ลังเลที่จะป้องกันตัวเอง เขาจำได้ว่าแสงนี้คือวิชาอาร์คาน่าอย่างหนึ่ง สังหารไร้เสียง มันเป็นวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวมาก สังหารไร้เสียงเดิมไร้ซึ่งสีสันและไม่อาจเห็นมองได้ แต่ภายใต้ของพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงมันกลับกลายเป็นสีขาวดำ
จังหวะที่ซูเฉินกำลังจะตอบสนอง จู่ ๆ แสงขาวดำก็พุ่งเบี่ยงทิศออกไป เส้นทางการโจมตีที่แปลกประหลาดนี้คาดเดาได้ยากยิ่ง ทำให้ซูเฉินไม่อาจตัดสินทิศทางที่มันจะมุ่งหน้าไปได้อย่างแม่นยำนัก
พี่น้องชัวหลวนจือเฟิง ไม่เพียงแต่จะสร้างความโกลาหลให้กับรูปลักษณ์ภายนอกของวิชาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงจุดอื่น ๆ อย่างเส้นทางการโจมตีด้วย
ลำแสงสีขาวดำที่ได้รับคุณลักษณะความโกลาหลไปจาก 2 พี่น้อง ทำให้ซูเฉินไม่สามารถอ่านการโจมตีและตอบสนองตามได้ทัน
แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังต้องยอมรับว่า พี่น้องคู่นี้รับมือได้ยากยิ่งนัก
แน่นอนว่าเขาย่อมสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้ หากทางนั้นมีเพียง 2 คน
ปัญหาคือจือฮัวนู๋ยังอยู่
ซูเฉินสามารถขัดขวางกระแสพลังต้นกำเนิดของวิชาประเภทไฟจากจือฮัวนู๋ได้ก็จริง แต่การแทรกแซงของพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงทำให้เขาต้องหันเหความสนใจออกมา มันจึงทำให้จือฮัวนู๋สามารถควบคุมวิชาไฟของนางได้อีกครั้ง
สิ่งแรกที่นางทำเมื่อได้การควบคุมกระแสพลังต้นกำเนิดกลับคืนไป คือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองด้วยวิชาอาร์คาน่า
เพื่อเพิ่มพลังวิชาประเภทไฟของตนและหลีกเลี่ยงไม่ให้ซูเฉินตัดขาดกระแสพลังอีกครั้ง
นี่เป็นกลยุทธ์ที่นับว่าค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
ต่อมาจือฮัวนู๋ก็ปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าออกมา
สุริยันผลาญ !
หลังนางใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 7 นี้ ดวงอาทิตย์ขนาดเล็กก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ปล่อยรัศมีที่แผดเผานับไม่ถ้วนลงมาปกคลุมซูเฉิน
คลื่นเพลิงเหล่านี้มีความร้อนสูงมาก หากได้สัมผัสกับเปลวไฟนี้แม้แต่เหล็กก็ยังละลายอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือถึงแม้ว่ารัศมีเพลิงเหล่านี้จะมีอยู่นับไม่ถ้วน แต่พวกมันทั้งหมดกลับส่งกระทบกับซูเฉินเพียงผู้เดียว ไม่ว่าเขาจะหลบไปที่ใดพวกมันก็จะไล่ติดตามไป ทิ้งรอยไหม้ลากยาวเอาไว้บนทางผ่าน ขณะที่ซูเฉินกระโจนไปมา คลื่นแสงที่แผดเผานั้นก็ตัดผ่านตระกูลกุยซานออกเป็นส่วน ๆ
นี่คือหนึ่งในจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของจือฮัวนู๋ ความเชี่ยวชาญด้านเปลวไฟของนางนั้นละเอียดอ่อนมากจนแม้แต่เปลวไฟที่รุนแรงที่สุดก็ยังสามารถตกอยู่ในการควบคุมของนางได้
สุริยันผลาญ สังหารไร้เสียง วิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังที่จู่โจมซูเฉินวิชาต่อวิชา ทำให้เขาปวดหัวมาก เขาถูกบังคับให้ต้องใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายครั้งแล้วครั้งเล่า ความได้เปรียบที่เขามีอยู่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มหายไป
การสู้กันระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายกลับสู่ทางตันอีกครั้ง
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ ซูเฉินก็ถูกบังคับให้ต้องจริงจัง
เขาดึงแหวนไร้แสงออกมา
ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับซูเฉิน จะตระหนักได้ทันทีว่าแหวนไร้แสงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
แหวนไร้แสงแต่เดิมนั้นเป็นเพียงอาวุธที่มีรูปลักษณ์เหมือนวงแหวนที่หม่นหมอง
รูปลักษณ์ที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
แต่ตอนนี้แหวนไร้แสงกลับเปล่งประกายจนดูราวกับถูกหุ้มเอาไว้ด้วยทองคำระยิบระยับ
รูปร่างของมันเองก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน
เดิมมันเคยมีเป็นรูปร่างเป็นวงแหวนที่มีใบมีดคมกริบติดขอบ แต่ตอนนี้มันสั้นลงกว่าเมื่อก่อนมากและใบมีดคมกริบเปลี่ยนมาอยู่ตรงจุดศูนย์กลางแทน ทำให้มันไม่ใช่ใบมีดโค้งอีกต่อไป แต่เป็นดาบขนาดใหญ่ที่มีด้ามป้องกันทรงกลมที่ดูแปลกประหลาด
ใช่ ดาบใหญ่
แม้ว่าดาบที่ยื่นออกมาจากตรงกลางจะยังไม่ขึ้นรูปจนสมบูรณ์ดี แต่มันก็เริ่มมีรูปร่างของดาบใหญ่แล้ว คริสตัลขนาดใหญ่เป็นประกายระยิบระยับถูกฝังเอาไว้ตรงกลางด้าม
“อาวุธที่ยังไม่เสร็จ ? นั่นคือที่พึ่งของเจ้าหรือ ?” จือฮัวนู๋หัวเราะเยาะเมื่อเห็นมัน
หลังจากควบคุมเปลวไฟได้อีกครั้ง จือฮัวนู๋ก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่ปรมจารย์อาร์คาน่าในตำนานอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะฆ่านางด้วยการตบเพียงครั้งเดียวไปแล้ว นางก็แค่ไม่รู้ว่าจะดิ้นหลุดออกมาจากกำมือของเขาได้อย่างไร และเพราะความช่วยเหลือจากพี่น้องชัวหลวนจือเฟิง อีกฝ่ายเลยไม่อาจรักษาความได้เปรียบไว้ได้อีก ความกล้าหาญในการสู้ของจือฮัวนู๋จึงฟื้นกลับคืนมา
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ทิ้งอีกด้วย อีกฝ่ายสามารถยับยั้งการควบคุมพลังต้นกำเนิดของนางได้ นับเป็นศัตรูธรรมชาติของนาง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจือฮัวนู๋ก็ไม่สามารถปล่อยให้เขารอดไปจากที่แห่งนี้อย่างมีชีวิตได้ !
ภายใต้จิตสังหารที่อัดแน่นของนาง ความมั่นใจในตนเองที่เพิ่งหายไปก็ฟื้นคืนกลับมาและทำให้นางกล้าพอที่จะดูถูกเขาอีกครั้ง
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ไม่ นี่คือเครื่องมือต้นกำเนิดที่สมบูรณ์แล้ว”
กล่าวจบเขาก็สะบัดมือฟาดดาบฟันอากาศ
จือฮัวนู๋กับพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงต่างก็มองดูเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน แม้แต่สมาชิกของตระกูลกุยซานที่กำลังเฝ้าดูเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ
จู่ ๆ ปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้นี้ก็ตัดสินใจที่จะสู้ด้วยดาบ แล้วดาบเล่มนั้นก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ? เขาคิดอะไรอยู่ ?
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เพราะหลังจาที่ซูเฉินเหวี่ยงดาบไปแล้ว ดาบที่กึ่งเสร็จนั้นก็ยาวขึ้น
ใช่ ปลายโลหะของดาบค่อย ๆ ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดมันก็กลายเป็นดาบใหญ่ที่สมบูรณ์
ทว่านั่นไม่ใช่จุดจบ
ดาบยังคงขยายตัวต่อไป ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟสว่างวาบลุกโซนขึ้นบนพื้นดาบ คลื่นความร้อนที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ในเวลานี้จือฮัวนู๋รู้สึกเหมือนนางกำลังได้วิ่งเข้ามาในปล่องภูเขาไฟ !
“นี่มันอะไรกัน ?”
นางไม่เข้าใจ
ดาบที่ซูเฉินฟันออกมานั้นทั้งดูเหมือนวิชาอาร์คาน่าและก็ไม่เหมือนในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม การโจมตีที่มีกลิ่นอายอันน่าเกรงขามไม่มีใครเทียบนั้น ก็กำลังฟาดฟันลงมาอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาแล้ว
“ไสหัวไปให้พ้นทางข้า !” จือฮัวนู๋ตะโกน
เผ่าปักษาทั้ง 3 ตัดสินใจหลบออกไปพร้อม ๆ กันแทนที่จะตั้งรับ พวกเขากางปีกออกโดยใช้ความเร็วอันน่าทึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของซูเฉิน
ดาบจากซูเฉินยังคงขยายขนาดต่อไป
เปลวเพลิงสีแดงที่ลุกโชนยังทั้งแผ่ขยายไปตามความยาวของใบมีดที่ขยายออก ไล่ตามเผ่าปักษาทั้ง 3 อย่างรวดเร็วจนเริ่มที่จะครอบคลุมอาณาเขตไปทั่วทั้งอาณาเขตของตระกูลกุยซาน
และในที่สุด มันก็เริ่มกลืนกินพื้นที่ทั้งหมดของเมืองเขามังกรไปด้วย
ช่างน่ากลัว !
เผ่าปักษาทั้งหมดถูกบังคับให้ขึ้นไปในอากาศเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันของดาบเล่มนี้ โชคดีที่ซูเฉินไล่ล่าเพียงจือฮัวนู๋กับพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วเผ่าปักษาอาจต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
มนุษย์นกทั้ง 3 ถูกดาบของซูเฉินบังคับให้แยกออกจากกัน ภายใต้แรงกดดันมหาศาลที่ไร้ความปราณีบังคับให้พวกเขาต้องหนีไปทั่ว
พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงผู้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันนี้เหลือบมองหน้ากัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจ
ในมุมมองของพวกเขา แม้ว่าดาบของซูเฉินจะทรงพลังมาก แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเพียงแค่การขู่ขวัญเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ควรจะถูกกดดันเช่นนี้ไปแต่แรกแล้ว
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็มีแต่ต้องลองสู้ก่อนจึงจะรู้
ทั้ง 2 ร่วมมือกัน แล้วพายุน้ำแข็งที่ชั่วร้ายก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ผลึกน้ำแข็งจำนวนมากเริ่มควบแน่นและหมุนวนอยู่ในอากาศ ลมหนาวเจาะกระดูกที่กระโชกรุนแรงพุ่งเข้าหาดาบเพลิง
พวกเขากำลังวางแผนที่จะเผชิญหน้ากับดาบของซูเฉิน
เมื่อจือฮัวนู๋เห็นเช่นนั้น นางก็ตะโกนร้องอย่างตกใจ “อย่า !”
พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงคิดว่าดาบของซูเฉินเป็นเพียงแค่การขู่ขวัญ แต่จือฮัวนู๋ผู้เชี่ยวชาญในเปลวเพลิงรู้ดีว่ามันไม่ใช่
นางสัมผัสได้ถึงพลังที่ควบแน่นนั่น และเข้าใจดีมากว่าดาบเล่มนี้เป็นของจริงอีกทั้งยังมีพลังมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม พายุหิมะก็ยังคงพัดไปข้างหน้ากระแทกดาบเพลิงขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า