ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 1 กระโดดข้ามห้าปี
ภาค 6 บทที่ 1 กระโดดข้ามห้าปี
หน้าหนาวมาแล้ว ฤดูใบไม้ผลิผันผ่าน พริบตาเดียวอีกปีก็ผ่านพ้นไป
เขาหมื่นดาบโบกลาฤดูหนาว เตรียมต้อนรับฤดูกาลอันงดงามแลเห็นชีวิตชีวา
ดอกไม้บนเขาบานเต็มที่ เกิดเป็นทะเลบุปผา สายลมแผ่วพัดผ่านพวกมัน ส่งกลีบดอกลอยละลิ่วไปตามลม
กู่ชิงลั่วอาศัยอยู่ที่นี่ ยอดเขาจิ่วเหลียนที่นางเปลี่ยนชื่อให้
พริบตาเดียวกู่ชิงลั่วก็อยู่นิกายไร้ขอบเขตมา 5 ปีแล้ว
เทียบกันแล้วอิทธิพลของนิกายเพิ่งจะเริ่มแผ่ขยายก็ช่วงนี้
เริ่มแรกนิกายไร้ขอบเขตครองเพียงยอดเขาเทียมสวรรค์ มีทหารจากกองทัพกำลังสวรรค์เกือบ 8,000 คน ตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตแผ่ขยายไปเกือบ 18 ยอดเขา มีศิษย์สาวกกว่าเจ็ดหมื่นแล้ว แผ่นขยายอิทธิพลออกไปหลายพันลี้
หากไม่ใช่เพราะความรกร้างของดินแดนแห่งนี้ หลาย ๆ คนคงอิจฉานิกายไร้ขอบเขตไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินก็เริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อศิษย์นิกายบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน จนยอดเขาต้นธารเจอคู่ต่อสู้น่ากลัวเข้าแล้ว
เป็นเพราะหญ้าต้นน้ำถูกนำมาปลูกนั่นเอง ตอนนี้มียอดเขาต้นธารเป็นพื้นที่ปลูกสมุนไพรของนิกายไร้ขอบเขต ซูเฉินยังปลูกต้นพรายจันทร์ที่ชิงมาจากนิกายแห่งพระแม่ อีกทั้งยังสมุนไพรและตัวยาหายากทั้งหลายไว้ที่นี่อีกด้วย
หญ้าต้นน้ำและต้นพรายจันทร์เข้าคู่กันได้ดี หญ้าต้นน้ำเร่งกระบวนการเติบโต สมุนไพรธรรมดาที่อาจใช้ 100 ปีกว่าจะออกผล มีหญ้าต้นน้ำแล้วอาจใช้เพียง 10 ปี แต่มากน้อยเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับตัวยาและระยะห่างจากหญ้าต้นน้ำ
ยิ่งระยะห่างกันน้อย หรือยิ่งสมุนไพรมีคุณภาพต่ำ ก็ยิ่งยังผลได้สูง
ต้นพรายจันทร์ใช้ปรุงยาระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็สามารถเพิ่มคุณภาพของสมุนไพรที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้
ทำให้สมุนไพรที่ปลูกในสวนแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
นิกายไร้ขอบเขตเพิ่งก่อตั้งไม่นาน รากฐานยังไม่มั่นคงนัก
หญ้าต้นน้ำและต้นพรายจันทร์จึงช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้บ้าง
หากทรัพยากรมากพอ ก็จะเริ่มปรุงยาจำนวนมากได้
ยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ที่ใช้ในการปรุงยาทั้งหมด
การปรุงยาของนิกายไร้ขอบเขตนั้นแกร่งมาก เพราะซูเฉินเองก็เป็นนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ด้วย
ดังนั้นซูเฉินจึงเป็นคนจัดการดูแลยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์เอง
ทุก ๆ วันจะปรุงยาออกมาจำนวนมาก และแจกจ่ายให้สาวกในนิกาย
แน่นอนว่าไม่ใช่ให้ใครก็ได้ แต่จะให้เป็นรางวัลที่ยอมทำงานให้นิกาย
นิยายใหญ่ต้องมีหนทางหาเงิน ประโยชน์ของการมีคนมากคือการที่มีแรงงานมาก
นิกายไร้ขอบเขตมีสามช่องทางหลักในการหารายได้
อย่างแรกคือการบ่มเพาะผืนดินและปลูกสมุนไพรวิญญาณ ทำให้พึ่งพาตนเองได้ ศิษย์ชั้นต่ำสุดมักรับหน้าที่เพาะปลูก นิกายไร้ขอบเขตเปิดรับอีก 3 ยอดเขาใกล้เคียงแล้ว ทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก
อย่างสองคือขายของ อำนาจนิกายไร้ขอบเขตเริ่มมากขึ้น ทำให้เปิดกิจการในหลายเมือง ขายของเช่นเครื่องมือต้นกำเนิด ยา ขนม ผ้าไหม และการฟอกเงินอื่น ๆ ได้ หลี่ชู่เป็นคนดูแล ทั้งยังเลือกศิษย์นิกายที่มีฝีมือมาช่วยงาน ทำงานที่ได้รับมอบหมายแล้วก็จะได้ทั้งยา ทั้งของ และวิชาบ่มเพาะต่าง ๆ ตอบแทน
อย่างสามคือให้ยืมกำลังทหาร พวกศิษย์ที่แกร่งหน่อยจะรับหน้าที่ด้านนี้
ตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์ระดับกลางมาก ทั้งหมดอยู่ด่านสู่พิสดาร ภายนอกอาจมองว่าเป็นระดับสูงแล้วก็เป็นได้
แต่เพราะนิกายคุมวิชาบ่มเพาะด่านสู่พิสดารอยู่ ไม่สิ มีวิชาสู่อมตะอยู่ นิกายไร้ขอบเขตในปัจจุบันจึงมีคนด่านสู่พิสดารจำนวนมากให้ใช้งาน
ด่านสู่พิสดารเหล่านี้กระจายกำลังกันรับหน้าที่เพื่อเสริมความแกร่งให้นิกาย ดังนั้นจึงไม่อาจรู้เลยว่าในนิกายมีด่านสู่พิสดารเท่าไหร่กันแน่ มีเพียงซูเฉิน หลี่ฉงซาน และคนอื่น ๆ ที่เป็นคนสำคัญของนิกายเท่านั้นที่รู้ เป็นจำนวนที่ค่อนข้างน่าตกใจจริง ๆ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้อำนาจเด็ดขาด เงียบไว้ก่อนจะดีกว่า
แต่แม้จะเก็บตัวเงียบเชียบ ก็ไม่อาจปิดบังอิทธิพลที่แผ่ขยายออกไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อศิษย์นิกายเริ่มมีอยู่ทั่วเจ็ดอาณาจักร ชื่อเสียงนิกายไร้ขอบเขตจึงเริ่มแผ่ขยาย แม้เจ้านิกายจะพยายามคุมไว้ให้มากที่สุดก็ตามที
ฉัวะ!
เยี่ยเฟิงหานหยิบดาบแทงร่างชายตรงหน้า
“เป็นไปได้ยังไง……” ชายหัวเล็กตากว้างพึมพำด้วยความตกใจขณะกำลำคอตน กระอักเลือด “เจ้า….. ลบล้าง… ตาข่าย… เก้าควันของข้าได้ยังไง…”
“หึ ก็แค่มายา การประเมินประจำปีของยอดเขาซ่อนมังกรทดสอบเช่นนี้เสมอ ทั้งยังทดสอบวิญญาณและพื้นฐานด้วย หากผ่านไม่ได้ ก็ไม่ให้ลงเขา” เยี่ยเฟิงหานเอ่ยเสียงเหยียด
“ทดสอบ… วิญญาณ….” เขาอยากถามว่า ‘ทดสอบวิญญาณ’ คืออะไร แต่ล้มลงกับพื้นก่อนจะทันได้ถามจบ
“ประทับใจนัก คุณชายเยี่ย !”
“คุณชายเยี่ยยอดเยี่ยมนัก เจ้าบ้านี่เจ้าเล่ห์ เก่งกาจวิชามายา ไปมาไร้ร่องรอย ใคร ๆ ไม่รู้ใครจับตัวได้ยากเย็นมากเท่าไหร่ ? แต่ตอนนี้กลับถูกสังหารใต้คมดาบคุณชายแล้ว”
“ใช่ ๆ คมดาบคุณชายยอดเยี่ยมที่สุด !”
“หาที่ใดเปรียบเลยคุณชายเยี่ย”
กลุ่มพ่อค้าที่เดินทางไปกับเขาต่างพากันสรรเสริญและยกยอเขาไม่หยุดหย่อน
เยี่ยเฟิงหานหาวหวอด “ไม่ต้องชมหรอก พวกเจ้าจ่ายข้ามา ข้าก็ต้องจัดการปัญหา รักษาความปลอดภัยให้ ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้านี่เหมือนจะเป็นนักโทษค่าหัวด้วยนี่ ? คงคุ้มค่าอยู่บ้าง ข้าทิ้งศพเขาแลกกับดอกน้ำค้างหมอกที่พวกเจ้าขนส่งสักดอกหนึ่งแล้วกัน ดีหรือไม่ ?”
พวกพ่อค้าพูดคุยกันสั้น ๆ ก่อนตอบตกลง
เยี่ยเฟิงหานเผยยิ้มพอใจ
นิกายไร้ขอบเขตมีการมอบหมายภารกิจรวบรวมทรัพยากรด้วย หากนำส่งได้ก็จะได้รับรางวัล
ดอกน้ำค้างหมอกคือหนึ่งในนั้น ดอกหนึ่งได้ 50 คะแนนอุทิศ
ตอนนี้เขาสะสมใกล้ 1,000 คะแนนอุทิศแล้ว
และพอถึง เขาก็จะได้ไปยังยอดเขาเปลี่ยนถ่ายการบ่มเพาะ ไปเลือกลักษณ์ที่หมายตาไว้นานแล้ว
เขาเก็บดอกน้ำค้างหมอกสีหน้ายิ้มแย้ม กำลังจะจากไปกลับเห็นคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา เหมือนจะถูกคนกลุ่มใหญ่ไล่ตามมาอยู่
เยี่ยเฟิงหานไม่คิดใส่ใจ เขาเหลือบมองเล็กน้อยก่อนทำท่าจะจากไป
แต่เยี่ยเฟิงหานกลับเห็นว่าอีกฝ่ายใช้วิชานิกายจึงหยุดชะงัก “เจ้าเป็นแขกนิกายหมื่นดาบหรือ ?”
ยามได้ยิน อีกฝ่ายก็ได้สติ “ปีสาม แสงแห่งสายเพลิง!”
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมีทั่วทุกที่ แต่ไม่เผยตัวตนเพื่อไม่ให้กระทบกับคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงใช้ประโยคสั้น ๆ ไว้ระบุตัวตนกัน เยี่ยเฟิงหานกำลังถามว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหรือเปล่า
แทนที่จะตอบตรง ๆ อีกฝ่ายจะต้องบอกตัวตนโดยไม่เผยตัวจริงออกมา
สายเพลิงหมายถึงหน่วยสายเพลิง ปีสามหมายถึงเข้านิกายมา 3 ปีแล้ว โคมซึ่งหมายถึงแสง หมายถึงการเก็บข้อมูล เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้คือศิษย์ปีสามของหน่วยสายเพลิงนั่นเอง
ได้ยินแล้วเยี่ยเฟิงหานก็หัวร่อ “โชคดีนะเนี่ยเจ้า”
เขาเงื้อมือขึ้นตวัดดาบ
การโจมตีด้วยดาบนี้ค่อนข้างธรรมดา แท้จริงดูช้าไปสักหน่อย
คนที่ถูกไล่ล่ากระแทกฝ่ามือไปด้านหลังพร้อมตะโกนกลับ “ไม่ใช่โชคดีอะไรหรอก เป็นแผนต่างหาก !”
ท่าฝ่ามือไม่ได้เล็งใคร ทว่าพื้นที่โดยรอบกลับเหมือนจะกลั่นตัวหนา อากาศควบแน่น ทำให้ขยับกายลำบาก
แต่ท่าดาบเชื่องช้าของเยี่ยเฟิงหานยังดำเนินต่อ
ผู้เชี่ยวชาญพลังอีกสองคนที่พุ่งเข้ามาไม่อ่อนแอ รับมือการโจมตี แต่กลับไม่อาจปัดป้องตนเองได้ ถูกผ่าร่างแยกทันใด
ปราณดาบดำเนินต่อ ผ่าร่างคนอีก 7-8 คน คนไล่ล่าที่เหลือหยุดชะงักตะลึงงัน
คนที่ถูกไล่หัวร่อดัง “ก็บอกแล้วว่าศิษย์นิกายข้ามีอยู่ทั่ว สุดท้ายต้องเจอสักคนแน่ เจ้าไม่เชื่อเอง ตอนนี้เลยรับกรรมไป !”
พูดจบก็กระแทกฝ่ามือออกมาติดต่อกัน 18 ครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้หมายจะปิดกั้นการเคลื่อนไหว แต่เป็นการโจมตี กระทบร่างคนที่เหลือจนฟกช้ำดำเขียว
“ฝ่ามือคลื่นระห่ำกับสุเมรุสูญหรือ ? แกร่งไม่เบานี่ !” เยี่ยเฟิงหานอึ้งไป
วิชาทั้งสองนี้จะได้มา มีแต่ต้องใช้คะแนนอุทิศจำนวนมากแลกมาเท่านั้น
เขาเป็นหน่วยสายเพลิงมา 3 ปี แต่กลับมีคะแนนอุทิศมากเช่นนี้ หากไม่มีใครหนุนหลัง ก็คงพยายามด้วยตนเองกระมัง
นิกายไร้ขอบเขตยังเพิ่งเริ่มขยับขยาย จึงมีโอกาสโตอีกมาก ตอนนี้ยังไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังทรงพลังอะไร ดังนั้นจะไต่ฐานะขึ้นมาได้มีแต่ต้องพึ่งความสามารถตน
เยี่ยเฟิงหานเห็นอีกฝ่ายถูกไล่มาแล้วจึงถาม “ได้ข่าวอะไรมา ?”
“พวกลูกเต่าจากตระกูลจินฉางหลินวางแผนปล้นร้านค้าเหอชิงหลงแล้วป้ายความผิดให้พวกโจรท้องที่” เขาตอบง่าย ๆ “เจ้าช่วยข้า ข่าวนี้ของเจ้าครึ่งของข้าครึ่งหนึ่ง น่าจะได้สัก 10 คะแนนอุทิศ”
เยี่ยเฟิงหานตอบ “ข้าว่าข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้ามานะ”
“หึ เจ้าไม่ช่วยข้าก็หนีได้อยู่แล้ว” เขาว่า “ด่านสู่พิสดารเนี่ย คนที่เทียบชั้นข้าฉางเหอได้มีไม่มาก”
เยี่ยเฟิงหานชะงัก “คือวานรทะยานฉางเหอนี่เอง คนที่ได้ที่ 7 ด้านความเร็วเมื่อการประเมินเมื่อปีก่อน”
เยี่ยเฟิงหานคุ้นชื่อฉางเหอดี เขาเชี่ยวชาญความเร็วถือครองลักษณ์วายุวิญญาณ ทำให้ลื่นไหลนัก ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงมีพลังถึง 3 อย่าง
ทว่าเยี่ยเฟิงหานก็ไม่คิดว่าตนด้อยกว่าฉางเหอแต่อย่างไร เขายังไม่มีลักษณ์เพราะเขามองลักษณ์ที่แกร่งกว่า ดังนั้นจึงรอโอกาสสะสมคะแนนอุทิศ ถึงตอนที่ได้มา กำลังเขาก็จะทะยานแล้ว
“ประทับใจนักที่ยังจำได้ อันดับ 7 ไม่ได้น่าจดจำอะไรขนาดนั้นหรอก” ฉางเหอเอ่ย ดูไม่ยินดีกับตำแหน่งตนเท่าไหร่
พวกพ่อค้าที่ฟังอยู่ได้แต่อึ้ง
ทั้งคู่อยู่นิกายอะไรกันแน่ ? ทำไมศิษย์ดูแกร่งกันเพียงนี้ ?
แล้วอันดับที่ 7 อะไรกัน ? แกร่งเช่นนี้ ในนิกายนับว่าหาได้ไม่ยากงั้นหรือ ?
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาไม่อยากเชื่อ
เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอจากไปแล้ว
สำหรับพวกเขา เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องเจอในทุกวัน
นิกายไร้ขอบเขตพยายามปิดชื่อเสียงตน แต่อิทธิพลกลับไม่อาจควบคุม คนทั้งหลายจึงสังเกตเห็นได้ไม่ยากเย็น