ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 100 เขาดูดนภา
บทที่ 100 เขาดูดนภา
ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่
นิกายไร้ขอบเขตสังหารทหารเผ่าวิญญาณที่ประจำการอยู่ในสวนภูตผีเสียย่อยยับ
ปาฏิหาริย์ที่อูลี่เค่อเฝ้ารอไม่เคยเกิดขึ้น เขามีความคิดจะสละตนเองไปพร้อมกับคนอื่น ๆ อยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะล่าถอยไป
ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ผู้มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน เผ่าวิญญาณมีวิธีหนีหลายอย่าง ดังนั้นจึงมีเผ่าวิญญาณรอดชีวิตหนีไปได้เกือบสามพันตน
ซึ่งเป็นจำนวนที่นับว่าสูงหากเทียบกับการที่กำลังถูกโจมตีเสียย่อยยับเช่นนี้
แต่ซูเฉินก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเขาก็ยังอยู่ในถิ่นศัตรู ไม่สามารถไล่ล่าได้ดั่งใจอยาก เมื่อเผ่าวิญญาณตัดสินใจหนีแล้ว จึงสามารถหนีไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
โชคดีที่ชายหนุ่มดูจะไม่ใส่ใจอะไรมาก อย่างไรก็จะไปพบกันที่ถ้ำว่านไหลไม่ช้าก็เร็วนี้อยู่แล้ว และไม่ว่าเผ่าวิญญาณทั้งสามพันตนนี้จะมาหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ภายในตำหนักนิกายไร้ขอบเขต
ซูเฉินได้พบกับเยี่ยเฟิงหานอีกครั้ง
“ครั้งนี้ทำหน้าที่ได้ดีมาก เจ้ามีรางวัลใดที่ต้องการหรือไม่ ?” ซูเฉินถามตามตรง
เยี่ยเฟิงหานคุกเข่าลงทันใด “ข้าไม่ต้องการของรางวัลใด แต่หากเป็นไปได้ ข้าอยากเป็นศิษย์ท่านเจ้านิกายขอรับ”
“เจ้าอยากเป็นศิษย์คนสนิทของข้างั้นหรือ ?” ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
เยี่ยเฟิงหานใจร่วงหล่น หรือความพยายามทั้งหมดของเขาจะสูญเปล่า ? มันยังไม่มากพอให้ท่านเจ้านิกายยอมรับเขาเป็นศิษย์คนสนิทอีกงั้นหรือ ?
ซูเฉินเอ่ยคำขึ้น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมรับเจ้า แต่หากยอมรับไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่คิดปิดบังวิชาใดของข้าอยู่แล้ว สุดท้ายก็จะเผยแพร่ออกไป ใครที่มีคะแนนอุทิศมากพอก็จะสามารถเรียนรู้มันได้ เส้นทางที่ข้าเลือกเดินทำให้ข้าไร้อาจารย์คอยชี้แนะ ดังนั้นเจ้าจะเป็นศิษย์ข้าหรือไม่ก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก เรื่องการเลือกตำแหน่งเจ้านิกายก็เช่นกัน ยามใดที่นิกายไร้ขอบเขตจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกจากศิษย์คนสนิทของข้าเพียงอย่างเดียว แต่จะเลือกจากศิษย์คนที่ทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้นเป็นศิษย์คนสนิทไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ที่ข้าปฏิเสธไปก็เพราะไม่อยากให้เจ้าผิดหวังภายหลัง”
เยี่ยเฟิงหานได้ยินเช่นนั้นก็ยังรู้สึกผิดหวังมากอยู่ดี คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงสิ้นหวังขึ้นมา “เช่นนั้น ข้าอยากเรียนวิชาหงส์เพลิงของท่านเจ้านิกาย”
“ต้องการหรือ ? ได้สิ” ซูเฉินใช้นิ้วชี้แตะอากาศ เกิดจุดแสงหนึ่งเลยออกมาจากปลายนิ้ว ประทับเข้าที่หน้าผากเยี่ยเฟิงหาน
“ข้ามอบวิชาให้เจ้าแล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวเจ้าจะเลือกเดิน”
“ขอบพระคุณท่านเจ้านิกาย !” เยี่ยเฟิงหานก้มหน้าคำนับก่อนลุกขึ้นยืน “อ้อ ท่านเจ้านิกาย เรื่องหุบเขาทรุดและอารามยมทูต…”
ซูเฉินขัดขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น มันไม่อันตรายมากเท่าไหร่”
“ขอรับ ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?”
“เพราะเผ่าวิญญาณออกคำสั่งให้ถอยไปยังถ้ำว่านไหล…… พวกเขาจะไปตั้งหลักเป็นที่สุดท้ายอยู่ที่นั่น”
หากจะถอยไปตั้งหลักที่ถ้ำว่านไหล ก็หมายความว่ายอมแพ้เรื่องการต่อสู้ที่หุบเขาทรุดหรืออารามยมทูตไปแล้ว หรือก็คือจะไม่มีกลอุบายร้ายแรงใดอีกต่อไปแล้ว
และถ้าเป็นเช่นนั้น ซูเฉินย่อมไม่ต้องกลัวอะไรอีก
สวนภูตผีนั้นกว้างขวางมาก จะครอบครองคงต้องใช้เวลานานพอสมควร
ซูเฉินไม่ต้องการรอนานเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากพักผ่อนและจัดระบบระเบียบใหม่สักเล็กน้อย กองทัพนิกายไร้ขอบเขตก็เคลื่อนพลต่อ
ในขณะที่ตอนอยู่ในที่ราบเส้นทางวงแหวนเคลื่อนพลได้ช้ากว่า นิกายไร้ขอบเขตในครั้งนี้ว่องไวดุจสายลม แทบตามเหยียบชายเสื้อเผ่าวิญญาณไปจนถึงหุบเขาทรุดเลยทีเดียว
หุบเขาทรุด แท้จริงแล้วเป็นทิวเขาที่สลับซับซ้อนที่รู้จักกันในชื่อเขาดูดนภา
ดูเหมือนว่าหุบเขาแห่งนี้จะเกิดขึ้นจากหินโลหะก้อนใหญ่ที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
แต่ไม่ว่าหินจะมีแรงดูดหรือไม่นั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภูเขาแถบนี้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นของตนอยู่
คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งคือ การที่พลังต้นกำเนิดที่นี่จะมีการไหลเวียนได้อย่างรุนแรงเป็นพิเศษ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่แห่งนี้สามารถสร้างกระแสพลังต้นกำเนิดปั่นป่วนขึ้นได้เอง แม้จะไร้ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหญ่ทำการโจมตีพร้อมกัน ใครที่อยู่ในแถบนี้จะรู้สึกว่าตนคุมพลังได้น้อยลงมาก
โดยจะสัมผัสได้เด่นชัดที่สุดในหุบเขากลางทิวเขาทั้งมวล ทำให้ไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าหุบเขาทรุด
เพราะไม่สามารถใช้วิชาต้นกำเนิดได้เลย
ด้วยความที่ผลนี้มีระยะถึงท้องฟ้าด้วย ดังนั้นจะบินผ่านก็ไม่ได้ นิกายไร้ขอบเขตจำเป็นต้องเดินเท้าเข้าพื้นที่ไป
แต่แม้จะไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิด ก็ยังมีอสูรกายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
อสูรกายเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพาวิชาต้นกำเนิด แต่พึ่งพาร่างกายอันทรงพลังของตนเองต่างหาก ในเขตใช้พลังไม่ได้เช่นนี้ กำลังทั้งหมดที่มีคือกำลังกายของพวกมัน
เห็นได้ชัดว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเผ่าวิญญาณและเผ่าคนเถื่อนเกิดขึ้นเพราะสถานที่แห่งนี้
เผ่าคนเถื่อนรู้สึกว่าสถานที่เช่นนี้ ที่พลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นที่ที่พวกเขาเหมาะจะถือครองมาก แต่เผ่าวิญญาณกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น
อย่างไรก็ดี เขาดูดนภาไม่ใช่สถานที่ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้พลังต้นกำเนิดสักเท่าไหร่
แม้จะเป็นแดนที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยเช่นเดียวกันกับช่องแคบวายุเงียบหรือสวนภูตผี แต่ผลกระทบที่มีต่อพลังต้นกำเนิดทำให้ยิ่งมีผลกับคนที่ทรงพลังมากกว่าคนที่มีพื้นฐานพลังต่ำ เมื่อเทียบกันแล้ว อันตรายจากทั้งสี่เขตหวงห้ามยังไม่น่ากลัวกับผู้ทรงพลังมากเท่าที่นี่เลย
ดังนั้นจะเรียกว่าที่นี่ไร้ใครอยู่อาศัยก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น หากเป็นคนทรงพลัง เขาดูดนภาก็เป็นดินแดนไร้ผู้ครอบครองจริง
หลังจากนิกายไร้ขอบเขตเดินทางมาถึง ก็เหินร่างลงพื้น
ทันทีที่เข้าใกล้เขตภูเขา กู่ชิงลั่วก็มุ่นคิ้ว “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดที่ส่งผลกระทบต่อตัวข้า ทำให้การควบคุมพลังต้นกำเนิดของข้าลดน้อยลง
“เขาดูดนภาสมกับคำเลื่องลือจริง ๆ มาถึงแค่ชายแดน แต่กลับส่งผลกระทบมากเช่นนี้แล้ว” ซูเฉินเองก็สามารถสัมผัสมันได้อย่างเด่นชัด จึงออกคำสั่งหนึ่งมา “เราไม่สามารถบินผ่านที่นี่ได้ ต้องเดินเท้าไป ทุกคนระวังตัวด้วย”
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็สามารถสัมผัสบางอย่างได้เช่นกัน จึงเริ่มเหินร่างลงพื้นทีละคน
“ท่านเจ้านิกาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีเผ่าวิญญาณอยู่ที่นี่เลย อาจจะถอยไปกันหมดแล้ว” หลินเซียวรายงาน
“ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เผ่าวิญญาณได้รับผลกระทบมากกว่าเราเสียอีก” หลินเฉ่าเซวียนว่า
เผ่าวิญญาณใช้พลังต้นกำเนิดต่อสู้เป็นหลัก ส่วนมนุษย์ใช้การบ่มเพาะพลังเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นพลังชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ทะลวงด่านพลังสูงขึ้น
“อย่าเพิ่งมั่นใจไป” ฉือไคฮวงเอ่ยเตือน “เผ่าวิญญาณควบคุมที่นี่อยู่ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอาจหาทางรับมือกับผลกระทบของเขาดูดนภาได้แล้วก็เป็นได้ ?”
เฉิงเถียนไห่ตอบ “ก็เพราะหากทำได้แล้ว ก็คงไม่สั่งให้ทุกคนถอยไปรวมตัวกันที่ถ้ำว่านไหล ข้าคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก”
หลี่ฉงซานเอ่ยขึ้นทันที “จุดนี้ล่ะที่ข้าคิดว่าแปลก ไม่คิดบ้างหรือว่าเรารู้ว่าพวกเขาจะถอยไปยังถ้ำว่านไหลเช่นนี้มันง่ายเกินเหตุ ?”
กระทั่งซูเฉินได้ยินยังชะงักไปเล็กน้อย
ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ แต่เมื่อหลี่ฉงซานและฉือไคฮวงกล่าวขึ้นมา เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ซูเฉินสีหน้าเปลี่ยน “สั่งให้ทุกคนหยุดเคลื่อนพลเดี๋ยวนี้ เรียกเหยียนท่าและเฟิงหานมา”
ครู่ต่อมา ทั้งสองก็เดินเข้ามา
ซูเฉินถามตามตรง “เหยียนท่า เยี่ยเฟิงหาน อูลี่เค่อได้บอกพวกเจ้าตรง ๆ หรือไม่ว่าหากแผนล่มให้ล่าถอยไปยังถ้ำว่านไหล ?”
เยี่ยเฟิงหานอึ้งไป คิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไม่ขอรับ ไม่ได้ยินเช่นนั้นเลย”
“แล้วเขาได้บอกเผ่าวิญญาณตนอื่นบ้างหรือไม่ ?”
เยี่ยเฟิงหานคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เลยขอรับ”
ซูเฉินเปลี่ยนเป็นสีหน้าขรึมทันใด
พลางก้มหน้าคิดชั่วขณะ จากนั้นหัวเราะขึ้นมา “อันตรายจริง ๆ เกือบเดินเข้ากับดักพวกมันเสียแล้วไหมเล่า”
หลี่ฉงซานและฉือไคฮวงเองก็เริ่มเข้าใจ
ฉู่อิงหว่านเอ่ยเสียงเรียบ “หมายความว่าข่าวกรองที่ได้มาจากสวนภูตผี เป็นพวกนั้นจงใจปล่อยออกมางั้นสินะ ? เช่นนั้นก็คงจะมีอะไรน่าสนใจรออยู่ในเขาดูดนภาเป็นแน่”
เยี่ยเฟิงหานเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย “เราไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดในขาดูดนภาได้ แต่หากเผ่าวิญญาณหาวิธีรับมือกับมันได้แล้วและเก็บเป็นความลับ เช่นนั้น… หากเข้าไปเราก็เหมือนลูกแกะถูกลวงไปฆ่ากระมัง ?”
จวินโม่เสียหัวเราะเสียงเย็น “หากเป็นเช่นนั้น แม้การต่อสู้ที่สวนภูตผีคงเป็นเพียงเหยื่อล่อ แต่หากใช้พิษกวาดล้างพวกเราได้ตั้งแต่แรกก็คงดีที่สุด ในเมื่อไม่สามารถทำได้ จึงพยายามหลอกล่อเรามายังเขาดูดนภา ที่นี่… อันตรายจริง ๆ”
ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายเพียงใด เมื่อมองย้อนกลับไปที่ภูเขาก็รู้สึกขนลุกซู่
ศัตรูไม่โง่ และไม่ได้อ่อนแอด้วย
เพื่อความอยู่รอด พวกมันจำเป็นต้องสู้สุดกำลัง
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรต่อไปดี ?” กระทั่งเฉิงเถียนไห่ที่ปกติใจกล้ายังดูเป็นกังวลขึ้นมา “จะหยุดโจมตีไปตอนนี้คงไม่ได้กระมัง ?”
จะให้นิกายไร้ขอบเขตหยุดโจมตีตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ หากพบอันตรายแล้วถอยอย่างไรก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว
แต่จะต้องปรับการโจมตีเสียใหม่
ซูเฉินคุณคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้าคิดวิธีที่จะสามารถแก้ปัญหาพลังต้นกำเนิดรุนแรงในเขาดูดนภาได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือพัฒนาวิชาที่สามารถต้านผลกระทบได้ขึ้นมา อย่างสองคือหาสมบัติที่ทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกันมาใช้ ตัดเรื่องวิชาออกไปได้เลย เพราะขนาดเหยียนท่ายังไร้วิชาใดที่ต่อกรกับมันได้”
เหยียนท่าพยักหน้า
เขาเป็นเผ่าวิญญาณ แต่กลับไม่เคยได้ยินวิชาเช่นนั้นมาก่อน
แท้จริงแล้วซูเฉินเคยมีประสบการณ์รับมือกับพลังต้นกำเนิดปั่นป่วนมาก่อน แต่ก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวอย่างอิสระท่ามกลางพลังปั่นป่วนเท่านั้น ยังไม่ถึงกับขนาดใช้วิชาได้เต็มที่
ซูเฉินว่าต่อ “ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงอาจพบสมบัติที่สามารถต่อต้านพลังนี้ได้ และหากมันเป็นสมบัติละก็ หมายความว่าเราไปชิงเอามาได้เช่นกัน พวกนั้นใช้ได้พวกเราก็ต้องใช้ได้”
ทุกคนตาเป็นประกาย
“ท่านเจ้านิกายหมายความว่า…”
“เราจะใช้การต่อสู้เพื่อเสริมการต่อสู้ ใช้สมบัติศัตรูแก้ปัญหาเรื่องเขาดูดนภา” ซูเฉินกล่าว
จากนั้นก็หัวเราะ “ดูท่าว่าจะต้องส่งหน่วยสอดแนมไปก่อนเสียแล้ว”
เยี่ยเฟิงหานกำมือทันที “ท่านเจ้านิกาย ข้าเต็มใจไป”
น่าแปลกที่ซูเฉินกลับส่ายหน้า “เจ้าไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด ภารกิจนี้ต้องเลือกให้ถูกคน เกณฑ์การเลือกต้องเลือกคนที่บ่มเพาะวิชาบ่มเพาะร่าง ต้องสามารถต่อสู้ได้แม้พลังต้นกำเนิดจะปั่นป่วน”
“ส่วนหัวหน้า…” ซูเฉินคิดเล็กน้อย “ข้าจะเป็นคนนำไปเอง”
ในเรื่องนี้ไม่มีใครเหมาะไปกว่าซูเฉินอีกแล้ว