ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 101 ต้นเหตุของความผันผวน
บทที่ 101 ต้นเหตุของความผันผวน
เมื่อเทียบกับทิวทัศน์หลากสีของสวนภูตผีแล้ว เขาดูดนภาดูอ้างว้างรกร้างไปถนัดตา
เนื่องจากพลังต้นกำเนิดที่ไหลเวียนปั่นป่วนที่นี่ ทั่วทั้งพื้นที่จึงดูป่าเถื่อนกว่ามาก
ภูเขาทั้งหลายเป็นเพียงหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว มองไม่เห็นพืชพรรณ ดูไม่มีใครแอบซ่อนตัวอยู่
ถึงกระนั้นหากไม่เข้าใกล้ก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่อยู่ดี
การต่อสู้กับเผ่าวิญญาณก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเอาชนะเผ่าวิญญาณด้วยการสู้แบบตัวต่อตัวไม่ได้ แต่แทบจะไม่ได้โอกาสได้ต่อสู้แบบนั้นเลยต่างหาก ที่ช่องแคบวายุเงียบ ที่ราบเส้นทางวงแหวน และสวนภูตผี ที่เขาดูดนภาก็เช่นกัน
แม้เผ่าวิญญาณจะออกมาสู้ในที่แจ้งตอนอยู่ในสวนภูตผี แต่ก็เป็นไปเพื่อวางอุบายปล่อยพิษใส่แนวรบหลังศัตรูเท่านั้น อย่างไรก็ยังหลบในเงามืด แต่คราวนั้นซูเฉินก็ใช้อุบายศัตรูเอาชนะศัตรูไปได้
จึงเป็นไปได้สูงว่าจะมีเผ่าวิญญาณแอบซ่อนอยู่ตามแนวเขานี้
สิ่งที่ซูเฉินจำเป็นต้องทำตอนนี้คือหาพวกมันให้เจอ
“ดูนั่น ด้านหน้าพวกเราคือเนินห้าเหลี่ยม แผนที่เราจบที่ตรงนี้ ถัดจากนั้นไปเราก็ไม่รู้ทางแล้ว” หวังซินเฉาพูดพลางชี้ไปด้านหน้า
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตผู้นี้เดิมทีเป็นช่างตีเหล็ก เป็นหนึ่งในศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกาย และเป็นคนมั่นคง ด้วยความที่เขาบ่มเพาะร่างกายเป็นหลัก จึงได้ศึกษาวิชาบ่มเพาะร่างของนิกายทุกวิชา รวมถึงวิชากายาเวหาเวียนที่ซูเฉินเคยฝึกเมื่อนานมาแล้วด้วย ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขายังฝึกทุกวิชาจนสำเร็จขั้นสูงอีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงได้รับเลือกมาด้วย
“เช่นนั้นก็เติมแผนที่กันสักหน่อย” กังเหยียนหัวเราะ
กังเหยียนย่อมถูกเชิญตัวมาร่วมเดินทางด้วยเช่นกัน เผ่าหินผาภายใต้การควบคุมของเขาอีกหลายคนก็ยังติดตามมาด้วย
นับตั้งแต่เผ่าหินผาเลือกที่จะรับใช้นิกายไร้ขอบเขต ก็นับว่าได้พบต้นไม้ใหญ่ให้พักพิงแล้ว
ต้นไม้ใหญ่นี้ไม่เพียงปกป้องจากลมและฝน แต่ยังมอบวิชาบ่มเพาะพลังให้อีกด้วย ในอดีต ไม่มีเผ่าหินผาคนไหนมีด่านพลังสูงไปกว่าด่านทะลวงลมปราณเลย แต่ตอนนี้ขีดจำกัดนั้นถูกทำลายไปแล้ว เผ่าหินผาแข็งแกร่งขึ้น และไม่แน่ว่าขีดจำกัดนั้นจะขยายแตะไปสูงถึงด่านผลาญจิตวิญญาณ
ทั้งความเมตตาและอนาคตที่ไร้สิ้นสุดเช่นนี้ทำให้เผ่าหินผารู้สึกซาบซึ้งต่อซูเฉินมาก มากจนยอมถวายชีวิตให้
เผ่าหินผาที่อาศัยอยู่ในหุบเขาพายุคลั่งเมื่อก่อนหน้านี้มีแค่กลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น เผ่าหินผาก็ต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น เกิดการขยับขยายฐานะ ถึงตอนนี้ ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในสำนักที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย แต่ความรุ่งเรืองก็ถูกรัศมีนิกายไร้ขอบเขตบังเสียมิด ทำให้ไม่มีใครใส่ใจพวกเขา มิหนำซ้ำส่วนมากยังเพิ่งเริ่มบ่มเพาะพลังได้ไม่นาน ดังนั้นจึงมีด่านสู่พิสดารอยู่น้อยมาก ทำให้ไร้โอกาสแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาสักที
แต่วันนี้โอกาสนั้นได้มาถึงแล้ว
เผ่าหินผาที่มีร่างกายทรงพลังเป็นจุดเด่นเหล่านี้ มีประโยชน์กว่าผู้เชี่ยวชาญมนุษย์ในสภาพแวดล้อมเช่นในเขาดูดนภา
ดังนั้นกว่าครึ่งในหน่วยสอดแนมจึงเป็นผู้กล้าเผ่าหินผา
เผ่าหินผาตื่นเต้นเป็นยิ่งนักที่พวกตนจะได้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้สักที เมื่อเผ่าหินผาหนุ่มได้ยินกังเหยียนเอ่ยคำ พวกเขาก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ไม่เพียงแต่ที่เขาดูดนภา แต่อาณาจักรหมองหม่นทั้งหมดจะตกเป็นของเรา ดินแดนเหล่านี้สุดท้ายลิขิตมาแล้วว่าต้องเป็นของนิกายไร้ขอบเขต!”
“ใช่ ต้องเป็นของนิกายไร้ขอบเขต!” คนอื่นร้องขึ้นพร้อมกัน
“เอาล่ะ ๆ หมีเหยี่ย ไม่ต้องตะโกนดังเช่นนั้นก็ได้ พวกเรารู้ซึ้งถึงความซื่อสัตย์ของเจ้าดีแล้ว” กังเหยียนหัวเราะแล้วก็ตบไหล่เผ่าหินผาหนุ่ม
หมีเหยี่ยเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าหินผาวายุคลั่งคนก่อน ‘ฮาเหวย’
ฮาเหวยถูกเผ่าหินผาทอดทิ้งด้วยความหัวรั้น ชีวิตเขายังสบายไม่เคร่งเครียดนัก แต่หมีเหยี่ยผู้เป็นบุตร ได้กลายเป็นผู้ติดตามอันซื่อสัตย์ของกังเหยียนไป อย่างไรก็เป็นเผ่าหินผาคนแรก ๆ ที่ได้กังเหยียนคอยชี้แนะให้อยู่แล้ว ตอนนี้เขาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารแล้วเช่นกัน อัตราก้าวหน้าเช่นนี้เทียบกับมนุษย์ก็ถือว่าดีมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าเขาเป็นเผ่าหินผา
ซึ่งก็เป็นผลมาจากความพยายามของเจ้าตัวเอง และแรงสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกังเหยียนด้วย
หมีเหยี่ยในตอนนี้เป็นเผ่าหินผาที่แกร่งที่สุด แน่นอนว่ายังไม่นับกังเหยียน ที่เป็นหัวหน้าเผ่าหินคนถัดมา
“เอาล่ะ จากที่นี่ เราจะแบ่งกลุ่มละ 10 คน แล้วออกค้นหา จำเอาไว้ เจอเป้าหมายแล้วอย่าชะล่าใจ ให้ใช้กล่องสื่อสารแจ้งเตือนคนอื่น ๆ ก่อน” ซูเฉินออกคำสั่ง
ศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจนี้จะได้รับกล่องสื่อสารติดตัวไว้ มันมีส่วนประกอบของผลึกพลังสูญ ผลึกเหล่านี้สร้างมาจากเผ่าวิญญาณ และก็ใช้ต่อสู้กับเผ่าวิญญาณเช่นกัน
สิ้นคำสั่งซูเฉิน ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปเป็นกลุ่มย่อย
ซูเฉินเลือกคนมาทั้งหมดเป็นจำนวน 800 คนในการเดินทางครั้งนี้ ดังนั้นจึงแบ่งออกเป็น 80 กลุ่มย่อย แม้จะดูมีจำนวนมาก แต่ก็ต้องออกค้นหาในสถานที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นจำนวนเท่านี้ก็เป็นแค่หินก้อนหนึ่งตกลงบ่อ ก่อเกิดเป็นริ้วน้ำไม่กี่วงก็จมหายไป
โชคดีที่หินทั้ง 80 ก้อนนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้เอง หากมีความอดทนมากพอ สุดท้ายก็จะพบกับปลาที่หลบอยู่ใต้ผิวน้ำเอง
ซูเฉินเคลื่อนกายเพียงลำพัง
ยังคงใช้คำกล่าวเช่นแต่ก่อน ซูเฉินเป็นเหมือนคนตกปลายืนอยู่บนบ่อ มองหาเหยื่อจากมุมสูง
หลังจากคน 80 กลุ่มหายไปแล้ว ซูเฉินก็เหินร่างขึ้นไปในอากาศ ตรวจตราสถานการณ์เบื้องล่างโดยละเอียด แรงรบกวนจากเขาดูดนภาทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะชายหนุ่มสามารถเมินพลังต้นกำเนิดผันผวนไปได้
ในตอนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ซูเฉินสร้างร่างแยกออกมากลุ่มหนึ่ง กระจายตัวออกไปรอบทิศ เปิดใช้เนตรมองจนถึงขีดสุด
ทั้งความรวดเร็วในการเคลื่อนไหว ความสามารถในการมองเห็น และจำนวนร่างแยกที่เขาสามารถสร้างขึ้นมาในคราวเดียวนั้น นับว่าทำให้ซูเฉินมีความสามารถเทียบเท่ากับกลุ่มสอดแนมกลุ่มย่อยเลยทีเดียว
ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ยังไม่พบอะไรหลังจากค้นหามาหนึ่งวัน
คนอีก 80 กลุ่มก็เช่นกัน
พวกเขาเสาะหาไปตามหุบเขาโดยละเอียด แต่ไม่พบสัญญาณใดของเผ่าวิญญาณเลย
หรือจะคิดมากไป? ไม่แน่ว่าเผ่าวิญญาณอาจไม่ได้วางอุบายไว้ในเขาดูดนภา ไม่ได้ซุ่มซ่อนเตรียมรอบโจมตีแต่อย่างไรงั้นหรือ?
ไม่หรอก ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่!
ซูเฉินมีความเข้าใจเผ่าวิญญาณไม่ใช่น้อย
พวกมันไม่เพียงเจ้าเล่ห์เจ้ากล แต่ยังชอบทำวิจัยจากก้นบึ้งอีกด้วย
พวกนั้นย่อมไม่มีทางปล่อยปัญหาที่ยังไม่พบทางแก้ไว้ได้นานเป็นหมื่นปีหรอก หากมีเผ่าวิญญาณสักตนมีความสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา อายุขัยอันยาวนานของพวกมันและใจอยากรู้อยากเห็นย่อมทำให้ค้นพบวิธีที่จะกำจัดหักล้างผลกระทบจากภูเขาแล้วก็เป็นได้
เช่นนั้นศัตรูพากันไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด?
ซูเฉินจมลงสู่ภวังค์ความคิด
แต่ในตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น คลื่นพลังต้นกำเนิดระลอกหนึ่งก็กระจายออกมาทั่วทิศทาง
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติใดเขาดูดนภา หรือก็คือมันเป็นต้นเหตุของพลังต้นกำเนิดผันผวนในเขตนี้นั่นเอง คุณสมบัติดึงดูดอันแปลกประหลาดของแนวเขานี้ดึงดูดพลังต้นกำเนิด และกระตุ้นมันจนผู้เชี่ยวชาญพลังไม่สามารถใช้พลังได้ และเมื่อไหร่ที่เกิดคลื่นพลังต้นกำเนิดผันผวนขึ้น ผลกระทบก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า
แรงผันผวนพลังต้นกำเนิดจะสูงขึ้นและลดลงเป็นระยะ
ยามที่มันไม่เข้มข้นมากนัก ผู้เชี่ยวชาญพลังก็ยังสามารถใช้วิชาต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าบางวิชาได้อยู่ แต่หากความผันผวนพลังมีความเข้มข้นมาก การฝืนใช้วิชาต้นกำเนิดจะลงท้ายด้วยการที่วิชาตีกลับ
ในสายตาซูเฉิน ความลับของความผันผวนพลังเช่นนี้นับว่าไม่ใช่ความลับอะไร
จังหวะที่คลื่นพลังต้นกำเนิดไร้รูปร่างปรากฏขึ้นมา ซูเฉินก็สัมผัสถึงมันได้ ทั้งยังคำนวณได้ว่ามันรุนแรงมากแค่ไหนด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดหลบเลี่ยง แต่ปล่อยคลื่นพลังต้นกำเนิดของตนออกจากร่าง มันไม่แรงหรือเบาเกินไป ไม่เข้มข้นหรืออ่อนเกินไป เข้าปะทะกับคลื่นพลังต้นกำเนิดที่สาดเข้าร่าง หมายทำลายล้างมัน
พลังต้นกำเนิดสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนมา ทำให้มันไร้ผลต่อซูเฉิน
แต่เมื่อคลื่นพลังต้นกำเนิดสลายไปแล้ว ซูเฉินกลับสัมผัสถึงพลังจิตผันผวนบาง ๆ ได้
พลังจิตผันผวนนี้แค่แวบผ่านมา แต่ซูเฉินก็ยังพอจับสัมผัสได้
“หืม?” ซูเฉินถึงกับใจสะดุด
เขารู้ทันทีว่าพลังต้นกำเนิดผันผวนเมื่อก่อนหน้าไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
“หรือว่า ไม่ใช่แค่สามารถต่อต้านได้ แต่ถึงขนาดควบคุมได้เลยงั้นหรือ? เช่นนี้ยิ่งน่าสนใจ” ซูเฉินพึมพำแล้วเหลือบมองภูเขาใหญ่เบื้องล่าง
หากเผ่าวิญญาณสามารถควบคุมคลื่นพลังต้นกำเนิดได้จริง ก็แสดงว่าไม่ได้ใช้ของวิเศษที่สามารถต้านผลกระทบที่เกิดจากภูเขาได้ แต่ดูเหมือนจะสามารถคลายพันธนาการความลับของความผันผวนพลังที่นี่ได้มากกว่า ทำให้สามารถพัฒนาวิธีควบคุมพวกมันขึ้นมาได้
แต่วิธีควบคุมเช่นนี้ย่อมไม่ใช่วิธีขั้นสูงอะไร ไม่เช่นนั้นเขาก็คงถูกพายุพลังซัดไปแล้ว ไม่ใช่แค่ระลอกคลื่นธรรมดาเช่นนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ทำให้ซูเฉินได้ทิศทางในการทำวิจัยต่อไป
เขารีบเปิดใช้กล่องสื่อสารทันที “ทุกคนฟังให้ดี เผ่าวิญญาณน่าจะหลบอยู่ใต้ดิน สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการหาทางเข้าลับให้พบ หากพวกเขาหลบอยู่ใต้ดิน คงต้องมีทางเข้าอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ และให้ระวังตัวด้วย… พวกเขาน่าจะสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดผันผวนในระดับเล็กได้”
ซูเฉินปิดกล่องสื่อสาร จากนั้นเหินร่างลงพื้น
ในเมื่อพลังต้นกำเนิดผันผวนเกิดมาจากที่นี่ ก็หมายความว่าอย่างน้อยตรงนี้ก็เป็นสถานที่ที่เผ่าวิญญาณเคยจับตามองเขาอยู่
ซึ่งก็หมายความว่าแถวนี้อาจจะมีทางเข้าอยู่ก็เป็นได้!
ภูเขาลูกหนึ่งเบื้องล่างซูเฉินดูเป็นภูเขาที่แข็งแกร่งมาก แต่กลับมีอุโมงค์ขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
เผ่าวิญญาณผู้หนึ่งกำลังมองออกมาภายนอกผ่านรูเจาะอย่างระมัดระวัง ผนังรอบกายเต็มไปด้วยอักขระซับซ้อน ในมือถือลูกผลึกแก้วซึ่งเรืองแสงสีอ่อน สะท้อนไปกระทบอักขระบนกำแพง
เขาลูบผิวผลึกแก้วเพียงเบา ๆ ก็เกิดเป็นคลื่นพลังต้นกำเนิดเหมือนเมื่อก่อนหน้าออกมา
น่าแปลกที่มันไม่สามารถโจมตีมนุษย์ให้ร่วงลงมาได้ ทำให้เผ่าวิญญาณผู้นั้นเกิดความสงสัยอยู่เล็กน้อย
เขาก้มลงมองผลึกแก้วในมือ พึมพำกับตนเองว่า “เจ้านี่เป็นอะไรไปแล้ว? พังแล้วหรอกหรือ?”
คลื่นพลังต้นกำเนิดเหล่านี้ไร้รูปร่าง ทั้งยังสัมผัสไม่ได้ มีเพียงซูเฉินที่มีเนตรพิเศษจึงจะเห็นมันได้ ดังนั้นเผ่าวิญญาณระดับต่ำถึงไม่รู้ว่าสรุปแล้วมันปล่อยคลื่นพลังออกไปหรือไม่ จะเห็นก็เพียงว่ามนุษย์ที่ลอยฟ้าอยู่ยังไม่ร่วงลงมาก็เท่านั้น ทำให้ในใจเชื่อว่าผลึกแก้วคงทำงานผิดปกติไป
เขาเองก็ไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นมากมาย เรื่องที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับผลึกแก้วนี้ก็ยังมีอีกมาก
เขาไม่คิดเลยว่าการกระทำธรรมดา ๆ ของเขาจะทำให้ศัตรูรับรู้ถึงความลับได้มากมายเช่นนี้ ไม่สังเกตเลยว่าคนที่ลอยอยู่บนฟ้าเหินร่างลงมาใกล้กับจุดที่เขายืนอยู่ ทั้งยังปล่อยร่างแยกออกมาจำนวนมากแล้วปล่อยมันออกไปทั่วทิศทาง
หลังจากลองตรวจสอบลูกผลึกแก้วดูแล้ว มั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เผ่าวิญญาณผู้นั้นจึงคิดจะลองดูอีกครั้ง
เขาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า แต่ไม่พบเงาคน
“ไปแล้วหรือ?”
เผ่าวิญญาณระดับต่ำถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก่อนจะหันไป พบกับดวงตาเยียบเย็นคู่หนึ่งกำลังจ้องตรงมา!!