ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 102 เผ่าหินผาเจ้าเล่ห์
บทที่ 102 เผ่าหินผาเจ้าเล่ห์
ซูเฉินกระโจนเข้าไปใส่เผ่าวิญญาณและขังเอาไว้ในแดนพลังสูญทันที ก่อนเผ่าวิญญาณจะทันตั้งตัว ซูเฉินก็ส่งพลังจิตกล้าแข็งซัดเข้าใส่จิตใจศัตรูแล้ว
การบีบบังคับเพื่อเข้าควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เผ่าวิญญาณคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ซูเฉินกำลังทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสการกระทำของตนเองบ้าง
มีแต่เขาที่พลังจิตมีมากกว่า 3,000 หน่วย และสามารถฝึกฝนสายเลือดนิมิตลาวัณย์จนเชี่ยวชาญจนจะสามารถล้วงความลับในจิตใจของเผ่าวิญญาณได้
และเมื่อเทียบกับเผ่าวิญญาณ วิธีของซูเฉินก็ดุดันกว่ามาก ทำให้เผ่าวิญญาณที่ถูกสอบปากคำต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ซูเฉินไม่สนใจสักนิด ไม่นานก็ได้คำตอบที่ต้องการ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ซูเฉินพึมพํา
ฟ้าว!
เงาร่างของซูเฉินกะพริบก่อนจะหายไปชั่วขณะ แล้วกลับมาปรากฏอีกครั้ง
เผ่าวิญญาณเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ถูกแทนที่โดยผลึกพลังสูญที่ซูเฉินถือไว้ในมือ
ซูเฉินจึงเก็บผลึกพลังสูญไว้แล้วหยิบกล่องสื่อสารขึ้นมา “ข้าพบจุดซ่อนตัวหนึ่งของพวกมันแล้ว จึงติดต่อมาเพื่อยืนยันว่าเผ่าวิญญาณแอบซุ่มโจมตีพวกเราจริง แต่ไม่ได้ซุ่มโจมตีอยู่ใต้ดิน เป็นบนฟ้าต่างหาก”
“ท่านเจ้านิกายชาญฉลาดล้ำนัก!” ศิษย์คนอื่นได้ยินคำซูเฉินก็ร้องยินดี
“นายท่าน เผ่าวิญญาณพวกนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?” กังเหยียนถาม
เขาติดนิสัยเรียกซูเฉินว่านายท่านไปแล้ว และก็เป็นคนเดียวที่เรียกเช่นนั้นได้เสียด้วย กังเหยียนรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ตนนั้นแตกต่างจากศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนอื่น ๆ
ซูเฉินอธิบายแล้ว ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าเผ่าวิญญาณสามารถหักล้างการไหลของพลังผันผวนที่นี่ได้แล้ว ตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีก่อน ทั้งยังสามารถหาวิธีนำมันมาใช้ได้ด้วย
พลังต้นกำเนิดผันผวนของเขาดูดนภาเป็นผลมาจากแดนพลังสูญที่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นที่ รู้จักกันในชื่อแดนโกลาหล
แดนโกลาหลนั้นเต็มไปด้วยพลังงานรุนแรงไร้สิ่งใดยับยั้ง ทำให้ในแดนนั้นเองก็วุ่นวายโกลาหลมากพออยู่แล้ว แต่มันไม่เหมือนกับพลังสูญตรงที่แดนโกลาหลอย่างไรก็มีความโกลาหลเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งแก่นแท้เช่นนี้ส่งผลต่อพลังต้นกำเนิดภายในนั้นมาก ทำให้พลังเกิดความปั่นป่วนไปด้วย
เหตุผลที่การไหลของพลังผันผวนปรากฏขึ้นในเขาดูดนภาเป็นเพราะคลื่นพลังจากแดนโกลาหลกระเพื่อมล้นออกมาจากภายใน ส่งผลต่อภายนอกไปด้วย
เมื่อเผ่าวิญญาณรู้ปัญหาข้อนี้แล้ว จึงเริ่มหาทางควบคุมการเปิดและปิดของแดนโกลาหล หาวิธีดึงเอาพลังงานผันผวนภายในออกมาเพื่อให้สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้
ลูกผลึกแก้วที่เผ่าวิญญาณใช้เมื่อก่อนหน้าใช้เพื่อเปิดทางเข้าแดนโกลาหล ทำให้สามารถสร้างพลังต้นกำเนิดผันผวนได้
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เผ่าวิญญาณสามารถนำคุณสมบัติของเขาดูดนภามาใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ แต่นับเป็นเรื่องผิดปกติที่พวกมันเก็บเป็นความลับต่อเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ
เห็นได้ชัดว่าพวกมันเก็บเป็นความลับสุดยอด จะได้ใช้มันตลบหลังผู้บุกรุกในยามจำเป็น
ทางทฤษฎีแล้วก็เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ซูเฉินก็ยังมองมันออก
“เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วเราจะทำอย่างไรต่อดีนายท่าน?” กังเหยียนถาม
ซูเฉินหัวร่อ “ทำอย่างไรหรือ ก็ทำลายการควบคุมนั้นอย่างไรเล่า การควบคุมมีอยู่สองส่วน ส่วนหลักอยู่บนฟ้า ประกอบด้วยชั้นลอยที่ซ่อนอยู่ อีกส่วนหนึ่งอยู่ภายในภูเขา เผ่าวิญญาณบางส่วนได้กระจายตัวออกไปตามที่นั่น คอยจับตาดูเราเพื่อรอจังหวะใช้ลูกผลึกเหล่านี้เพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวของเรา เนื่องจากพวกมันสามารถควบคุมพลังงานผันผวนได้ หากพวกเราพยายามต่อต้านด้วยกำลัง การไหลเวียนพลังผันผวนก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นนับร้อยเท่า แรงพลังเท่านี้ก็มากพอจะฉีกร่างเราหลาย ๆ คนเป็นชิ้นได้แล้ว ภารกิจของพวกเจ้าในตอนนี้คือการค้นหาที่หลบซ่อนของศัตรูและชิงเอาลูกผลึกแก้วมา เมื่อได้ลูกผลึกแก้วแล้ว เราก็จะสามารถหลบเลี่ยงแรงผันผวนพลังเหล่านั้นได้”
“รับทราบ!” ศิษย์ทั้งหลายตอบพร้อมกัน
ได้คำชี้แนะจากซูเฉินแล้ว ศิษย์ทั้งหลายก็หาที่ซ่อนของเผ่าวิญญาณพบได้ไม่ยาก
ไม่นานนัก กังเหยียนก็พบว่าตนอยู่ใกล้กับทางเข้าถ้ำลับแห่งหนึ่ง
เขาไร้ความสามารถในการเคลื่อนกายเช่นซูเฉิน แต่ก็มีวิธีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนอยู่
ตู้ม!
กังเหยียนกระแทกหมัดเข้าใส่ผิวภูเขา สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งบริเวณ
ก้อนหินกระจายไปทั่ว ฝุ่นควันพลันปรากฏ
เผ่าวิญญาณลอยออกมาจากซากปรักหักพัง
“เผ่าหินผา!” เผ่าวิญญาณส่งเสียงด้วยความรังเกียจ
ในสายตาเผ่าวิญญาณ เผ่าอื่นทุกเผ่านับว่าด้อยกว่า แต่ด้อยกว่าเท่าไหร่นั้นก็แตกต่างกัน เผ่าหินผาที่เป็นข้ารับใช้และไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ถูกมองว่าด้อยกว่ามาก ความสูงต่ำระหว่างพวกมันกับเผ่าหินผานั้นแตกต่างราวกับยามมืดและยามสว่าง
แล้วมีหรือที่เผ่าวิญญาณจะไม่รู้สึกรังเกียจเมื่อเผ่าหินผาพังทางเข้าเข้ามายังรังลับของพวกมัน
แม้จะถูกค้นพบที่ซ่อนตัว แต่เผ่าวิญญาณก็หาได้เกรงกลัวไม่
มันร้องโวยวายด้วยความโกรธจัด หุ่นเชิดกลุ่มใหญ่พุ่งออกมา กระโจนใส่กังเหยียน ส่วนเผ่าวิญญาณตนนั้นก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป
“เอาอีกแล้ว” กังเหยียนชินชากับอุบายนี้ดี เผ่าวิญญาณมักโจมตีรุนแรง แต่หลบตัวอยู่หลังแนวหน้า ใช้พวกหุ่นเชิดเข้าโจมตีอย่างไม่ลดละ ดังนั้นกังเหยียนจึงไม่ปล่อยให้เผ่าวิญญาณผู้นั้นได้มีเวลาหลบซ่อนตัว พุ่งเข้าใส่ศัตรูทันใด หุ่นเชิดของเผ่าวิญญาณก็ให้เผ่าหินผาคนอื่นจัดการ
“เจ้าโง่เอ๊ย!” เผ่าวิญญาณคำรามเสียงเย็น “เจ้าไม่รู้หรอกกว่ากำลังต่อกรอยู่กับใคร!”
ว่าแล้วก็เกิดเป็นกรงเล็บวิญญาณง้างเข้าใส่ตรงตำแหน่งหัวใจกังเหยียน จังหวะเดียวกันนั้น ร่างกายก็เรืองแสงเย็นยะเยือก เกิดเป็นชั้นกระจกสีล้อมรอบกาย ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีกะโหลกน่าประหลาดผุดขึ้นมาแล้ววนอยู่รอบกายด้วย
เผ่าวิญญาณใช้วิชาอาร์คาน่าทรงพลังมากมายหลายวิชาในชั่วพริบตา เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ตนมี
ทว่ากังเหยียนไม่คิดสนใจ คำรามเสียงแล้วก็พุ่งเข้าไปต่อ
กรงเล็บวิญญาณทิ้งรอยขวากยาวไว้บนร่างกังเหยียน และชั้นน้ำแข็งคลุมร่างเขาไว้ แต่กระนั้นกังเหยียนก็ยังพุ่งเข้าไปอย่างอาจหาญ ปะทะเข้ากับชั้นกระจกสี ยังผลให้มันแตกกระจายออก ขณะที่ชายร่างโตพุ่งเข้าไปราวกับวัวคลั่ง
หัวกะโหลกพุ่งออกมากัดลงกล้ามเนื้อกังเหยียน พ่นพิษเข้าไปข้างใน
แต่กังเหยียนยังคงมุ่งหน้าไปต่อราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
พุ่ง! พุ่ง! พุ่งเข้าไป!
ชายร่างใหญ่ทำเพียงพุ่งเข้าไปเท่านั้น
เผ่าวิญญาณรีบลอยถอยหลัง ปลดปล่อยเปลวเพลิงแถบหนึ่งออกมา ตามมาด้วยสายฟ้าฟาดสองสาย มันผ่าร่างกังเหยียนเสียจนไหม้
แต่กังเหยียนก็ยังพุ่งเข้าไป ทำลายระยะห่างระหว่างทั้งคู่
เผ่าวิญญาณเริ่มรู้สึกกลัว ปล่อยลูกเพลิงออกมาสามลูก และปล่อยริ้ววายุออกมาอีกสี่เส้นติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยพุ่มหนามที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ถึงตอนนี้มันไม่มีเวลาร่ายวิชาอาร์คาน่าระดับสูงแล้ว ได้แต่ใช้วิชาระดับต่ำซึ่งใช้ได้รวดเร็วเหล่านี้เพื่อหยุดยั้งศัตรูแทน
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ลูกไฟเข้าปะทะร่างกังเหยียน แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้สักนิด ริ้ววายุถูกร่างแล้วก็กระเด็นออกไปโดยไร้อันตรายใด ส่วนพุ่มหนามถูกกังเหยียนใช้เท้ากระทืบตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่ทันขยายใหญ่ ดังนั้นมันจึงฉุดรั้งความเร็วของชายร่างใหญ่ไม่ได้เลย
กังเหยียนเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ตายซะ!” กังเหยียนคำรามพร้อมยิ้มเหี้ยม แล้วปล่อยหมัดออกมา
แต่ในตอนที่หมัดนั้นกำลังจะกระแทกศัตรู นัยน์ตาผ่าวิญญาณตนนั้นกลับมีแสงกะพริบประหลาด “เจ้าไม่อยากโจมตีข้าหรอก!”
กังเหยียนพลันชะงักไป
เผ่าวิญญาณเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเอ๋ย เงยหน้าขึ้นมาดูว่าเจ้ากำลังสู้อยู่กับใครเสียสิ เจ้าไม่มีทางขึ้นมาอยู่บนจุดสูงเช่นนี้ หรือประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้หรอก จงติดตามข้า เป็นทาสรับใช้ของข้า แล้วเจ้าจะได้รับความสำเร็จนั้น…”
เผ่าวิญญาณใช้นิ้วแตะลงที่หน้าผากกังเหยียน
วิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณอาจใช้ไม่ได้ผลกับนิกายไร้ขอบเขต แต่เผ่าวิญญาณผู้นี้กำลังใช้วิชารุกรานจิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่พวกมันสามารถใช้ควบคุมศัตรูได้ เห็นได้ชัดว่ามันซับซ้อนกว่าวิชาบงการจิตทาสมากนัก มันไม่ทำให้ความแกร่งของผู้ใช้ลดลง ที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้ได้ผลกับนิกายไร้ขอบเขตด้วย
‘หวังว่าจะใช้ควบคุมเจ้านี่ได้นะ’ เผ่าวิญญาณคิด จากนั้นก็เอ่ยคำโน้มน้าวต่อ และฝังมันลงในจิตใจของกังเหยียน
มันสัมผัสได้ว่าวิชารุกรานจิตกำลังเป็นไปได้ด้วยดี ราวกับไร้ซึ่งการขัดขืนเลยสักนิด
ทำให้มันตื่นเต้นไม่น้อย
มันกำลังจะทำสำเร็จแล้ว!
แต่ประเดี๋ยวก่อน นั่นมันอะไรน่ะ?
เผ่าวิญญาณที่กำลังล้วงลึกเข้าไปในจิตใจของกังเหยียนกลับพบว่าในร่างศัตรูมีแสงสว่างจ้าเริ่มส่องขึ้นมา
เผ่าวิญญาณผู้นั้นจึงเพ่งมองให้ดี พบว่าภายใต้แสงสว่างจ้านั้นเหมือนจะมีตำหนักแห่งหนึ่งอยู่
นั่นมัน… วัฏจักรสมบูรณ์?
เผ่าวิญญาณจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตำหนักแห่งนั้นคือวัฏจักรสมบูรณ์… ตำหนักจิตแห่งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ!
แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็เห็นเป็นเงาร่างของวัฏจักรสมบูรณ์แล้ว!
ซึ่งก็หมายความว่าศัตรูผู้นี้กำลังจะทะลวงด่านแล้ว แต่ยังขาดบางสิ่งอีกเล็กน้อยที่จะเติมเต็มตำหนักนั้นให้เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น
เผ่าวิญญาณพลันรู้สึกว่าจิตใจตนสะดุ้ง
ที่มันตกตะลึงไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าหินผาผู้นี้สามารถทะลวงด่านเกินขีดจำกัดที่มีได้ แต่เป็นเพราะวิชารุกรานจิตของมันไม่อาจใช้ได้ผลกับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณต่างหาก
ถึงจะเป็นผู้ที่เพียงอีกครึ่งก้าวจะฝ่าถึงด่านผลาญจิตวิญญาณ ก็ไม่สามารถใช้วิชานี้ควบคุมได้แล้ว เพราะอีกฝ่ายมีพลังสูงส่งกว่าที่มันจะสยบได้
เช่นนั้นเหตุใดถึง… แย่แล้ว! ต้องเป็นกับดักแน่!
เผ่าวิญญาณจึงรู้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก
มันพยายามดึงจิตตนเองกลับมา ทว่ากังเหยียนกลับลงมือในจังหวะนั้น
เขาเหลือบมองเผ่าวิญญาณ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “คราวนี้เข้าใจหรือยัง?”
พริบตาต่อมา ก็เกิดคลื่นพลังรุนแรงกำเนิดขึ้นในจิตของกังเหยียน
วัฏจักรสมบูรณ์ที่สร้างเสร็จไปครึ่งหนึ่งเริ่มส่องแสงสว่างจ้า เกิดเป็นพลังหมุนวนอยู่ด้านบน
ภาพเผ่าวิญญาณที่อยู่ในทะเลความรู้ของกังเหยียนเริ่มแตกสลายและหายไปในพลังหมุนวนนั้น กลับคืนสู่รูปแบบพลังงานจิตดั้งเดิม
“ม่ายย!” เผ่าวิญญาณร้องเสียงโหยหวน พลังจิตถูกดึงออกไปจากร่างอย่างรวดเร็ว มันถูกดึงเข้าไปในพลังหมุนวนนั้นและทะเลความรู้ของกังเหยียน พร้อมกันนั้นวัฏจักรสมบูรณ์ของกังเหยียนก็เริ่มขยับขยายและก่อรูปร่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น
เขากำลังจะใช้จังหวะนี้เพื่อทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ
ใช้พลังของเผ่าวิญญาณเพื่อทะลวงด่าน!
เผ่าวิญญาณรู้สึกว่าตนเองกำลังจะเสียสติ
ศัตรูของมันใช่เผ่าหินผาจริงหรือ?
เผ่าหินผาชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ติดตามนายท่านมานานเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเรียนรู้สักอย่างสองอย่างมาบ้าง ขอบใจสำหรับความช่วยเหลือ!” กังเหยียนหัวเราะ แสงสว่างจนตาพร่าแผ่ออกมาจากทะเลแห่งความรู้ ก่อนจะแผ่ออกจากร่าง ทำให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเรืองรอง