ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 110 สงครามใต้พิภพ
บทที่ 110 สงครามใต้พิภพ
เมื่อเห็นว่ากูเทียนเยวี่ยลังเล ซูเฉินก็หัวเราะและกล่าวกับเขา “ถ้าชาวปักษาต้องการวิญญาณอำมฤต ความสนใจของพวกท่านก็น่าจะอยู่ที่หอวิญญาณ อาณาจักรหมองหม่น อารามนางพญา บ่อน้ำพุแห่งนิรันดร์ ตำหนักฝันหวนคืน ศาลาสนธยา สวนพันปี… มีหลายสถานที่เหลือเกินที่มีสมบัติมากมายที่จะเข้าปล้นได้ หากเผ่าปักษาสนใจอยู่แค่ที่นั่นเพียงแห่งเดียว เผ่าคนเถื่อนก็คงไม่สามารถช่วงชิงสมบัติไปได้มากกว่าชาวปักษาหรอก”
แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วจะต่างกับข้อเสนอของตานปาก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า?
กูเทียนเยวี่ยหันไปมองซูเฉินและตอบกลับ “ดูเหมือนว่าเจ้านิกายซูกับจักรพรรดิตานปาจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสินะ”
ซูเฉินตอบ “จะบอกว่าความสัมพันธ์อันดีก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก ข้าก็แค่ไม่ชอบท่านเท่านั้นเอง”
คำตอบนั้นทำให้กูเทียนเยวี่ยอับอายเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เป็นความผิดของเขาเองที่ขอให้ทั้งสองเข้าพบ จากนั้นก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ทั้งคู่เมื่อพวกเขาไม่ได้ทำตามที่ขอ
เผ่าปักษาเป็นฝ่ายที่อ่อนแอและมีความต้องการมากที่สุดในทั้งสามเผ่า แต่ก็ยังกล้าที่วางอำนาจ ศักดิ์ศรีของชาวปักษาที่ฝังลึกในใจตัวเองนั้นช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ตานปากับซูเฉินจึงไม่ลังเลที่จะข่มความจองหองของกูเทียนเยวี่ย และกดดันให้อีกฝ่ายต้องตอบแทนในศักดิ์ศรีนั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ตานปาพาคนเถื่อน ชนเผ่าเพลิงมาพร้อมกับพันธมิตรของพวกเขา ดังนั้นแผนการของซูเฉินที่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างเผ่าปักษากับเผ่าคนเถื่อนจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป และการที่คนของตานปาตายไปก็มีแต่จะเป็นผลดีกับเจ้าตัวเท่านั้น
แล้วการยุแยงให้ขัดแย้งกันจะมีประโยชน์อะไรอีก คงจะดีกว่าหากซูเฉินทำตามหน้าที่เพียงเท่าที่รับปากกับพวกเขาไว้
อันที่จริงแล้วซูเฉินชอบตานปามากกว่าหยงเยี่ยหลิวกวง เพราะหยงเยี่ยหลิวกวงนั้นเจ้าเล่ห์และเหลี่ยมจัดนัก อีกทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ทันและเอาชนะซูเฉินได้
เขาคงเลือกที่จะใช้ตานปาเพื่อจัดการกับหยงเยี่ยหลิวกวง… ไม่ใช่ให้หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นฝ่ายลงมือ
ต้องการผลประโยชน์หรือ
ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองนั่นไง
สุดท้ายแล้วทั้งสามฝ่ายก็จะต้องมาตกลงกันเช่นนี้อยู่ดี
เผ่าปักษารับได้ก็เพราะพวกเขาต้องการที่จะได้วิญญาณอำมฤตกลับคืนมาเท่านั้น
หลังจากต่อรองกันแล้ว การโจมตีก็เริ่มขึ้นทันที เพราะอากาศในบริเวณนั้นหนาวเย็นเหลือเกิน
ถ้ำมากมายกระจายตัวกันอยู่บนผิวของเขาแยกนภา และพวกมันคือทางเข้าสู่ถ้ำว่านไหล
ทุกปากถ้ำนั้นนำลงไปสู่เบื้องล่าง แต่ไม่มีปากถ้ำไหนเลยที่จะพาไปสู่ข้างล่างนั้นจริง ๆ
อุโมงค์ทางเดินนั้นซับซ้อนและเชื่อมต่อกันมากมาย มีเพียงเผ่าวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถจดจำเส้นทางและระบบของอุโมงค์นี้ได้ ศัตรูหรือผู้บุกรุกที่เข้ามาที่นี่นั้นมีโอกาสที่จะหลงทางสูงยิ่ง
แต่หากกองกำลังของการบุกรุกนั้นใหญ่มากพอ แม้จะเป็นวงกตที่ซับซ้อนที่สุดก็สามารถถูกไขได้ด้วยความรุนแรง
ทั้งสามทัพเลือกวิธีการที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับวงกตโดยพวกเขาจะส่งคนเข้าไปให้เต็มอุโมงค์ และค่อย ๆ เดินตามกันลงไป
เมื่อทั้งอุโมงค์นั้นเต็มแล้ว เส้นทางที่ถูกต้องก็จะปรากฏในท้ายที่สุด
กองทหารเผ่าคนเถื่อน เผ่าปักษา และเผ่ามนุษย์กระจายตัวกันเข้าไปในทางเข้าต่าง ๆ เหล่านั้นทำให้พวกเขาดูเหมือนฝูงมดงานที่กำลังเดินเข้ารัง
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตแยกกันเข้าไปในทางเข้าที่ต่างกันถึง 71 แห่ง
ทั้งหมดค่อย ๆ เดินผ่านเข้าไปในอุโมงค์เหล่านั้น และเพราะพวกมันเชื่อมต่อกันทั้งหมด หลายเส้นทางจึงทำให้ชาวนิกายไร้ขอบเขตไปบรรจบกันเองอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้ภายในอุโมงค์ดูมีชีวิตชีวามากทีเดียว
หากมีเส้นทางอื่นให้สำรวจต่อ ศิษย์ทั้งหลายก็จะเลือกเดินทางนั้นทันที นอกจากว่าจะพบทางตันและเดินถอยกลับเท่านั้น
การเดินไปมาในถ้ำที่แสนจะคับแคบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พวกเขาจึงต้องส่งเสียงโหวกเหวกกันแทบจะตลอดเวลา
“หยุด! หยุดก่อน! คนที่อยู่ข้างหลังพวกเราหยุดเดินก่อน!”
“ตรงนี้เป็นทางต้น!”
“อย่าโจมตี! เราเป็นพันธมิตร!”
“ตรงนี้มีทางเดิน…”
“ระวังด้วย… อ๊ะ! ให้ตายเถอะ ตรงนี้มีกับดัก!”
เผ่าวิญญาณนั้นไม่ได้คิดจะปล่อยให้ผู้บุกรุกเดินไปเดินมาในบ้านตัวเองได้อย่างสบายใจอยู่แล้ว กับดักมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งในถ้ำ และพวกมันก็น่ารำคาญยิ่งนักสำหรับชาวนิกายไร้ขอบเขต
ปัง!
กังเหยียนทำลายหินก้อนโตที่เหนือศีรษะแล้วบ่นอุบ “เรามาเพื่อรบในถ้ำว่านไหลไม่ใช่หรือไรกัน ทำไมถึงต้องมาจัดการกับกับดักพวกนี้แทนล่ะ”
“นี่ละคือการต่อสู้ของเรา” ซูเฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตอบกลับไป “แบบนี้ก็สมกับเป็นเผ่าวิญญาณแล้วไม่ใช่หรือ”
ใช่แล้ว สมกับเป็นเผ่าวิญญาณจริง ๆ
“เขาแยกนภาน่ะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ทัพหน้าของเราอ่อนแอลงเท่านั้น เมื่อเราลงไปถึงที่ใต้พิภพได้แล้ว การต่อสู้ที่แท้จริงก็จะเริ่มขึ้น” ซูเฉินกล่าวต่ออย่างใจเย็น “หรือก็คือ ที่เรากำลังต้องหงุดหงิดกันตอนนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
กังเหยียนขนลุกซู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ก็จะต้องผ่านไปได้อย่างยากเย็นอย่างนั้นหรือ”
ซูเฉินถอนใจ “ก็ไม่เชิงหรอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร อุโมงค์พวกนี้ก็จะพาเราไปสู่อาณาจักรหมองหม่นอยู่ดี ไม่ว่าเผ่าวิญญาณจะพยายามทำเช่นไร พวกนั้นก็ไม่มีทางจะหยุดเราได้ สิ่งที่จะต่างออกไปก็คือจำนวนคนที่เราจะต้องสูญเสีย”
เมื่อซูเฉินพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้าราวกับว่ามีผีสางตนไหนมาหัวเราะกับตัวเองอยู่ตรงนั้น
ในที่สุดเผ่าวิญญาณก็เปิดเผยตัว…
เผ่าวิญญาณทั้งหลายอาศัยความคุ้นเคยกับระบบของถ้ำและวิธีการที่แยบยลต่าง ๆ เพื่อกลั่นแกล้งและออกล่าผู้บุกรุก
และเพราะข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ โดยเฉพาะความแคบของผนังถ้ำ เผ่าวิญญาณจึงไม่ต้องกังวลเรื่องจำนวนของศัตรูเลย ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะขนกันมามากมายเพียงไร เผ่าวิญญาณก็จะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาเพียงครั้งละหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่จะแสดงทักษะในการต่อสู้เป็นขวัญตา
ขณะที่ซูเฉินกับกังเหยียนกำลังพูดคุยกันนั้นเอง เผ่าวิญญาณก็เลือกที่จะโจมตีโดยไม่ให้พวกเขาได้ตั้งตัว
หมอกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนพลันปรากฏขึ้น และมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาเหล่าผู้ฝึกตน
ไอหมอกระลอกนี้เป็นวิชาอาร์คาน่าที่น่าทึ่งจริง ๆ ฤทธิ์กัดกร่อนของมันทำลายได้แม้กระทั่งเกราะกำบัง แต่ถึงอย่างนั้นวิชานี้ก็ยังมีข้อบกพร่องในด้านความเชื่องช้า จึงทำให้เป้าหมายสามารถหลบหลีกได้ง่าย ทว่าในอุโมงค์นี้ไม่ได้มีพื้นที่ที่จะหลบไปไหนได้ ศิษย์ทั้งหลายไม่สามารถกำจัดหมอกเหล่านั้นได้ทันก่อนที่มันจะล้อมรอบพวกเขาไว้ ทุกคนต่างร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด
“เร็วเข้า ถอยทัพกลับไป!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งร้องขึ้น
โชคดีที่ชาวนิกายไร้ขอบเขตได้รับคำสั่งมาแล้วว่าไม่ให้เกาะกลุ่มกันแน่นเกินไปในทางเดิน ทำให้พวกเขายังพอมีพื้นที่ที่จะถอยทัพกลับไปได้ แต่กระนั้นผู้ฝึกตนสองคนก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนทำให้ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
“เอาคนเจ็บกลับออกมา พวกเจ้าสองคนขึ้นไปแทนเขา” ผู้นำของกลุ่มนั้นออกคำสั่ง ศิษย์สองคนที่ขึ้นไปแทนที่นั้นเป็นผู้ฝึกตนที่มีความสามารถในการแก้วิชาพิษทั้งหลาย
หยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา หยกนั้นเปล่งประกายเล็กน้อยและป้องกันไม่ให้หมอกพิษเคลื่อนเข้ามาใกล้ไปกว่านี้
ศิษย์ทั้งคู่เพิ่งผ่านหมอกพิษมาได้ แต่แล้วพื้นดินเบื้องหน้าก็พลันปะทุขึ้น และตรงเข้าห่อหุ้มร่างสองคนนั้นทันที… ดินนั้นมัดร่างมนุษย์เอาไว้ราวกับว่ามันมีชีวิตเคลื่อนไหวได้อย่างไรอย่างนั้น
คนที่อยู่ด้านหลังรีบเข้ามาช่วยแก้มันออก แต่ก็ต้องพบว่าผู้ฝึกตนสองคนนั้นได้สิ้นชีพแล้ว ดวงตาของทั้งคู่ยังคงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
ทรายนั้นแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของชายทั้งสองและทำลายอวัยวะภายใน ทรายที่ว่านี้จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทรายทลายเงา’
ผู้นำของกลุ่มนั้นวางร่างลูกน้องทั้งสองลงก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “…มุ่งหน้าต่อไป”
“พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายที่นี่ล่ะ” เผ่าวิญญาณส่งเสียงล้อเลียน
ผู้นำทัพไม่ได้ใส่ใจและกล่าวกับทุกคน “อย่าไปสนใจและระวังตัวเอาไว้เสมอ มันไม่กล้าแสดงตัวหรอก”
ในตอนนั้นเอง หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีหน้าที่คุ้มกันบริเวณโดยรอบก็ร้องขึ้น “ป้องกันเดี๋ยวนี้!”
ผู้ฝึกตนสองคนกระโจนออกไปทันทีและสร้างเกราะผนึกขึ้นในอากาศที่เบื้องหน้าพวกตน ทันทีที่ผนึกนั้นทำงาน งูขนาดเล็กที่ก่อนหน้านี้มองไม่เคยเห็นพลันปรากฏขึ้น พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่ไม่ใช่วิชาอาร์คาน่าแต่อย่างใด งูพวกนี้เป็นสัตว์น่ากลัวที่อาศัยอยู่ใต้ดิน หากพวกมันเข้าถึงตัวได้ คนผู้นั้นจะตายอย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไหวตัวทัน และเห็นงูพวกนั้นก่อนที่มันจะเข้าประชิด
เผ่าวิญญาณนั้นเล่ห์เหลี่ยมจัดและเดาทางได้ยาก ดังนั้นซูเฉินจึงจัดแจงให้มีผู้สังเกตการณ์ไปด้วยในทุกกลุ่ม ซึ่งถือเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับวิชาแทบทั้งหมดของเผ่าวิญญาณ
ผู้ฝึกตนคนนี้ไม่สามารถจับตัวเผ่าวิญญาณได้ทันในการโจมตีก่อนหน้านี้ ซึ่งเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ฉะนั้นความสำเร็จที่ได้รับในคราวนี้จึงถือเป็นไถ่ถอนก็ว่าได้
ผู้ฝึกตนทั้งสองปล่อยฝ่ามือออกไปและสังหารงูพวกนั้นได้ทั้งหมด
ตอนนั้นเอง ลูกไฟลูกหนึ่งก็ปรากฏที่เบื้องหน้าพวกเขา
ลูกไฟนั้นกินพื้นที่ทั้งอุโมงค์และกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขาทั้งกลุ่ม… ชาวนิกายไร้ขอบเขตอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย! นั่นมันภาพลวง!” ผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตะโกนขึ้น
น่าเสียดายที่เขาร้องเตือนช้าไป ผู้ฝึกตนอย่างน้อยสามคนตอบโต้กลับแต่กลับไม่ส่งผลใด ๆ และในขณะเดียวกันนั้นการโจมตีอันแม่นยำก็โผล่ขึ้นปะทะร่างของผู้ฝึกตนคนหนึ่งจนเขากระเด็นออกไป
“ตรงนั้น!” ผู้สังเกตการณ์ชี้ไป
ตู้มมม!!!
คลื่นพลังต้นกำเนิดปะทุขึ้นและพุ่งตรงเข้ามา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเผ่าวิญญาณคนนั้นดังก้องขึ้นทั่วทั้งถ้ำ
เผ่าวิญญาณผู้นั้นรู้ว่าตัวเองกำลังเดือดร้อนจึงพยายามจะหนีไป ทว่าร่างของใครบางคนกลับปรากฏขึ้นข้าง ๆ ตัวเองเสียก่อน
“เจ้า…”
มันตกใจสุดขีด
ซูเฉินยื่นมือออกไปคว้าคอฝ่ายตรงข้ามไว้ พลังที่หลั่งไหลออกมาสังหารเผ่าวิญญาณตนนั้นทันที โดยที่มันยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใด ๆ ด้วยซ้ำ
ซูเฉินโยนร่างนั้นออกไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะก้าวออกไปจากความมืด
“เจ้านิกาย!” ศิษย์ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน
“เดินหน้าต่อไป” ซูเฉินตอบก่อนที่ร่างจะหายวับไปจากตรงนั้น และปรากฏขึ้นอีกครั้งที่อีกส่วนหนึ่งของถ้ำ
เหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นทั่วในเส้นทางที่เชื่อมกันทั้งหมด ซูเฉินเป็นเหมือนผู้กู้สถานการณ์ฉุกเฉินที่คอยช่วยเหลือศิษย์ทั้งหลายไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน
การระบุตำแหน่งของเผ่าวิญญาณนั้นเป็นเรื่องยาก พวกเขาดูเหมือนจะสามารถโจมตีได้จากทุกทิศทาง จึงทำให้เกิดความเสียหายกับฝ่ายผู้บุกรุกเป็นอย่างมาก ยิ่งพวกเขาเข้าไปในถ้ำลึกขึ้น แรงต้านจากฝ่ายตรงข้ามก็ดูจะดุดันและเฉียบคมยิ่งขึ้นด้วย
เผ่าวิญญาณกำลังใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีเพื่อล่าศัตรู ทั้งข้ารับใช้ หุ่นเชิด อสูรนานาชนิด พิษสารพัด วิชาภาพลวง วิชาอาร์คาน่า กับดัก ค่ายกลต้นกำเนิด และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งก็สร้างความเสียหายให้กับผู้รุกรานได้พอสมควร
ถึงกระนั้นทัพทั้งสามที่ร่วมมือกันก็เดินหน้าต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ว่าทหารจะต้องบาดเจ็บล้มตายไปมากเท่าไร ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ยังหนักแน่นเช่นเดิม
เผ่าปักษาต้องการจะได้วิญญาณอำมฤตกลับคืนมา
เผ่าคนเถื่อนก็ต้องการให้เผ่าพันธุ์ที่เป็นปัญหานี้สูญสิ้นไป
โอกาสเช่นนี้ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายหมื่นปีนั้น ไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้
นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้พวกเขามุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ
การต่อต้านของเผ่าวิญญาณนั้นดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ แต่กองทัพทั้งสามก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับวิธีการของพวกมันแล้ว
ไม่ว่าเผ่าวิญญาณจะลื่นไหลและเจ้าเล่ห์เพียงใด แต่ความแข็งแกร่งก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน
แม้ในพื้นที่คับแคบที่เผ่าวิญญาณได้ประโยชน์จากมัน แต่พลังและความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยังด้อยกว่าทั้งสามกองทัพอยู่หลายขุม
ตราบใดที่ทั้งสามทัพยังมุ่งมั่นที่จะเคลื่อนทัพต่อไป พวกเขาก็ยินดีที่จะแลกสามถึงสี่ชีวิตเพื่อให้ผ่านถ้ำแห่งนี้ไปได้
ถึงอย่างนั้น การบุกเข้ามาในอุโมงค์ก็ลำบากใช่ย่อยและกินเวลาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ขมขื่นมาทั้งวัน ทหารกลุ่มหนึ่งก็พบเส้นทางที่นำไปสู่อาณาจักรหมองหม่นได้ในที่สุด
“เจอแล้ว! เราเจอทางออกแล้ว!”
ทุกคนพากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ
หลังจากสละชีวิตทหารไปถึงหลายหมื่นชีวิต พวกเขาก็มาถึงโลกใต้พิภพของเผ่าวิญญาณในที่สุด