ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 114 แรงบันดาลศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 114 แรงบันดาลศักดิ์สิทธิ์
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
มังกรมืดปะทะเข้ากับลูกเพลิงร้อนระอุ ส่งลาวาหลอมเหลวไปทุกทิศทุกทาง ความมืดและแสงสว่างเข้าห้ำหั่น ยังผลคือแรงระเบิดสะเทือนไกลหลายสิบลี้ ทำลายปีศาจแห่งความมืดสิ้น กระทั่งกองทัพผสมและเมืองแห่งความมืดมนยังถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย กองทัพต้องรีบถอยร่น เกราะป้องกันเมืองก็แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
พื้นดินต่างพากันไหม้เกรียมเมื่อถูกแรงระเบิด
นี่เป็นพื้นเดียวกับที่ขึ้นชื่อในเรื่องความทนทานต่อวิชาต้นกำเนิด แต่กระนั้น แรงระเบิดรุนแรงเกินคาดก็ทำเอาผืนดินแตกระแหง มุมประตูแห่งความมืดถูกระเบิดหายไป
ราชันปีศาจมืดเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ก็ยังร้องลั่นและบิดร่างไปมา
แต่เมื่อปีศาจแห่งความมืดที่อยู่บนสนามรบหายไปจนหมด ราชันปีศาจมืดจึงเริ่มถูกดูดกลับเข้าไปในประตู
“ไม่!!!” มันคำรามอย่างดุดัน พยายามจะเปิดประตูออกกว้าง ทว่าประตูแห่งความมืดเริ่มหดตัวลงแล้ว ทำให้มันถูกบีบถอยไป
“เดินทางปลอดภัยล่ะ!”
ลักษณ์เจ็ดสายเลือดของซูเฉินปรากฏอยู่เบื้องหลัง ยามเขาชี้นิ้วไปยังราชันปีศาจมืด
สะกิดนิ้วเพียงเล็กน้อยก็ราวกับบรรยากาศโดยรอบจะถล่ม มีแรงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้บางอย่างกำลังดึงดูดทุกสิ่งอย่างเข้าหาตัวมัน
นิ้วของซูเฉินคือศูนย์กลางแรงดึงนั้น ภายใต้กำลังของท่าดัชนี กระทั่งราชันปีศาจมืดที่กำลังถูกดูดกลับแดนยังเชื่องช้าลง
ราชันปีศาจมืดหาได้ปีติยินดีไม่ แต่ถามกลับเสียงตกตะลึง “นี่… นี่มันวิชาอะไรกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ
เขาใช้ท่าดัชนีนี้หลังจากสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงจากรอบกาย แม้จะดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วมีความลึกล้ำมาก
ซูเฉินเป็นคนมีเหตุผลตลอดมา ทุกทักษะและวิชาที่ใช้ล้วนมาจากความพยายามหนักหน่วง เขาไม่พึ่งหลักการใดที่ไร้เหตุผล ไร้ความศรัทธาในสิ่งที่หาคำอธิบายไม่ได้ แต่กระนั้นความจริงก็คือยิ่งมีเหตุผลล้ำลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดปาฏิหาริย์มากขึ้นเท่านั้น
ท่าดัชนีของซูเฉินก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์หรือทดลองใด ๆ แต่ความรู้ความเข้าใจที่สั่งสมมาทำให้จุดประกายความคิดขึ้นในชั่วจังหวะนั้น ดังนั้นจะกล่าวว่าท่าดัชนีนี้ล้ำลึกหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยาก
นับว่าเป็นแรงบันดาลศักดิ์สิทธิ์ทำให้เกิดท่าดัชนีนี้ขึ้นมา ทำให้เขาสามารถใช้วิชาที่มีพลังสูงเช่นนี้ออกมาได้
ทำให้เกิดการบิดเบือนเชิงพื้นที่ ดึงดูดทุกอย่างเข้าหา ประตูแห่งความมืดก็เช่นกัน และอัตราการสลายตัวของมันยิ่งเพิ่มขึ้น เนื้อหนังราชันปีศาจมืดเริ่มถูกดึงออกมาด้วยพลังดัชนี ก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ราชันปีศาจมืดร้องเสียงหวาด
นี่เป็นครั้งแรกที่มันไม่คิดจะเบียดประตูเข้ามาอีก แต่กลับถอยออกห่าง
มันกลัว!
เหล่าทหารที่เห็นภาพฉากนี้ล้วนพากันฉงน
ท่าดัชนีธรรมดาส่งพลังได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในที่สุดแสงจากท่าดัชนีก็หายไป ส่วนประตูแห่งความมืดก็พังทลาย
ราชันปีศาจมืดกลับดินแดนไปแล้ว แต่ทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นี่ตลอดกาล
ผลึกแก้วสีเข้มส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
ซูเฉินคว้ามันมาสังเกตโดยละเอียด พบว่าคือแก่นแห่งความมืด เป็นของหายากมาก เพราะมันตกผลึกมาจากสสารต้นกำเนิดแห่งความมืด แต่เมื่อตกผลึกแล้วก็ยิ่งทำให้ซึมซับและใช้งานง่ายขึ้น เพลิงเงาของเขาก็ใช้สสารต้นกำเนิดตัวนี้เป็นแก่นพลัง
ยามซูเฉินแกร่งขึ้นเช่นนี้ เขาก็เริ่มแกร่งเกินกว่าจะใช้วิชาเหล่านั้น แต่สำหรับศิษย์นิกายที่กำลังบ่มเพาะวิชา นับว่าผลึกพวกนี้คือสมบัติล้ำค่าทีเดียว
ซูเฉินจึงเก็บแก่นแห่งความมืดรอบกายมาจนหมดอย่างไร้ความลังเลใด แล้วโยนให้หลินเฉ่าเซวียน “นำไปเพิ่มไว้ในรายการสิ่งของที่ศิษย์สามารถใช้คะแนนอุทิศซื้อได้ ตั้งราคา 1,000 คะแนนต่อ 2 เฟิน [1] ใช้เพื่อเสริมการบ่มเพาะพลังในวิชาต้นกำเนิดมืด”
“รับทราบ!” หลินเฉ่าเซวียนเก็บแก่นแห่งความมืดจำนวนมากไปด้วยความตื่นเต้น
“สามี เจ้าดูนี่สิ” กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้นเสียงร่าเริงพลางหยิบกระดูกเป็นประกายคล้ายหยกขึ้นมา
“นั่นคือกระดูกแขนของราชันปีศาจมืด” ซูเฉินรู้ทันที
แขนของราชันปีศาจมืดถูกทำลายโดยลูกเพลิงระอุของซูเฉินกับกู่ชิงลั่ว แต่กระดูกยังคงสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพดี
ซูเฉินลองยกใช้แขนชั่งน้ำหนักมันแล้วก็หัวร่อ “นี่ล่ะสมบัติของแท้ กลับไปแล้วจะให้ช่างเหล็กของนิกายหลอมมันเข้ากับโลหะดาราสูญ คงจะได้อาวุธทรงพลังมาสักชิ้น เจ้าเองก็ขาดเครื่องมือต้นกำเนิดเหมาะ ๆ อยู่พอดีเลยชิงลั่ว”
“ข้าไม่อยากได้อาวุธที่สร้างมาจากกระดูกหรอก” กู่ชิงลั่วเบ้ปาก
ซูเฉินหัวเราะ “มีคนตั้งมากมายที่ยอมตายเพื่อให้ได้อาวุธเช่นนั้นมานะ”
“จะว่าไป ท่าดัชนีเมื่อก่อนหน้านี้มันคืออะไรกัน?” กู่ชิงลั่วนึกขึ้นได้จึงถามด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจ
“จะเรียกมันว่าท่าดัชนีที่เกิดขึ้นจากปาฏิหาริย์ก็ยังได้” ซูเฉินตอบ “ตัวข้าก็ไม่คิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนั้นเช่นกัน”
“ยินดีด้วยสามีข้า ตอนนี้เชี่ยวชาญวิชาสูงส่งอีกวิชาแล้ว” กู่ชิงลั่วหัวเราะ
ซูเฉินกลับส่ายหน้า “เป็นเพียงการโจมตีชั่วขณะนึกคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ซ้ำได้อีกหรือไม่”
“ไม่เห็นเป็นไร เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีครั้งที่สองและสามตามมา” กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงมีความสุข “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่”
ซูเฉินจ้องนิ้วตนเองเงียบ ๆ เริ่มใคร่ครวญถึงความรู้สึกยามได้ใช้ท่าดัชนี
ในขณะที่คนทั้งสองคุยกันอยู่ สงครามก็ยังดำเนินต่อ
กองทัพผสมกลับไปรุดหน้าต่อ สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดถูกทำลายหายไปจนหมดแล้ว
สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดเหล่านี้ยังปล่อยแก่นแห่งความมืดออกมาด้วยเช่นกัน ต่อไปคงทำให้วิชาเพลิงเงาในนิกายไร้ขอบเขตเป็นที่สนใจไม่น้อยแน่
การต่อสู้จึงกลับสู่จุดสมดุลเดิม
ปืนใหญ่ยังคงยิงออกไป
กองทัพผสมตั้งใจที่จะโจมตีฝ่ายตรงข้ามจากระยะไกลเช่นนี้ต่อ
เมื่อจัดการสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดไปได้หมดแล้ว กองทัพจึงสามารถบุกทำลายต่อได้
หากยังบุกรุดหน้าได้เช่นนี้ต่อไป คงใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะสำเร็จ
แต่เวลาหลายเดือนไม่นับเป็นอะไรในสายตากองทัพผสม เผ่าปักษาเต็มใจสู้ไม่ใช่แค่หลายเดือน แต่จะเป็นปีหรือนับสิบปีก็ยังเต็มใจ อีกทั้งยังส่งกำลังเสริมระลอกสองมาแล้วด้วย
ดูแล้วเผ่าวิญญาณก็คงรู้ว่าวันเวลาตนเองเหลืออยู่ไม่นานแล้ว
ปืนใหญ่ลั่นดังสนั่น พลังจิตผันผวนโอบล้อมกายซูเฉิน กูเทียนเยวี่ย และตานปากะทันหัน เกิดเสียงก้องขึ้นข้างหู “พวกเจ้าไม่คิดไว้ชีวิตเผ่าวิญญาณบ้างเลยหรืออย่างไร?”
ซูเฉินเลิกคิ้ว “มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล?”
“เรียกข้าว่ามั่วเนี่ยลาซือเถอะ” แสงเริ่มหนาแน่นจนกลายเป็นเงาร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฎอยู่เบื้องหน้า เผ่าวิญญาณผู้นี้บนศีรษะสวมมงกุฎสีม่วง และถือคทาที่ประดับอัญมณีสามสีไว้ด้านบน
การที่สามารถมาปรากฏตัวต่อหน้าเช่นนี้ได้แม้จะอยู่ห่างไกลกันหลายลี้ นับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งไม่น้อย
กูเทียนเยวี่ยเอ่ย “มั่วเนี่ยลาซือ หากยอมส่งวิญญาณอำมฤตมา เราก็จะไว้ชีวิตเผ่าวิญญาณ”
ทว่ามั่วเนี่ยลาซือกลับไม่สนใจเขา หันมาเหลือบมองซูเฉินกับตานปา “เจ้านิกายซู หัวหน้าเผ่าตานปา ทั้งสองก็คิดเช่นนั้นงั้นหรือ?”
ซูเฉินเอ่ย “หากท่านยอมมอบวิญญาณอำมฤต เขาย่อมจากไป ทว่าตานปากับข้าจะสู้ต่อ”
กูเทียนเยวี่ยตะลึงไป ก่อนจะตวัดสายตาโกรธมองซูเฉิน “เจ้า!”
ซูเฉินมองกูเทียนเยวี่ยด้วยสายตาเย็นยะเยือก “แม่ทัพเทียนเยวี่ย ข้ารู้ว่าท่านมีฐานะสูงส่งในเผ่าปักษา ไม่คิดเคารพพวกเรา… เผ่าปักษาไม่เคยเคารพใครอยู่แล้ว แต่หากท่านยังถืออำนาจเหนือกว่าข้าเช่นนี้ต่อไป ให้ท่านหาวิญญาณอำมฤตเอาเองก็แล้วกัน”
กูเทียนเยวี่ยจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซูเฉินจึงหันมามองมั่วเนี่ยลาซือ “ทำให้ท่านต้องหัวเราะแล้ว หัวหน้าเผ่ามั่วเนี่ยลาซือ”
มั่วเนี่ยลาซือส่ายหน้า “ข้าไม่คิดจะมอบวิญญาณอำมฤตให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อแนะนำที่พวกเจ้าทั้งสาม อาจสนใจอยากฟัง”
“โอ้? ท่านจะกล่าวอะไรงั้นหรือ?”
มั่วเนี่ยลาซือตอบ “ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร ให้พวกเจ้าถอยไปตอนนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า คิดว่าอย่างไร?”
กูเทียนเยวี่ยอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะดังลั่น “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ สิ่งมีชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้น่ะหรือ? ไว้ชีวิตพวกข้า? โอหังสิ้นดี!”
ปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่แปลกอะไร
ก็เขาไม่คิดว่าเผ่าวิญญาณจนตรอกอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าประตูแห่งความมืดเป็นหนทางสุดท้ายของเผ่าวิญญาณ
เผ่าวิญญาณอาจยังไม่ทันได้ใช้อุบายสังหารจริง ๆ เลยก็ได้
ซูเฉินและพวกระดับสูงคนอื่น ๆ ปรึกษาหารือกันแล้ว ครุ่นคิดกันหาทางไว้หลากหลาย
ง่ายที่สุดคือคงจะมีเทพอสูรบรรพกาลหรือเทพอสูรจำศีลอยู่ภายใต้ถ้ำว่านไหล หากตกอยู่ในอันตรายก็จะตื่นขึ้นและสังหารไม่เลือกหน้า
แต่ไม่นานทฤษฎีนี้ก็ถูกตีตกไป
ประการแรก ธรรมชาติของถ้ำว่านไหลไม่เหมาะให้เทพอสูรบรรพกาลหรือเทพอสูรอาศัยอยู่ หากพวกมันหลับใหลอยู่ที่นี่จริง ก็คงไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาอีก เพราะการจำศีลมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการที่พลังต้นกำเนิดบนทวีปลดลง หากพวกมันไม่คิดสัมผัสพลังต้นกำเนิดและจำศีลอยู่ใต้ดินเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรอกหรือ?
และแม้จะเป็นเทพอสูรบรรพกาลหรือเทพอสูรก็ยังพอมีทางสู้ แม้ไม่อาจเอาชนะเทพอสูรบรรพกาลได้ แต่เทพอสูรบรรพกาลที่หลับใหลย่อมไม่ลุกขึ้นสู้จริง ๆ อย่างมากก็ปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมาก่อนจะตายเท่านั้น เมื่อครั้งเขตมรณา เทพอสูรบรรพกาลที่ตื่นขึ้นมาก็โจมตีรุนแรงจนน่าเหลือเชื่อ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก อย่างน้อยเทพอสูรก็ยังยื้อชีวิตไว้ได้หลายวัน แต่นิกายไร้ขอบเขตก็แข็งแกร่งพอที่จะไม่ถูกมันกวาดล้างในคราวดี ย่อมต้องมีเวลาหนีทันแน่
ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปว่าถึงแม้แผนดังกล่าวจะมีอยู่จริง ถึงจะเสียหายหนัก แต่นิกายไร้ขอบเขตก็คงไม่ถูกสังหารสิ้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาบุกรุกเข้ามาอย่างไร้ความเกรงกลัว
พวกเขาคิดไว้แล้วว่าเผ่าวิญญาณคงมีไพ่ตายอยู่อีก แต่หากคิดว่าพวกมันจะพลิกสถานการณ์ได้ก็คงอ่อนประสบการณ์ไปแล้ว
ส่วนใหญ่แล้ว ไพ่ตายเหล่านี้มีไว้ใช้เพื่อลดจำนวนความเสียหายเท่านั้น
จึงเป็นเหตุให้กูเทียนเยวี่ยหัวเราะต่อคำขู่ของมั่วเนี่ยลาซือ
เห็นได้ชัดว่าคำขู่ไม่ได้ผลดีเท่าไร
กะทั่งตานปายังเอ่ยเสียงไม่ไยดี “หากท่านยังเตรียมอะไรไว้ก็นำออกมาเถอะ พูดปากเปล่าขู่ขวัญพวกเราไปก็ไร้ประโยชน์”
น้ำเสียงชราอีกหนึ่งดังก้องขึ้นภายในจิตใจ “เช่นนั้นหากมีข้าเป็นสื่อกลางเล่า? พวกเจ้ายังจะยอมรับและไว้หน้าข้าบ้างหรือไม่?”
สิ้นเสียงนั้น ซูเฉิน ตานปา และคนอื่น ๆ ก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในโลกที่รายล้อมไปด้วยบุปผาและเสียงนกร้องรื่นเริง ช่างแตกต่างกับสนามรบโชกเลือดเมื่อครู่ที่พวกเขายืนอยู่นัก
โลกที่แสนสวยงามอันน่าประหลาดเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ภูตตัวน้อยนับไม่ถ้วนบินไปมาอยู่บนฟ้า ภาพทิวทัศน์งดงามสงบสุข ทว่าซูเฉิน ตานปา และกูเทียนเยวี่ยกลับตะลึงงันไปอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าวิชาใดที่สามารถนำพาพวกเขาออกจากสนามรบเข้าสู่อีกแดนหนึ่งได้ย่อมไม่ใช่วิชาธรรมดาแน่นอน
ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคยไม่น้อยเลยทีเดียว
คือแดนฝัน
“เจ้าแห่งแดนฝัน!” ซูเฉินโพล่งขึ้น
[1] 1 เฟินหนักประมาณ 0.5 กรัม