ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 115 ปราการพระเจ้า
บทที่ 115 ปราการพระเจ้า
แม้จะไม่เคยสนทนากับเจ้าแดนฝันมาก่อน ซูเฉินก็ยังสัมผัสและมั่นใจได้ว่าผู้กล่าวคำคือเจ้าแดนฝัน
มีแต่ตัวตนเช่นนั้นถึงจะสามารถลากพวกเขาเข้ามาในแดนฝันได้โดยไม่ต้องให้เจ้าตัวอนุญาต
ตานปาได้ยินเสียงนั้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเช่นกัน
แต่คำตอบกลับของกูเทียนเยวี่ยทำพวกเขาชะงักไป น้ำเสียงแหลมขึ้นทันใด “อาปี้หลัว ท่านคิดจะทำลายปราการพระเจ้า ก้าวล้ำสนธิสัญญานิรันดร์กาล เพื่อยื่นมือเข้าแทรกเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้น่ะหรือ?”
ปราการพระเจ้า? สนธิสัญญานิรันดร์กาล? …คืออะไรกัน?
ตานปาและซูเฉินเหลือบมองกัน
ดวงอาทิตย์สีแดงเลือดค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาภายในแดนฝัน
ดวงตะวันสีแดงกลับกลายเป็นหน้าชายชราถอนหายใจ “ข้าไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้น แดนฝันและโลกจริงต่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน เราไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของแดนต้นกำเนิดโดยง่าย แต่เพราะเผ่าวิญญาณกำนัลพลังจิตให้แก่ข้ามานานหลายปี ข้าจึงอยากทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้…”
กูเทียนเยวี่ยตอบเสียงขรึม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้ารู้ว่าเผ่าวิญญาณมีพลังจิตกล้าแกร่ง ของกำนัลจากพวกนั้นเป็นเหมือนห่าฝนตกลงในหน้าแล้ง แล้วสิ่งที่เผ่าปักษาให้ท่านล่ะ? พวกเรามิได้ให้มากเหมือนกันงั้นหรือ? แล้วสิ่งที่มนุษย์มอบให้ไร้ค่าหรืออย่างไร?”
เขาไม่พูดถึงคนเถื่อน เพราะพลังจิตที่ส่งมอบให้นั้นไม่มากพอที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับผืนน้ำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องล่าง ยามตะวันหายไปในผืนน้ำ ผืนน้ำนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า “ไม่เพียงเท่านั้น เผ่าวิญญาณยังมอบอีกหลายอย่างที่ข้าไม่สามารถพูดถึงได้ให้เช่นกัน”
กูเทียนเยวี่ยไม่อาจเข้าใจ “แล้วอย่างไร? มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรากัน?”
เจ้าแดนฝันไม่ใช่ตัวตนธรรมดา กำลังวังชาอาจเหนือกว่าด่านมหาราชันเสียด้วยซ้ำ
แต่กูเทียนเยวี่ยกลับเอ่ยวาจาไม่สุภาพเลยสักนิด
เจ้าแดนฝันอยู่เหนือใครในทวีปต้นกำเนิดมานมนาน แต่ไม่เคยยื่นมือเข้าแทรกเรื่องในทวีปมาก่อน ไม่นานซูเฉินจึงพอเข้าใจสถานการณ์
เจ้าแดนฝันเอ่ยว่า “เจ้าเด็กยโสเอ๋ย พระแม่ของเจ้าคงเล่าเรื่องปราการพระเจ้ากับสนธิสัญญานิรันดร์กาลให้เจ้าฟังอยู่บ้างกระมัง เจ้าคิดหรือว่าปราการหรือสนธิสัญญาจะสามารถห้ามปรามจนข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เลย ถึงได้พูดจาและมีท่าทางโอหังเช่นนี้”
กูเทียนเยวี่ยยื่นคางตอบ “หากใช่แล้วอย่างไร? อาปี้หลัว ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนปกครองทวีปต้นกำเนิดมาเนิ่นนานแล้ว ท่านอาจจะสามารถชักจูงหนทางให้มันได้ แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้”
ชักจูงแต่ไม่สามารถควบคุมหรือ?
ซูเฉินรู้สึกราวกับฟ้าผ่าฟาดลงในจิตใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจพลันกระจ่างขึ้นมา
พระเจ้ามีอยู่จริงนี่เอง
เช่นนั้นพวกเขาได้สูญเสียความสามารถในการควบคุมโลกนี้ไปแล้วหรือนี่
เช่นนั้นพระเจ้าก็มีหนทางพิเศษในการใช้ชักจูงโลกอยู่เช่นกันสินะ
หนทางพิเศษ… ชักจูงโดยอ้อม…
สองประโยคดังก้องในหัวซูเฉิน ความคิดเริ่มกระจ่างแจ้ง
เจ้าแดนฝันและกูเทียนเยวี่ยยังคงพูดคุยกัน เจ้าแดนฝันหัวร่อ “ถูกแล้ว สนธิสัญญาทำให้ข้าไม่สามารถชักจูงยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแดนต้นกำเนิดโดยตรงได้ แต่เวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยน ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถจินตนาการหรือเข้าใจได้ ปักษาน้อยเอ๋ย อย่าได้ทำตัวโอหังจนเกินไป แม้พระเจ้าจะส่งผลต่อโลกของเจ้าได้เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับมือไหวเช่นกัน”
กูเทียนเยวี่ยหัวเราะลั่น “เช่นนั้นท่านไม่ลองดูเล่า? ปักษายินยอมพร้อมต่อสู้นองเลือดกับเจ้าแห่งฝันเพื่อเกียรติของพระแม่!”
ได้ยินดังนั้น เจ้าแดนฝันก็ถอนใจ “เจ้าถูกข่าซีหมีเอ่อร์สะกดสินะ นางระแวงข้ามาโดยตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็นำปีกข่าซีหมีเอ่อร์ของเจ้าออกมาสิ”
กูเทียนเยวี่ยเปล่งเสียงร้องยาวเหยียดขณะที่ปีกบนหลังคลี่ออก ปล่อยแสงสีทองออกมา เห็นขนสองเส้นที่สว่างจ้าเป็นพิเศษ คือขนปักษาเซียนนั่นเอง
ขนปักษาเซียนนิกายพระแม่ถูกซูเฉินชิงไปแล้ว แต่จู่ ๆ กลับมาปรากฏอยู่ที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนว่าพระแม่คงจะประทานให้เพิ่มกระมัง
พระแม่ที่เงียบงันมานานกลับลงมือทำการอีกครั้ง และเจ้าแดนฝันก็ยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่เกี่ยวพันกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอย่างเปิดเผย เหตุผลเบื้องหลังการกระทำของทั้งสองนั้นชวนคิดไม่น้อย
เมื่อเข้าใจคำเจ้าแดนฝัน ซูเฉินกับตานปาก็หันมองกัน เหมือนกับเข้าใจตรงกัน แต่ภายนอกกลับไม่หลุดวี่แววอะไรออกมา
กูเทียนเยวี่ยกางปีกออกเต็มที่ กระจายแสงสีทองไปทุกทิศทุกทาง
เงาร่างจากน้ำทะเลขนาดใหญ่เพียงเหลือบมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจและกล่าวว่า “ที่นี่… คือโลกของข้า”
ร่างยักษ์เหมือนไม่ได้ขยับแต่อย่างไร แสงสีทองที่ส่องจากปีกกูเทียนเยวี่ยกลับจางลง ก่อนที่เขาจะร่วงลงพื้น
แม่ทัพเทียนเยวี่ยที่กล้าท้าทายเจ้าแห่งฝัน ร่วงหล่นลงมาตั้งแต่ยังไร้โอกาสโจมตี ความสามารถในคำพูดโอ้กับการกระทำแตกต่างกันจนซูเฉินกับตานปาประหลาดใจนัก
กระนั้นกูเทียนเยวี่ยก็ไร้แววตื่นตระหนก ระหว่างที่กำลังร่วงลงมาเขาก็ร้องขึ้นว่า “เป็นโลกของท่านแล้วมันอย่างไร? แต่ก็เอาเถอะ ท่านไม่สามารถทำร้ายข้าได้หรอก!!!”
ซูเฉินกับตานปามองกูเทียนเยวี่ยที่กำลังร่วงลงมาไม่หล่นลงพื้นสักที ราวกับร่วงลงมาในหลุมไร้ก้น ร่วงอย่างไรก็ยังไม่พ้นขอบเขตสายตาซูเฉินกับตานปา ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้
เจ้าแดนฝันที่สามารถสร้างแดนได้ทั้งแดนกลับไม่สามารถทำอะไรปักษาคนเดียวได้งั้นหรือ?
เป็นผลมาจากข้อจำกัดของปราการพระเจ้าและสนธิสัญญานิรันดร์กาลหรือ?
ซูเฉินกับตานปาได้แต่สงสัย
ทันใดนั้นน้ำเสียงชั่วร้ายก็ดังขึ้น “เขาอาจทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้!”
ภายในแดนฝันนั้น เริ่มเกิดเงาร่างประหลาดขึ้น ทั้งพร่ามัวและไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผี คือเผ่าวิญญาณในแดนฝัน แต่ตัวสูงใหญ่เป็นพิเศษ เมื่อเห็นมงกุฎซึ่งมีอัญมณีสีม่วงประดับอยู่บนศีรษะ และไม้เท้าฝังอัญมณีสามสีที่เขาถืออยู่ จึงรู้ชัดว่าเผ่าวิญญาณตนนี้ก็คือมั่วเนี่ยลาซือนั่นเอง
ทันทีที่มั่วเนี่ยลาซือปรากฏตัวขึ้น ก็ซัดกรงเล็บใส่กูเทียนเยวี่ยทันที
กรงเล็บนี้เป็นกรงเล็บจริง จับต้องได้ ก่อตัวเป็นพลังงานจิตบริสุทธิ์
หากถูกโจมตี กูเทียนเยวี่ยต้องบาดเจ็บสาหัสแน่
แม้ซูเฉินกับตานปาจะไม่ชอบความเย่อหยิ่งของกูเทียนเยวี่ย แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายตายได้เช่นกัน
ทั้งสองจึงลงมือ การโจมตีในแดนฝันเกิดขึ้นจากพลังจิต แต่ได้รับผลเป็นการโจมตีร่างจริง ยิ่งการโจมตีจิตมีความรุนแรงมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้น
พลังจิตของซูเฉินได้มาถึงจุดสูงสุดของมนุษย์แล้ว นับว่าทรงพลังในหมู่เผ่าวิญญาณ ดังนั้นความรุนแรงของ “หมัด” ของเขาจึงไม่ถูกลดลงนักในแดนฝัน แต่ตานปาเป็นคนเถื่อนจึงไม่มีพลังจิตสูงเช่นนั้น แต่การโจมตีก็ยังโดดเด่น แม้จะมีกำลังลดลง แต่ก็ยังหนักแน่น อีกทั้งยังเป็นการโจมตีไม่ใช่เพื่อปัดป้องกันการโจมตีของมั่วเนี่ยลาซือ แต่เป็นการมุ่งโจมตีตัวมั่วเนี่ยลาซือต่างหาก
มั่วเนี่ยลาซือคำรามโต้ โบกไม้เท้าฝังอัญมณีสามสีในมือ
ในแดนฝันนี้ ไม้เท้าสามสีควรเป็นแค่ภาพจำแลงที่ไร้ผลจริง แต่กระนั้นก็ยังเกิดเป็นแสงสามสีสว่างจ้าพุ่งออกมาสกัดหมัดของซูเฉินไว้ พร้อมกันนั้นมงกุฎฝังพลอยม่วงก็เริ่มสาดสว่าง แสงส่องปกคลุมร่าง หยุดการโจมตีของตานปาไว้ได้
กรงเล็บของมั่วเนี่ยลาซือจึงปะทะถูกร่างกูเทียนเยวี่ยเข้าอย่างจัง ปีกของกูเทียนเยวี่ยส่องแสงสีแดงจ้าปะทะกับกรงเล็บ เกิดรูบนฝ่ามือมั่วเนี่ยลาซือ แต่เขาก็ยังไม่หยุด ทะลวงฝ่ามือเข้าใส่แขนกูเทียนเยวี่ยไป
แม้จะไม่ใช่แขนจริง แต่แขนของกูเทียนเยวี่ยในโลกจริงกลับเริ่มเหี่ยวลง
“อ๊าก!” กูเทียนเยวี่ยร้องเสียงเจ็บปวดและเกรี้ยวโกรธ “โอ พระแม่ผู้ยิ่งใหญ่ ขอท่านโปรดปกป้องผู้สืบทอดของท่านด้วยเถิด!”
ปีกทั้งสองข้างเริ่มเรืองแสงเข้มข้นยิ่งขึ้นอีก
ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงโกรธก็พูดขึ้น “อาปี้หลัว เจ้าก้าวล้ำอำนาจตนแล้ว”
“โอ้ ข่าซีหมีเอ่อร์” เจ้าแดนฝันเอ่ยเสียงนิ่ง
ในจังหวะนั้นเอง แดนฝันก็สั่นสะเทือน แสงสว่างภายในเริ่มจางหาย ราวกับถูกสิ่งใดปะทะจากภายนอก
ภูตตัวจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปมาด้วยความตื่นตระหนก แดนฝันสั่นสะเทือน ดูท่าไม่ดี
พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกของเจ้าแดนฝัน หากดินแดนล่มสลายลง เช่นนั้นก็ไร้ทางรอด
และตอนนี้แดนฝันก็กำลังถูกโจมตีจากภายนอก กระทั่งเจ้าแดนฝันแรกเริ่มเดิมทีมีท่าทีนิ่งสงบยังประหลาดใจและรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “ข่าซีหมีเอ่อร์ คิดจะหาเรื่องข้าอีกแล้วหรือ?”
“เจ้าเป็นฝ่ายละเมิดสนธิสัญญาทั้งยังข้องเกี่ยวกับผู้สืบทอดของข้าก่อน!”
“ข้าเพียงแต่ปกป้องเผ่าวิญญาณตามข้อตกลงในอดีตกาลพี่เคยทำไว้เท่านั้น”
“ไม่ว่าเจ้าจะปกป้องพวกเขาอย่างไร ก็ไม่สามารถทำการข้องเกี่ยวโดยตรงได้ สนธิสัญญานิรันดร์กาลก้าวล้ำไม่ง่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้อตกลงเล็กน้อยที่ท่านทำไว้กับเผ่าวิญญาณไม่อาจแทนที่กับข้อตกลงที่ท่านทำไว้กับเทพองค์อื่นได้!”
เจ้าแดนฝันทอดถอนใจ “ในอดีตข้าก็ทำเช่นนั้น แต่เจ้าไม่เห็นหรือว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว?”
เกินคาดที่พระแม่กลับหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว ข้าก็สัมผัสได้เช่นกัน ไม่นานมานี้… ปราการพระเจ้าเริ่มคลายออกแล้ว”
“ถูกต้องแล้ว” เจ้าแดนฝันเอ่ยเสียงที่แต้มไปด้วยความปีติยินดี โชคชะตาไม่แน่นอน สวรรค์และโลกไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แน่ยุคแห่งเทพกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแล้ว”
“เจ้าหมายความว่า…”
“พวกเราควรเตรียมพร้อมเพื่ออนาคต”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว” พระแม่กลับเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าแดนฝันกล่าว
แต่ไม่นานความโกรธเกรี้ยวของนางก็กลับคืน “อย่าได้คิดจะใช้วิชาลวงจิตพวกนั้นกับข้า!”
“ลวงจิต? ก็อาจใช่ แต่ที่ข้าพูดก็คือความจริงทั้งนั้น” เจ้าแดนฝันเอ่ยเสียงเรียบ “ยุคใหม่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว มันจะเป็นยุคที่พระเจ้า… จะออกท่องทั่วใต้หล้าอีกครั้ง!”