ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 118 คงกระพัน
บทที่ 118 คงกระพัน
หลี่ฉงซานรู้สึกขนหัวลุกเมื่อรู้ว่าเทพอสูรตรงหน้าแข็งแกร่งเพียงไร ตอนนั้นเองซูเฉินกล่าวขึ้น “ขอข้าลองดูหน่อย”
เขาชักมีดไร้แสงออกมาและปล่อยคมดาบฝ่ามิติธรรมดา ๆ เข้าใส่เทพอสูร
แต่ซูเฉินกลับโจมตีพลาด!
คมดาบของซูเฉินปะทะเข้าใส่เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นความผิดพลาดในครั้งนี้ก็ไม่ได้ประหลาดนัก เทพอสูรทั้งสองที่เคลื่อนไปมาอย่างไร้ทิศทางนั้นช่างคาดเดายากเพราะพวกมันพึ่งพาเพียงรูอากาศเพียงหนึ่งเดียว ซูเฉินไม่สามารถกะเกณฑ์ตำแหน่งของอสูรร้ายได้เลย
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งหนึ่งหมื่นชีวิตสามารถโจมตีเทพอสูรได้อย่างมีประสิทธิภาพก็เพราะจำนวนของพวกเขา เป็นธรรมดาที่ความแม่นยำของซูเฉินจะต่ำกว่าเมื่อมีเขาโจมตีตัวคนเดียว
หลักการเดียวกันนี้สามารถอธิบายการโจมตีของพลดาบทั้งหนึ่งหมื่นคนที่รวมพลังกันด้วยเช่นกัน ด้วยจำนวนรวมของคมดาบที่ลดลง จึงทำให้ลดโอกาสในการเข้าปะทะกับร่างของเทพอสูรไปด้วย
ซูเฉินหน้ามุ่ยเมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาพลาดเป้า จากนั้นจึงตอบสนองด้วยการฟันมีดไร้แสงออกไปถึงสามครั้งติดกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยอีกสองครั้งในไม่กี่พริบตาหลังจากนั้น การปล่อยคมดาบฝ่ามิติถึงห้าครั้งติดต่อกันนั้นสูบพลังของเขาไปเป็นจำนวนมาก และสีหน้าของชายหนุ่มก็ซีดลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด
คราวนี้ หนึ่งในคมดาบฝ่ามิติของเขาปะทะกับร่างของเทพอสูรเข้าแล้ว
แต่แล้วภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เทพอสูรที่ถูกโจมตีด้วยคมดาบฝ่ามิติยังคงเคลื่อนที่ไปมาอย่างไร้ทิศทางเช่นเดิมราวกับว่ามันไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
แม้แต่ซูเฉินก็ยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาเป็นฝ่ายที่ทำให้คนอื่น ๆ ต้องประหลาดใจอยู่เสมอ ทว่าลึกลงไปที่ใต้พิภพนี้ กลับกลายเป็นเขาที่ต้องประหลาดใจเสียเอง
คมดาบฝ่ามิติเป็นวิชาพลังสูญที่แยกพื้นที่ออกจากกัน สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่มีมวลก็จะถูกแยกออกไปด้วย แปลว่าการโจมตีนี้อยู่เหนือการป้องกันทางกายภาพทุกชนิด ตราบใดที่เป้าหมายมีมวลอยู่ในอากาศก็จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ซูเฉินได้ทดลองและตรวจสอบทฤษฎีนี้มาแล้วกับวัสดุหลายชนิด ในท้ายที่สุดก็มีเพียงโลหะดาราสูญเท่านั้นที่สามารถต้านทานคมดาบฝ่ามิติของเขาได้ การค้นคว้าของซูเฉินทำให้เขาค้นพบแล้วว่าโลหะดาราสูญถูกเคลือบด้วยชั้นอันบางเบาของการบิดเบี้ยวของพลังสูญซึ่งผิวบาง ๆ นี้เองที่สามารถหักเหพลังของคมดาบฝ่ามิติได้ และทำให้ไม่เกิดผลใด ๆ ต่อโลหะดาราสูญเลย
และตอนนี้ร่างของเทพอสูรก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถต้านทานกับคมดาบฝ่ามิติได้!
สิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้มีคุณสมบัติในการหักเหที่คล้ายกันกับโลหะดาราสูญอย่างนั้นหรือ
แต่กระนั้นซูเฉินก็รู้ในไม่ช้าว่าการคาดการณ์ของเขาไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย
เพราะเทพอสูรไม่ได้หักเหคมดาบฝ่ามิติแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนว่ามันจะดูดซึมพลังเข้าไปเสียมากกว่า!
คมดาบฝ่ามิติของซูเฉินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่ามันไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกไปเลยด้วยซ้ำ…
เพื่อให้แน่ใจว่ามันถูกต้านไว้จริง ๆ ซูเฉินจึงปล่อยคมดาบฝ่ามิติออกไปอีกหลายครั้ง
เหตุการณ์เป็นไปเหมือนเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน คมดาบฝ่ามิติหายไปจริง ๆ พลังสูญที่รุนแรงพอจะฉีกทะลวงผ่านมิติได้กลับอันตรธานหายไปทันทีเมื่อมันสัมผัสกับผิวของเทพอสูร
เมื่อไม่มีพลังสูญทำลายล้างที่จำเพาะเจาะจง… แล้วคมดาบฝ่ามิติของซูเฉินจะทำอันตรายเทพอสูรได้อย่างไรกัน?
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักใช้กฎแห่งพลังสูญเหมือนกันสินะ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
เดิมทีนั้น ลักษณะพิเศษเพียงสองอย่างของเทพอสูรก็คือผิวหนังที่ดูเหมือนเหล็กกล้าและเส้นทางการเคลื่อนที่ที่ไร้รูปแบบ ทว่าในตอนนี้อสูรตัวกลมกลับสามารถใช้กฎพลังสูญได้อย่างเชี่ยวชาญอีกด้วย และแทนที่จะเป็นการใช้พลังสูญเพื่อโจมตี มันกลับใช้พลังนี้เพื่อการป้องกันเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้น…
ซูเฉินหยุดคิดก่อนจะเลือกใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือด… มังกรเพลิงปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของชายหนุ่มอีกครั้ง
กรรรรร!!!
มังกรของซูเฉินคำรามและทะยานเข้าปะทะกับเทพอสูรอย่างแรง จนเกิดเป็นประกายไฟกระจายออกไปทุกทิศทาง ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างก็ส่งเสียงร้องเมื่อเห็นถึงอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่นี้
แต่เมื่อเปลวเพลิงมอดดับไฟ ทุกคนก็ต้องพบว่าเทพอสูรนั้นยังคงลอยไปมาอย่างเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมันเลย
การโจมตีของซูเฉินที่สามารถหลอมละลายโลหะได้โดยง่าย กลับไม่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตตนนี้อีกแล้ว!
ชาวนิกายไร้ขอบเขตตกตะลึง
การโจมตีที่ทรงพลังถึงเพียงนั้นไม่สามารถทำอันตรายอสูรร้ายได้เลยอย่างนั้นหรือ
เทพอสูรไม่มีทางที่จะอยู่ยงคงกระพันได้ไม่ใช่หรอกหรือ
“ไม่ใช่กำแพงพลังสูญแน่” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
ชั่วพริบตาที่มังกรเพลิงปะทะเข้ากับร่างของเทพอสูร ชายหนุ่มก็มั่นใจแล้วว่าการโจมตีของเขาไม่ได้พลาดเป้า และไม่ได้ถูก ‘ตัดออก’ ด้วยพลังสูญชนิดใดเลย
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเทพอสูรตนนี้ถึงได้ต้านทานพลังที่รุนแรงนั้นได้โดยไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
การโจมตีและป้องกันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายโจมตีจะต้องมีความได้เปรียบ แม้แต่เด็กน้อยที่พุ่งเข้าใส่ผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ยังทำให้ผู้ใหญ่เจ็บได้เลยด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ไม่มีทางที่จะคงการป้องกันตัวมันไว้ได้ตลอดอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ การโจมตีของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจึงสามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้ฝึกตนด่านมหาราชันได้ แม้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะสามารถทำลายพลังด่านสู่พิสดารเพียงแค่ดีดนิ้ว
ความไม่เท่าเทียมนี้เกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายหนึ่งโจมตี และอีกฝ่ายทำเพียงป้องกันตัวเท่านั้น
หากฝ่ายโจมตีไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของศัตรูได้เลย นั่นแปลว่าทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างของพลังที่มากเกินไป
อย่างในกรณีที่ผู้ฝึกตนด่านกลั่นโลหิตพยายามจะโจมตีผู้ฝึกตนด่านมหาราชันเป็นต้น
เทพอสูรสองตนนี้แข็งแกร่งจนน่าขันก็จริง แต่ก็ไม่มีทางเลยที่พลังของซูเฉินจะแตกต่างไป จนเขาไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยสักนิด
ต้องมีบางอย่างที่ทำให้การโจมตีของซูเฉินไม่เกิดผลแน่ ๆ
เทพอสูรฝ่ายตรงข้ามยังมีจำนวนถึงสองตน
ซูเฉินหันไปมองเทพอสูรทั้งสองที่อยู่ไกลออกไป และเห็นว่ามันกำลังไล่ตามเผ่าคนเถื่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน
แม้ว่ากำลังเสริมของตานปาจะยังมาไม่ถึง แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาคงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าชาวนิกายไร้ขอบเขตแน่ โชคดีที่ความวุ่นวายตลอดเส้นทางการเคลื่อนที่ของอสูรร้ายทำให้มันเดินทางได้อย่างเชื่องช้า เผ่าคนเถื่อนจึงมีเวลามากพอที่จะถอยทัพหนีและเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้น แต่กระนั้นค่ายกลของพวกเขาก็ต้องพังลงด้วย
ยังดีที่เผ่าวิญญาณเองก็หวาดกลัวเทพอสูรทั้งสองไม่ต่างกัน และพวกนั้นก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีโต้ตอบกลับมา
“สามีข้า เรามาลองโจมตีพร้อมกัน!” กู่ชิงลั่วเหาะเข้ามาและคิดจะใช้ทักษะแบบที่ใช้กับราชันปีศาจมืด
“ไม่จำเป็นหรอก” ซูเฉินส่ายหน้า
เขามั่นใจว่าการป้องกันของเทพอสูรเป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะเข้าใจได้เลย ต่อให้กู่ชิงลั่วรวมพลังกับเขา ก็คงไม่สามารถทำอะไรมันได้มากนัก
ชายหนุ่มหยุดคิดก่อนจะรวบรวมพลังจิตแล้วพยายามแทรกแซงเข้าไปในทะเลความรู้ของเทพอสูร
การใช้วิชาพลังจิตเพื่อต่อกรกับเทพอสูรถือว่ามีความเสี่ยงสูงนัก เทพอสูรส่วนใหญ่มักพึ่งพาพลังทางกายภาพของมัน แต่ก็มีเทพอสูรหายากบางชนิดที่มีพลังจิตอันแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ หากซูเฉินบังเอิญกำลังต่อกรกับมันและพยายามจะแทรกแซงเข้าไปในจิตใจของอสูรประเภทนั้นแล้วละก็… เขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
โชคยังดีที่เทพอสูรเบื้องหน้านี้ไม่ได้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ อันที่จริงแล้วพวกมันแทบไม่มีแรงต่อต้านใด ๆ ด้วยซ้ำเมื่อซูเฉินพยายามทะลวงเข้าไป
ความตื่นเต้นเพียงชั่วขณะของซูเฉินกลับกลายเป็นความตกตะลึงทันตา
หากสมองของเทพอสูรถูกแทรงแซงได้ง่ายเพียงนี้ แล้วทำไมเผ่าวิญญาณถึงไม่ได้ทำอย่างนั้นกับพวกมันล่ะ?
คิดได้ดังนั้นแล้วซูเฉินก็ถอยกลับออกมาจากหัวของเทพอสูรทันที
พริบตาเดียวกันนั้นเอง กระแสพลังเจตจำนงอันแรงกล้าก็พลันพุ่งขึ้นและพยายามจะห่อหุ้มซูเฉินพร้อมกับทำลายพลังจิตของเขาให้แหลกสลาย
ทันทีที่ซูเฉินสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่ล้นทะลักเข้ามา เขาไม่รอช้าและตัดการเชื่อมต่อพลังจิตของตัวเองออกจากจิตใจของเทพอสูรอย่างรวดเร็ว
การตัดการเชื่อมต่ออย่างกระทันหันนี้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มซีดลงพร้อมกันกับที่พลังจิตของเขาลดลงอย่างถาวร แต่การตัดสินใจที่เด็ดขาดของซูเฉินก็ช่วยเขาให้พ้นจากคลื่นพลังเจตจำนงที่รุนแรงนั้นมาได้ หากเขาต้านมันไว้ได้ไม่ทันการณ์… หากไม่ตาย ซูเฉินก็คงไม่พ้นต้องนอนเป็นผักไปตลอดชีวิต
“ฮึ่ม ถือว่าเจ้ายังโชคดีอยู่นะ!” เสียงชั่วร้ายดังก้องขึ้นในหัวของซูเฉิน
มั่วเนี่ยลาซือ!?
ไอ้สารเลวนั่น!
มั่วเนี่ยลาซือกำลังใช้วิชาประหลาดบางอย่างเพื่อปกปิดพลังจิตที่แท้จริงของเทพอสูร และหลอกให้ซูเฉินแทรกแซงเข้าไป ต้องขอบคุณที่โชคยังเข้าข้างซูเฉินทำให้เขาพบกับสิ่งผิดปกติได้ทันเวลา ซึ่งยังทำให้มั่วเนี่ยลาซือเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้อีกด้วย
แต่มันก็ทำให้ซูเฉินบาดเจ็บหนักเช่นกัน
เขาอดเสียใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียพลังจิตที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน
แต่สงครามก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครที่จะได้กำไรจากมันเสมอไป… ทุกอย่างมีค่าตอบแทนเสมอ
พลังจิตของซูเฉินแข็งแกร่งพอที่จะทำให้การสูญเสียในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเทพอสูรก็ยังคงมีชีวิตและกำลังเข้าใกล้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมากขึ้นทุกที ตอนนี้ฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตเริ่มเกิดความสูญเสียขึ้นอีกแล้ว
แม้จะกำจัดผู้คนได้อย่างเชื่องช้า การป้องกันที่แสนทนทานและกระแสอากาศต่อเนื่องที่มันปล่อยออกมาก็บ่งชี้แล้วว่าเทพอสูรพวกนี้สามารถต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพัก
ทั้งเทพอสูรที่กำลังทำลายค่ายกลของนิกายไร้ขอบเขตอย่างไม่ลดละ และเกราะป้องกันที่ไร้เทียมทานของมันสร้างความสิ้นหวังกัดกินหัวใจของศิษย์ทั้งหลาย
การโจมตีทั้งสามครั้งของซูเฉินไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย เขาต้องหาวิธีอื่นมาจัดการกับอสูรประหลาดนี้ให้ได้
ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังเทพอสูรร่างกลม เนตรมองโลกจุลภาคของเขาเริ่มทำงานขึ้น
ปกติแล้วเนตรพิเศษนี้แทบไม่มีประโยชน์ใดเลยในการรบ การที่ซูเฉินกำลังใช้มัน แปลว่าเขากำลังใช้ทุกอย่างที่มีอย่างสุดความสามารถแล้ว
แต่เมื่อเนตรมองโลกจุลภาคทำงาน… สิ่งที่ซูเฉินเห็นก็ทำให้เขาต้องผงะไปในทันที
หรือจะเรียกว่า… เขาไม่เห็น ก็ไม่ผิดนัก!
เขามองไม่เห็นเทพอสูรเลย!
ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเขามืดบอดลงเสียอย่างนั้น รอบตัวเขามีเพียงความมืดมิด!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซูเฉินตกตะลึง
เขาหยุดใช้งานเนตรมองโลกจุลภาคและพบว่าเทพอสูรยังคงพุ่งตัวเข้าทำลายกองทหารของนิกายไร้ขอบเขตอยู่เช่นเดิม
เพราะอะไรซูเฉินไม่รู้เลย แต่เนตรพิเศษของเขากลับไม่สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนเหล่านี้ได้
นี่มันแปลว่าอะไรกัน?
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม
พลังจิต!
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงก้อนเนื้อกลม ๆ นี่มีพลังจิตที่น่าเกรงขามเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แล้วทำไมมั่วเนี่ยลาซือถึงมีอิทธิพลเหนือมันได้ หากสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้อยู่ภายใต้ความควบคุมของเขา แล้วทำไมมันถึงกลับดูเหมือนว่าเขาแทบจะจัดการอะไรกับพวกมันไม่ได้เลยล่ะ
ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว…
เขาถอนใจ “เราโดนหลอกแล้วล่ะ”
จากนั้นชายหนุ่มจึงเหาะออกไปและประกาศกร้าวขึ้นที่กลางอากาศ “ทุกคน เพ่งการโจมตีไปยังเทพอสูรเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินดังนั้นชาวนิกายไร้ขอบเขตที่เพิ่งจะพากันวิ่งหนีด้วยความอลหม่านจนเสียระเบียบก็หันกลับมาและโจมตีโดยพลันอย่างต่อเนื่อง
ลำแสงจากดาบทั้งหลายนั้นดูเหมือนว่าจะสลายหายไปโดยที่ยังไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ เมื่อปะทะเข้ากับร่างของเทพอสูรที่ลอยไปมาอย่างไร้ทิศทาง
เขาออกคำสั่งให้ศิษย์ทั้งหลายโจมตีต่อไปอย่างไม่ลดละ
และเพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็กำลังโจมตีพร้อมกัน ความสามารถในการหลบหลีกจากเทพอสูรจึงลดลงอีกมาก ขณะที่อสูรร่างกลมเคลื่อนไปมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างของศิษย์หลายคนก็ถูกมันบดขยี้ไป
หลี่ฉงซานปวดใจเหลือเกินเมื่อเห็นการสูญเสีย เขาเหาะไปหาซูเฉินทันที “เจ้านิกาย ไม่มีประโยชน์เลยที่จะโจมตีต่อไปแบบนี้ เราไม่สามารถทำอะไรไอ้ตัวบ้านั่นได้เลย!”
“ไม่เลย! แบบนี้แหละได้ผล” ซูเฉินตอบ “เราทำให้มันบาดเจ็บมาตลอด เราแค่มองไม่เห็นเท่านั้นเอง”
“อะไรนะ!?” หลี่ฉงซานตกใจ
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
เห็นได้ชัดว่าเทพอสูรนั่นไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
แต่ซูเฉินก็ยังตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “เราทำให้มันบาดเจ็บมาตลอด มันไม่ใช่เทพอสูรที่มีเกราะป้องกันดีเป็นพิเศษอย่างที่คิดหรอก อันที่จริงแล้วมันอาจไม่ใช่เทพอสูรด้วยซ้ำ”
หลี่ฉงซานยังคงตะลึง
ไม่ใช่เทพอสูรด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ?
นี่มันเรื่องล้อเล่นแบบไหนกัน ถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่เทพอสูร แล้วเหตุใดมันจึงทรงพลังได้ถึงเพียงนี้
ซูเฉินอธิบายต่อไป “ข้ารู้ว่าข้าคิดไม่ผิดแน่ มันไม่ใช่เทพอสูรหรอก จริง ๆ แน่มันไม่ใช่อสูรกายด้วยซ้ำไป มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษที่มีลักษณะเฉพาะตัวและยังมีวิชาลวงตาของเผ่าวิญญาณเสริมเข้ามาอีกด้วย ข้ายังไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ข้ารู้ว่าเจ้านี่ไม่มีทางคงกระพันอย่างแน่นอน”
เมื่อเปิดเผยสิ่งที่ค้นพบแล้ว ซูเฉินก็คว้ามือของกู่ชิงลั่วไว้ “มากับข้า เราไปจัดการกับเจ้าตัวนั่นและเปิดเผยตัวตนของมันออกมา!”
ทั้งสองจับมือกันและลูกไฟสีขาวโพลนก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิอีกครั้ง