ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 119 อดีตผู้นำ
บทที่ 119 อดีตผู้นำ
ลูกไฟของซูเฉินกับกู่ชิงลั่วดูเหมือนว่าจะไม่ได้สะท้านต่อเทพอสูรเช่นเดียวกันการโจมตีครั้งอื่น ๆ แต่ซูเฉินไม่ได้สนใจกับภาพที่เห็นและยังคงโจมตีต่อไปพร้อมกับศิษย์ที่เหลืออยู่
แม้ว่าการโจมตีของศิษย์ทั้งหลายจะดูเหมือนว่าไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ ให้กับสิ่งมีชีวิตตัวกลมนั่นเลย ซูเฉินก็ยังยืนยันที่จะให้พวกเขาเดินหน้าทำตามเดิมต่อไป
การต่อสู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น และความรุนแรงของมันก็ทำให้ชาวนิกายไร้ขอบเขตกดดันเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงอันไร้ที่เปรียบของซูเฉินแล้ว พวกเขาคงไม่มีทางโจมตีโดยไม่เห็นผลแบบนี้ต่อไปแน่
แต่ขณะที่พวกเขาโจมตีกันอย่างต่อเนื่องอยู่นั้น สัตว์ร้ายก็เหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง
จากเดิมทีที่ไม่ได้เคลื่อนที่ว่องไวนักอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน แม้แต่กระแสลมที่ไหลผ่านเข้าไปในรูโบ๋นั้นก็ดูเหมือนจะเอื่อยลงไปด้วย
“มันเริ่มล้าแล้ว มันเริ่มจะอ่อนแอลงแล้วล่ะ!” ใครบางคนร้องขึ้นเมื่อสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
ที่ปลายอุโมงค์นั้นเริ่มปรากฏแสงรำไรแล้ว
เจ้านิกายพูดถูก!
ทุกคนกลับมาตื่นเต้น ไฟในการต่อสู้ก็กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
แสงดาบมากมายที่ทะยานออกไปในอากาศนั้นยังเฉียบคมมากขึ้นตามไปด้วย
เทพอสูรที่ถูกโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนส่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ไม่ว่าดิ้นรนเท่าไร ร่างกลม ๆ นั้นก็ทำได้เพียงแค่หนีจากแรงปะทะของฝ่ายตรงข้ามไปเท่านั้น และการเคลื่อนที่ของมันก็เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอมากขึ้นทุกที
น่าประหลาดใจนักที่ความอ่อนแอเช่นเดียวกันนี้บังเกิดขึ้นกับเทพอสูรที่เผ่าคนเถื่อนกำลังจัดการอยู่ด้วย
แม้ร่างของเทพอสูรจะไม่ได้ปรากฏบาดแผลที่มองเห็นได้ แต่ความเร็วที่ลดลงก็เป็นสิ่งบ่งชี้แล้วว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นจากทุกการโจมตีที่ผ่านมาและมันเองก็รู้สึกเจ็บปวด
หลี่ฉงซานเห็นดังนั้นพ่นลมด้วยความโล่งใจ เขาปล่อยหมัดออกไปถึงสิบสามครั้งติดต่อกันพร้อมกับถามขึ้น “ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้านี่เป็นแค่ภาพลวงจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมเรายังไม่เห็นร่างที่แท้จริงของมันอีกล่ะ”
ซูเฉินตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน “ก็เพราะนี่ไม่ใช่วิชาลวงตาธรรมดา ๆ น่ะสิ …มันคือกฎแห่งพลัง”
“กฎแห่งพลังหรือ!” หลี่ฉงซานตะลึง
เขารู้ดีว่ากฎแห่งพลังที่แสนลึกลับนั้นทรงพลังมากเพียงไร
ซูเฉินสามารถเดินทางผ่านมิติสูญได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือใด ๆ ก็เพราะความเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังสูญนี่เอง มันยังเป็นสิ่งที่เขาใช้ในการคิดค้นวิชาคมดาบฝ่ามิติ วิชาการเปลี่ยนพลังงานสูญ กล่องสื่อสาร และอีกหลายอย่างขึ้นมาอีกด้วย
เทพอสูรที่เบื้องหน้านั้นเป็นผลผลิตจากกฎแห่งพลังจิต
เผ่าวิญญาณเชี่ยวชาญวิชาลวงตาเป็นพิเศษ แต่พวกเขาไม่เคยมีสมาชิกที่รู้จักการใช้กฎแห่งพลังมาก่อน
ตลอดสามหมื่นปีที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเป็นใหญ่ในดวงดาวแห่งนี้มา เผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่าท้องสมุทร และแม้กระทั่งเผ่าคนเถื่อนต่างก็สามารถทำความเข้าใจในกฎแห่งพลังได้ ทว่าเผ่าวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่ากลับไม่สามารถเข้าใจในพลังนี้ได้เสียอย่างนั้น
หลายคนสร้างทฤษฎีขึ้นว่าเรื่องนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับร่างกายที่มีลักษณะพิเศษของชาวเผ่าวิญญาณก็เป็นได้
ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมที่มอบกายหยาบให้กับผู้ที่ไร้ตัวตน เผ่าวิญญาณอาจแลกบางอย่างเพื่อเพิ่มความไวของพลังต้นกำเนิดและพลังจิตของพวกเขาด้วยโดยบังเอิญ
และสิ่งนั้นก็คือกฎแห่งพลังนั่นเอง!
อย่างน้อยทฤษฎีนี้ก็อธิบายถึงสาเหตุที่ชาวเผ่าวิญญาณไม่เคยมีผู้เชี่ยวชาญคนใดที่สามารถใช้กฎแห่งพลังได้เลย
ทว่าในวันนี้… ทฤษฎีนี้กลับถูกลบล้างลงเสียแล้ว
กลับกลายเป็นว่าเผ่าวิญญาณก็มีผู้ที่สามารถใช้กฎแห่งพลังได้ไม่ต่างไปจากเผ่าอื่น ๆ
เพียงแค่กฎแห่งพลังนี้สามารถแสดงภาพลวงตาได้เป็นเวลานาน จึงยากนักที่จะสามารถบอกได้ว่าแท้จริงแล้วมันคือภาพลวง
แม้ว่าซูเฉินจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดไปจากปกติ แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาเข้าใจในกฎแห่งพลังแล้ว
แม้ว่ากฎแห่งพลังลวงจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่มันก็ส่งผลในภาพรวมเท่านั้น เพราะอย่างไรแล้วนั่นก็คือจุดประสงค์ของมัน ดังนั้นจึงสามารถใช้เพื่อหลอกสิ่งมีชีวิตที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยในภาพรวม แต่ไม่มีผลระดับจุลภาคแต่อย่างใด
เป็นสาเหตุที่กฎแห่งพลังลวงไม่มีผลต่อโลกจุลภาคนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินไม่สามารถมองทะลุกฎแห่งพลังลวงไปได้ ทุกอย่างจึงกระจ่างแจ้งเมื่อเขามองไม่เห็นอะไรเลย
นอกเสียจากว่าจะมีการใช้พลังอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้
เบาะแสอีกอย่างก็คือพลังจิตที่แข็งแกร่งเหลือเกินของเทพอสูรประหลาดนี้
มันแกร่งจนเกินความจริงไปหน่อย…
เทพอสูรที่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งเพียงนี้จะมีพลังจิตที่แก่กล้าถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน และเมื่อพลังจิตนั้นทรงอานุภาพ แล้วทำไมท่าทีของมันถึงดูเหมือนไร้สมองอย่างนั้น… อีกทั้งมั่วเนี่ยลาซือก็ยังหลอกล่อมันได้อีกด้วย
ความย้อนแย้งเหล่านี้เองที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่ากฎแห่งพลังถูกนำมาใช้อย่างไรในการต่อสู้นี้ แต่ซูเฉินก็บอกได้ว่าความยุ่งยากของปัญหานี้ก็คือความคิดของเขาเท่านั้นเอง
เมื่อหลี่ฉงซานได้ฟังคำอธิบายจากซูเฉินแล้วก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกมันคือตัวอะไรกันล่ะ”
ซูเฉินตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “พอเผยตัวมันได้เดี๋ยวเราก็จะรู้”
สิ้นคำนั้นเทพอสูรก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงอีกหน
เทพอสูรตนนี้ที่กำลังยืนอยู่บนขาที่เหลือเพียงข้างเดียวของมันพลันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ผิวหนังที่ดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดในโลกนี้กำลังเริ่มฉีกออก
แม้บาดแผลนั้นจะเล็กเหลือเกิน แต่แสงที่เปล่งขึ้นจากปากแผลก็ทำให้มองเห็นมันได้อย่างชัดเจน อีกทั้งขนาดของมันยังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นใด ๆ จนกระทั่งแผลนั้นระเบิดขึ้นในที่สุดพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ในขณะเดียวกันนั้น เทพอสูรที่เผ่าคนเถื่อนกำลังจัดการอยู่ก็ระเบิดออกด้วยเช่นกัน
เทพอสูรทั้งสองแตกสลายกลายเป็นแสงสว่างจ้าที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกันราวกับดวงอาทิตย์ดวงน้อยสองดวง เมื่อมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าในดวงไฟนั้นมีร่างของเผ่าวิญญาณสองคนที่นั่งอยู่ด้านใน
‘เทพอสูร’ ที่ว่านั้นแท้จริงแล้วเป็นเผ่าวิญญาณนั่นเอง!
เผ่าวิญญาณทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน!
พวกนั้นพัฒนาวิชาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ตั้งแต่ตอนไหน?
ซูเฉินและทุกคนที่ได้รู้ความจริงต่างก็ต้องตะลึง
เหยียนท่าเองก็ทึ่งไม่แพ้กัน
ชาวเผ่าวิญญาณคนนี้ที่จูเซียนเหยาเอามาเป็นทาสและใช้เพื่อพลิกสถานการณ์ เผ่าวิญญาณพลันส่งเสียงร้องขึ้นเมื่อเห็นร่างที่อยู่ภายในดวงไฟทั้งสอง “เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
ซูเฉินหันขวับมาทันที “เจ้าจำพวกเขาได้หรือ”
แต่เหยียนท่าไม่ตอบคำถามนั้น เขาทรุดลงด้วยใบหน้าที่ยังตกตะลึง “อาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะ กับขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์หรือ ท่านทั้งสองยังไม่ตาย… ยังไม่ตายหรือ…”
เหยียนท่าเริ่มร้องไห้โฮ
ตอนนั้นเองจูเซียนเหยาก็กุมที่หน้าอกและกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ “เขาหลุดจากการควบคุมของข้าแล้ว”
เหยียนท่าเป็นอิสระจากการควบคุมของจูเซียนเหยาไปได้ชั่วขณะ
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาต่างหาก
“สองคนนั้นคืออาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะ กับขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์หรือ?” ซูเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ
สองอดีตผู้นำของเผ่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ!!
สองคนนั้นตายไปนานแล้วไม่ใช่หรือไรกัน?
ทำไมจู่ ๆ พวกเขาถึงปรากฏกายที่นี่ได้
ซูเฉินรีบหยิบเอากล่องสื่อสารออกมาและตะโกนใส่ “ผ้าเท่อลั่วเค่อ ถีเข่อซือ!”
แสงสว่างปรากฏขึ้นเหนือกล่องนั้นและฉายขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสียงของถีเข่อซือดังขึ้นจากกล่องนั้นเป็นเสียงแรก น้ำเสียงนั้นประหลาดใจและดูเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินอย่างเห็นได้ชัด “อาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะหรือ?”
เขาจากเผ่าวิญญาณมาเนิ่นนานเกินไปและจำขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์ไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยปฏิกิริยาของเขาก็ยืนยันได้แล้วว่าเหยียนท่าไม่ได้โกหก
“เป็นไปได้อย่างไร” ซูเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งด้วยความสับสน
เมื่อดวงไฟทั้งสองสูญเสียเปลือกนอกไปแล้ว มันก็เริ่มลอยกลับเข้าไปในอาณาจักรหมองหม่นด้วยความเร็วสูง
“อย่าให้มันหนีไปได้!” หลี่ฉงซานร้องบอกทันทีขณะที่ตัวเขาเองก็เตรียมโจมตีเช่นกัน
แต่ถีเข่อซือกลับถอนใจ “ข้าเข้าใจแล้วละ… ไม่จำเป็นต้องตามพวกเขาไปหรอก ทั้งสองคนนั้นตายไปแล้ว”
“ท่านว่าอย่างไรนะ ถีเข่อซือ” ซูเฉินถามขึ้น
“บอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วข้าถึงจะให้คำตอบได้”
ซูเฉินอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด ตอนนี้ ‘ดวงอาทิตย์’ ทั้งสองลอยกลับเข้าไปในอาณาจักรหมองหม่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่สามารถไล่ตามมันได้อีกต่อไป
ซูเฉินให้ทุกคนไปพักผ่อน เพราะหลังจากการต่อสู้อันแสนขมขื่น ชาวนิกายไร้ขอบเขตต้องการเวลาเพื่อที่จะจัดระเบียบกองกำลังใหม่อีกครั้ง
เมื่อซูเฉินอธิบายจบถีเข่อซือก็ถอนใจอีกหน “อย่างนี้นี่เอง ข้าไม่คิดเลยว่าสองคนนั่นจะทำสำเร็จ แต่ก็คงเสียอะไรไปมากเหมือนกัน”
“บอกข้ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ซูเฉินร้อนใจ
ทว่าเมื่อได้ยินความต้องการของซูเฉิน เขากลับหัวเราะขึ้น “นี่ซูเฉิน เจ้ากำลังโจมตีสมาชิกเผ่าเดียวกับข้า เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะเปิดเผยข้อมูลอะไรกับเจ้า”
ซูเฉินส่งเสียงในลำคออย่างหมดความอดทน “ข้าก็ไม่ได้คิดจะพึ่งพาข้อมูลพวกนั้นอยู่แล้ว แต่ในเมื่อสองตัวนั่นพ่ายแพ้ไปแล้ว คำตอบของท่านก็เพื่อไขความคลางแคลงใจให้กับข้าเท่านั้น ผลของการต่อสู้ครั้งนี้ปรากฏไปนานแล้ว”
ถีเข่อซือชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มขมขื่น “ถูกของเจ้า ดูเหมือนว่าเผ่าของข้าจะถูกกำหนดมาให้ต้องล่มสลายแล้วจากวันนี้ไป ซูเฉิน ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะขอให้เจ้าปล่อยเผ่าจิตวิญญาณทมิฬไปหลังจากกำจัดเผ่าวิญญาณแล้ว และอยากให้เจ้าทำลายเพียงเครื่องมือสกัดจิตเท่านั้น”
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬเป็นเผ่าวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการแปรสภาพ ซึ่งในแง่หนึ่ง พวกเขาก็คือรูปที่แท้จริงของเผ่าวิญญาณ แต่เพราะเผ่าวิญญาณทมิฬยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการแปรสภาพ พลังที่มีจึงค่อนข้างจำกัด แต่ถึงอย่างนั้นสถานะของวิญญาณกลุ่มนี้ก็ถือว่าสูงเหลือเกิน ด้วยเหตุผลหลายประการ ประชากรกลุ่มนี้ไม่เคยมีจำนวนมาก ซึ่งก็แปลว่าพวกเขาเป็นปัจจัยหลักจำนวนจำกัดที่ทำหน้าที่ในการกำหนดความเร็วในการสร้างสมาชิกชาวเผ่าวิญญาณขึ้นใหม่นั่นเอง
การที่ถีเข่อซือไม่ขอให้ซูเฉินล้มเลิกการทำลายเผ่าวิญญาณ แต่ขอให้ไม่ยุ่งกับเผ่าจิตวิญญาณทมิฬนั้นก็แปลว่าเขายินดีจะละทิ้งอำนาจความแข็งแกร่งในปัจจุบันไปเพื่อเห็นแก่ความอยู่รอดของเผ่าตัวเองในอนาคต
ซูเฉินหยุดคิดก่อนจะพยักหน้าตกลงตามคำขอของถีเข่อซือ “ตกลงตามนั้น”
เมื่อไม่มีเครื่องมือสกัดจิตแล้ว เผ่าจิตวิญญาณทมิฬก็ไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด อีกทั้งซูเฉินเองก็เชื่อว่าไม่ควรทำอะไรเกินจำเป็น ยิ่งอายุมากขึ้น ความสุดโต่งของเขาก็ถูกขัดเกลาจนเข้าที่มากขึ้นตามไปด้วย จนตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มมีความเห็นอกเห็นใจกว่าเดิมแล้ว ในฐานะมนุษย์ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุด เขาจำเป็นต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี และการรักษาบรรทัดฐานก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าซูเฉินไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในอนาคตนั้น เผ่าจิตวิญญาณทมิฬจะสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของเครื่องมือสกัดจิต และเพิ่มจำนวนสมาชิกได้เร็วขึ้นหรือไม่ หลังจากที่พัฒนาระบบการฝึกของตัวเองขึ้นมาแล้ว เผ่าวิญญาณก็จะสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งขึ้นบนทวีปแห่งนี้ ซึ่งก็จะเป็นอันตรายต่อเผ่ามนุษย์ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในตอนนี้
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินตกลงถีเข่อซือก็ตอบกลับไป “นี่จะต้องเป็นการรวมกันของ ‘แผนสู่สวรรค์’ กับ ‘แผนเส้นทางพลัง’ เป็นแน่”
“แผนสู่สวรรค์ และแผนเส้นทางพลังหรือ” ซูเฉินเลิกคิ้วด้วยความฉงน
ธรรมชาติที่อยากรู้อยากเห็นของเผ่าวิญญาณทำให้พวกเขาพัฒนาแผนต่าง ๆ ขึ้นมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งแผนน้ำพุนิรันดร์ แนวคิดการแผ่พลัง แนวคิดข่ายจิตวิญญาณ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแผนน้ำพุนิรันดร์นั้นทำให้ตำหนักอุบัติชีวาถูกทำลายลง ในขณะที่แนวคิดการแผ่พลังกับแนวคิดข่ายจิตวิญญาณได้วางรากฐานให้กับวิชาบงการจิตทาสข่ายจิตวิญญาณของเผ่าวิญญาณนั่นเอง
แผนการมากมายที่ถูกคิดขึ้นนั้นมีทั้งสำเร็จไม่ก็ล้มเหลว
แผนสู่สวรรค์และแผนเส้นทางพลังเป็นสองแผนการที่ถีเข่อซือเชื่อว่าเป็นแผนการที่ล้มเหลว
ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแผนการที่สำเร็จไปเสียแล้ว…
หรืออย่างน้อยที่สุด… ก็สำเร็จไปแล้วบางส่วน