ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 124 ความสงสัย
บทที่ 124 ความสงสัย
แม้ว่าซูเฉินจะมองมั่วเนี่ยลาซือเป็นบันไดไต่เต้า ตัวมั่วเนี่ยลาซือกลับไร้วิชามาต่อกรแล้ว
แท้จริงตอนนี้ แม้แต่วิชาธรรมดาเขายังไม่อาจใช้ได้
เพราะเขากำลังจะตาย
ราคาที่มั่วเนี่ยลาซือและผู้อาวุโสทั้งสองต้องจ่ายเพื่อผสานร่างคือความตาย
…ความตายอันเป็นนิรันดร์
สายตามั่วเนี่ยลาซือกลับนิ่งสงบอย่างน่าแปลก มีประกายไฟสะท้อนใบหน้า
เขามองซูเฉิน เอ่ยเสียงเรียบ “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง บางทีเราอาจไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่แรก วิถีชีวิตของเราไม่เป็นไปตามกฎธรรมชาติของใต้หล้านี้ ดังนั้นจึงนับว่าเราควรดับสิ้นไปตั้งแต่ต้น แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดในวาระของข้า ทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อเผ่าวิญญาณนัก”
ว่าแล้วมั่วเนี่ยลาซือก็เอื้อมมือขึ้นไปถอดมงกุฎวางลงบนพื้น ก่อนจะกล่าว “เจ้าอาจมองเผ่าวิญญาณเป็นศัตรูนะ ซูเฉิน …แต่เผ่าวิญญาณทมิฬเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ท่านอย่าห่วง ข้าสัญญากับเพื่อนเผ่าวิญญาณเก่าแก่ผู้หนึ่งไว้แล้วว่าพวกเขาจะปลอดภัย” ซูเฉินเอ่ย
ได้ยินดังนั้น มั่วเนี่ยลาซือจึงถอนหายใจ
ร่างกายของเขาดูเหมือนสร้างจากอากาศมาแต่แรก ในขณะที่ถอนหายใจ ร่างกายก็เริ่มเรืองแสง จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมา ก่อนที่พวกมันจะหายไป
จุดแสงเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของมั่วเนี่ยลาซือเริ่มจางหายไปในยามค่ำคืน
เผ่าวิญญาณเบื้องล่างนับไม่ถ้วนเห็นดังนั้นก็ร่ายคาถา ร่างลอยขึ้นบนอากาศ
คนเถื่อนด้านล่างเงื้อหอกในมือ เล็งไปยังร่างที่ลอยขึ้น แต่ตานปาหยุดพวกเขาไว้ พลางเงยหน้ามองเผ่าวิญญาณลอยที่สูงจนติดเพดาน
ร่างทั้งหมดล้วนเปล่งแสงออกมาพร้อมกัน ราวกับแต่ละตนเป็นตะวันดวงย่อม ก่อนจะระเบิดออกมา กลายเป็นจุดแสงหลากสีกระจายตัวไปทั่วทุกทิศ
พลังจิตเป็นระลอกกระเพื่อมออกมาในทุกครั้งที่เผ่าวิญญาณร่างสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
มันเป็นภาพน่าตื่นตะลึงนัก ทหารทั้งหลายมองฟ้าด้วยความกริ่งเกรง ควันลอยมาแตะหัวไหล่และหน้าผากของซูเฉิน
ณ ตอนนั้น เขาพลันคิดว่าเขาลงมือโหดเหี้ยมไปหรือไม่
ฆ่าล้างทั้งเผ่าเช่นนี้เลยหรือ?
เขาอดถอนหายใจไม่ได้
กระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ในฐานะผู้นำเผ่ามนุษย์เขาอาจรู้สึกเช่นนี้ได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องเผ่าและอาณาจักร เขาไม่อาจใช้ความรู้สึกส่วนตนตัดสิน ส่วนตัวเขาเองอาจแสดงความเมตตาต่อเผ่าวิญญาณได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของเผ่ามนุษย์ เขาจำเป็นต้องแข็งใจทำ
ละอองแสงระยิบระยับร่วงลงจากท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายวับไป
ในที่สุดก็ไม่เหลือเผ่าวิญญาณอยู่อีก
ในเมืองแห่งความมืดมนเหลือไว้เพียงเผ่าย่อยและเผ่าจิตวิญญาณทมิฬ
พวกเขานั่งมองตกตะลึง ตกใจกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
หลี่ฉงซานออกคำสั่ง “เข้าเมือง! จับตัวพวกที่จับมาได้ ปล้นชิงสิ่งที่ปล้นได้!”
สงครามจบแล้ว จึงถึงเวลาที่ผู้ชนะจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
สมบัติเผ่าวิญญาณที่เก็บรักษามานานหมื่นปีนั้นล้ำค่ามาก
สิ้นคำสั่งหลี่ฉงซาน ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็พากันมุ่งหน้าเข้าไปโดยพลัน
คนเถื่อนก็เช่นกัน
ทั้งสองเผ่าที่เพิ่งเป็นมิตรกันอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นคู่แข่งในทันใด
เคราะห์ดีที่ซูเฉินและตานปาไม่คิดห้ำหั่นกัน แม้ว่าอาจเกิดการปะทะกันเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็ควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้ดี
เมืองแห่งความมืดมนคือเมืองหลวงเผ่าวิญญาณ จึงมีสมบัติอยู่มากพอสมควร
ทว่าซูเฉินที่เป็นเจ้านิกายไร้ขอบเขตไม่จำเป็นต้องปล้นชิงของ สิ่งใดที่ใครเก็บได้ก็ให้คนนั้นเก็บไป
เช่นเดียวกันกับตานปา
ในขณะที่ลูกน้องกำลังฉลองกันอย่างสนุกสนาน ซูเฉินกับตานปาต่างสงบนิ่ง
ตานปาเหินร่างไปทางซูเฉิน ก้มหน้าลงมองภาพชุลมุนด้านล่าง “เผ่าพันธุ์ที่มีมานานกว่าสองหมื่นปีกลับหายไปเช่นนั้น ข้าอดใจหายไม่ได้”
ซูเฉินตอบ “ใจหายหรือไม่ ข้าไม่สน เจ้าคงไม่ว่าอะไรหากข้าจะนำเครื่องมือสกัดจิตไปใช่หรือไม่? อย่างไรเจ้านี่ก็มีประโยชน์ต่อเผ่าจิตวิญญาณทมิฬอย่างเดียวอยู่แล้ว”
ตานปาหัวเราะ “คิดว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นหรือ? วิชาสู่อมตะระดับเจ็ดคงต้องพึ่งเครื่องมือสกัดจิตแล้วกระมัง?”
ซูเฉินตอบ “เป็นแค่เหมือน แต่ยังไม่ใช่วิชาสู่อมตะของแท้หรอก”
“แต่อย่างน้อยก็มอบหนทางให้มีตัวแทนพลังจากสายเลือดมาได้”
“การทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็เช่นกัน” ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง
ตอนทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารและด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน เขาก็พึ่งพลังจากภายนอกเช่นกัน
แต่ก็อย่างตานปาว่า ทางนี้ก็อาจเป็นไปได้ แม้จะต้องพึ่งพลังภายนอกก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้มนุษย์สามารถถอยห่างจากสายเลือดได้มากกว่าเก่า
และพลังภายนอกนี้ย่อมสามารถหามาใช้ได้
การทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารจำต้องใช้ค่ายกล ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินใช้ยา แต่ทั้งสองอย่างสร้างขึ้นได้ เครื่องมือสกัดจิตก็ใช้ได้ไม่จำกัด มองบางมุมก็นับว่าซูเฉินสำเร็จวิชาสู่อมตะแล้ว
ซึ่งนั่นเป็นผลจากทั้งความพยายามและความโชคดี แต่อย่างไรก็นับว่าสำเร็จ และความสำเร็จนี้ทำให้มนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดอีก ทำให้ความแกร่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นิกายไร้ขอบเขตฆ่าล้างเผ่าวิญญาณเป็นตัวอย่างให้เห็นอย่างดี
ในเดือนต่อ ๆ ไปมนุษย์คงแข็งแกร่งขึ้นอีก
กระนั้น ตานปาก็ไม่กังวลสักนิด กลับเอ่ยเสียงตื่นเต้นขึ้น “อยากได้เครื่องมือสกัดจิตก็จงเอาไป แต่ต้องตอบตกลงข้อแม้ข้า”
“คืออะไร?”
“กำจัดปักษาเสีย!” ตานปาตอบ
“ปักษา?” ซูเฉินชะงัก
แม้ว่าปักษาและคนเถื่อนไม่ใช่มิตร แต่ก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
เหตุใดตานปาถึงอยากกำจัดปักษาเล่า?
ตานปาเอ่ย “เจ้าไม่รู้สึกว่าความลังเลและการละทิ้งของพวกปักษามันไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือ?”
ซูเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “อืม ก็น่ารังเกียจจริง แต่เราก็ไม่ใช่มิตรกับพวกเขาแต่แรกอยู่แล้ว แค่ใช้ประโยชน์จากกันเท่านั้น ในเมื่อมีความสัมพันธ์เพียงเท่านั้น การถูกทอดทิ้งจึงไม่ใช่เรื่องน่าโมโหเท่าไหร่”
“เจ้ามีเมตตา แต่ข้าไม่อาจยอมรับได้ ที่สำคัญคือเราจะปล่อยให้ปักษาแกร่งไม่ได้ ตอนนี้พวกเขามีวิญญาณอำมฤตในกำมือ อีกไม่นานเมืองล่องนภาย่อมเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แต่ข้าก็รู้ว่าแม้จะมีดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤต พวกเขาจะต้องใช้เวลาและพลังงานจำนวนมหาศาลในการปลดปล่อยตนเองจากสมอทะเลลึก นับว่านั่นเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะลงมือ” ตานปากล่าว
ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าล้อเล่นหรือยังไง? เมืองล่องนภาไม่ใช่เมืองแห่งความมืดมน เรายึดเมืองไม่ได้หรอก”
ซูเฉินเห็นแนวป้องกันเมืองล่องนภากับตาตนมาแล้ว แค่ความสามารถของเมืองในการรับการโจมตีก็สูงมากจนน่าเหลือเชื่อแล้ว
ปืนใหญ่สังหารปีศาจเหนือวังแสงตะวันชั่วกาลแข็งแกร่งมากจนกระทั่งซูเฉินที่อยู่บนจุดสูงสุดและทำความเข้าใจกฎแห่งพลังผนึกเซียนได้แล้วยังไม่คิดจะต่อกรเลยด้วยซ้ำ
ยังไม่นับถึงกองทัพขนาดใหญ่ของปักษา การที่มีพลังต้นกำเนิดให้ใช้ไม่จำกัด และค่ายกลป้องกันนั่นอีก
ตานปาว่า “เมืองล่องนภามีปราการแข็งแกร่งก็จริง แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ต้องมีทางรับมือ ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมมอบวิญญาณอำมฤตให้พวกนั้นไปหรอก”
ซูเฉินหรี่ตา “ไม่คิดเลยว่าจะรู้จักข้าดีเช่นนี้”
“อย่างไรศัตรูก็เป็นคนที่เข้าใจเรามากที่สุด ไม่ว่าจะมองอย่างไร ในอดีตเราเองก็เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน”
ซูเฉินส่ายหน้า “แต่ครั้งนี้นับว่าเจ้าคิดผิดแล้ว ที่ข้ายอมให้วิญญาณอำมฤตไป ไม่ใช่เพราะมีหนทางต่อสู้ แต่เพราะหวังว่าหลังจากเมืองล่องนภาเคลื่อนไหวได้แล้ว พวกเขาจะช่วยร่วมต่อสู้กับพันธุ์ต้นกำเนิด ปักษาและเผ่าวิญญาณนั้นแตกต่าง ปักษายังมีชีวิต ยังต้องกินต้องอยู่บนทวีปแห่งนี้ ดังนั้นความต้องการของเรากับเขาจึงตรงกัน ยังมีโอกาสช่วยเหลือกันอยู่ เมืองล่องนภาเคลื่อนไหวได้แล้ว เราจะได้ตอบโต้เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดกันสักที อย่าลืมว่าบนทวีปนี้พวกมันยังครองอยู่กว่าครึ่ง”
ได้ยินแล้วตานปาก็สีหน้าขรึม “ยังไม่คิดใช้แผนสำรองอีกหรือ?”
“ข้าไม่มีแผนสำรองอะไร” ซูเฉินว่าพลางยักไหล่
“ก็ได้ ข้าเข้าใจ” ตานปาจึงไม่พูดอีกแล้วเหินร่างลงไป
เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคุยกับซูเฉินอีก ให้ไปชิงสมบัติยังดีเสียกว่า
แต่ขณะที่ซูเฉินมองตานปาเหินร่างลงไป เขากลับตกลงสู่ภวังค์ความคิด
ในหัวเกิดความทรงจำหนึ่งขึ้น
ความทรงจำนั้นหมุนวนอยู่รอบสมอง เกี่ยวกระหวัดรอบจิตใจ ทำให้รู้สึกไม่ดี ยิ่งตกลงสู่ห้วงความคิดล้ำลึกกว่าเก่า
ไม่รู้ว่าเขานิ่งคิดไปนานเท่าไหร่ แต่เสียงเรียกของจูเซียนเหยาก็ดึงเขากลับมาได้
เมืองแห่งความมืดมนด้านล่างที่ก่อนหน้าดูมีเสียงอึกทึกครึกโครม ตอนนี้เงียบเสียงลงแล้ว
“จบแล้วหรือ?” ซูเฉินพึมพำ
“อืม จบแล้ว” จูเซียนเหยาตอบ “เผ่าวิญญาณถูกกำจัดสิ้นซาก แม้จะยังมีพวกที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เชลยในเมืองแห่งความมืดมนถูกส่งมอบให้เรา เพราะคนเถื่อนไม่สนใจ พวกเขาสนแต่สมบัติเท่านั้น ค้นตำหนักเที่ยงคืนและสวนพันปีเสียทั่ว เอาเครื่องมือต้นกำเนิดกับพวกสมุนไพรล้ำค่าส่วนมากไปได้ คนของเราค้นตำหนักฝันหวนคืนและบ่อน้ำพุแห่งนิรันดร์ และยังค้นหอวิญญาณด้วย อ้อ หอตำราด้วยเช่นกัน ก็พบ…”
จูเซียนเหยายังว่าต่อยามซูเฉินโบกมือ “ให้เจ้าจัดการเรื่องพวกนี้ดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า เว้นเสียแต่จะเจอเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์”
จูเซียนเหยาหัวเราะคิก “ใต้หล้ามีเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ไหนกัน สมบัติดี ๆ อย่างมงกุฎมั่วเนี่ยลาซือกับไม้เท้าสามมณีก็คงใกล้เคียงที่สุดแล้ว แต่เจ้าก็คงไม่สน คนเถื่อนเอาไม้เท้าไป ทิ้งมงกุฎไว้”
ไม้เท้าของมั่วเนี่ยลาซือ ไม่เพียงแต่ขยายพลังของธาตุทั้งสามเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพลังวิชาอาร์คาน่าได้อีกด้วย ทำให้วิชาขั้นสิบยกระดับเป็นวิชาระดับตำนานได้ และระดับตำนานก็ก้าวขึ้นสู่ขั้นกฎแห่งพลัง
มงกุฎก็เป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เทียมที่สร้างขึ้นโดยเผ่าวิญญาณ ทำให้สามารถใช้กฎแห่งพลังได้ หลังจากอาเจียหลิวซือและขาปี่เอ๋อซือตายไป ก็ได้ใส่วิญญาณที่หลงเหลือของตนไว้ในมงกุฎ ทำให้สามารถใช้กฎแห่งพลังได้
ยามนางเอ่ยถึงกฎแห่งพลัง จูเซียนเหยาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “อ้อใช้ แล้วยังมีโทเทมอีกนะ”
“โทเทมหรือ?” ครั้งนี้มันดึงความสนใจจากซูเฉินได้