ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 13 ปีศาจทะเล (3)
บทที่ 13 ปีศาจทะเล (3)
“ระวัง !”
เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอต่างกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังเมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้น
การโจมตีของลูกเรือนั้นทั้งโหดร้ายและป่าเถื่อน และปลายนิ้วของเขาก็เรืองแสงประหลาดราวกับว่าสิ่งใดก็ตามที่ไปขวางทางมันจะถูกกำจัดไป
ด้วยปฏิกิริยาที่เฉื่อยชาของเยี่ยเม่ย เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหลบหลีกมันได้
ถึงอย่างนั้น ขณะที่มือของเขากำลังจะเจาะทะลวงลำคอของเยี่ยเม่ยนั่นเอง จี้ห้อยคอที่นางสวมไว้ก็เริ่มเรืองแสงขึ้นในทันใด
เวลาดูจะเดินไปช้าลงอย่างกะทันหัน และไม่นานต่อมามือลูกเรือคนนั้นก็หยุดนิ่งลง
มือของเขาลอยอยู่เบื้องหน้ามือของเยี่ยเม่ย แต่เยี่ยเม่ยก็คว้าร่างของเขาและโยนเขาขึ้นไปบนเรือ
นางไม่ได้สังหารเขา กลับกัน นางรีบรุดพาเขาออกจากระยะของฉลามคลั่งเลือดและพยายามจะทำให้เขาใจเย็นลงด้วยการดึงเขาออกห่างจากสนามรบ
“เอาละ !” เยี่ยเม่ยโยนร่างของลูกเรือลงบนเรือ “คนสุดท้ายของพวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ออกไปซะ !”
ไม่มีลูกเรือคนใดกล้ารับร่างของเขาขณะที่ร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้า
เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอก เขาอยู่ใต้การควบคุมของฉลามคลั่งเลือดแค่ชั่วคราวเท่านั้น ที่จริงแล้วทักษะการควบคุมของมันอยู่ในระดับปานกลาง แต่มันได้ผลต่อคนธรรมดาอย่างพวกเจ้า เมื่อเขาออกมาห่างพอแล้ว มันก็จะสูญเสียประสิทธิภาพไป”
เหล่าเชียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ตรวจสอบเหล่าเจ็ดแล้วว่าเขาปลอดภัยดี เหล่าเชียวก็แผดเสียงลั่น “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ !”
เรือลากอวนพุ่งตรงออกไปไกล
ในขณะเดียวกัน ฉลามคลั่งเลือดก็ยังคงฟาดฟันอยู่กับฉางเหอ และเหล่าปีศาจะเลก็ยังคงถ่วงเวลาเยี่ยเฟิงหานไว้
ฉางเหอตะโกนลั่น “คุณหนู หากท่านไม่ช่วยเราไว้ พวกเราคงต้องตายที่นี่จริง ๆ!”
“โอ้” เยี่ยเม่ยถูกเขย่าออกมาจากการเพ้อฝันของตัวเองและบินเข้ามาโดยโยนสร้อยข้อมือลูกปัดบนข้อมือของนางไปยังฉลามคลั่งเลือด ลูกปัดเหล่านั้นเริ่มเรืองแสงสีทองสง่าและพุ่งลงใส่ฉลามคลั่งเลือดราวกับห่ากระสุน ทิ้งบาดแผลนับพันไว้บนผิวหนังของมัน
แม้ว่าฉลามคลั่งเลือดจะมีผิวหนังที่หนาเพียงไร มันก็ได้แต่โอดครวญเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด
“จี้หยกกันภัยและห่ากระสุนทองหรือ ? คุณหนู นี่ท่าน… ?” ฉางเหออดที่จะโอดครวญไม่ได้
จี้หยกกันภัยและห่ากระสุนทองต่างก็เป็นสิ่งของที่หาซื้อได้จากนิกายไร้ขอบเขตด้วยคะแนนอุทิศ พวกมันทั้งทรงพลังและราคาสูงลิ่วแต่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตจะไม่มีทางใช้คะแนนอุทิศที่ได้รับมาอย่างยากลำบากของตนไปกับสิ่งของที่สิ้นเปลืองเหล่านี้
แต่สำหรับเยี่ยเม่ย ไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องคิดถึงสิ่งเหล่านี้
เพราะซูเฉินเป็นผู้มอบพวกมันให้นางมาตั้งแต่แรก
สิ่งของเหล่านี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ภายนอกของพวกมันจึงดูด้อยกว่าเครื่องมือต้นกำเนิดต่าง ๆ แต่พวกมันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น พวกมันจะทำงานด้วยตัวเองและไม่จำเป็นต้องถูกกวัดแกว่งโดยผู้ใช้
หากเยี่ยเม่ยจำเป็นต้องใช้งานจี้หยกกันภัยด้วยตัวเอง นางก็คงจะถูกแทงทะลุไปก่อนที่จะได้ตอบโต้เสียอีก
ซูเฉินได้มอบสิ่งของไม่กี่ชิ้นนี้ไว้เพื่อรับรองความปลอดภัยของนาง เพราะอย่างไรพวกมันก็ไม่ได้เป็นที่นิยมในนิกายอยู่แล้ว
เมื่อเยี่ยเม่ยเห็นว่าเจ้าฉลามคลั่งเลือดยังไม่สิ้นลมหายใจ นางก็ดึงเอาห่ากระสุนทองออกมาอีกครั้งและโยนมันออกไป
ท้องฟ้าถูกสาดไปด้วยแสงสีทองอีกหนึ่งครั้ง
มันดูราวกับว่าดวงดาวได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงตะวันในทันใด
ฉางเหอพูดไม่ออกแม้แต่น้อย
เยี่ยเม่ยไม่ได้ใช้เงินเหมือนว่ามันคือเงินจริง ๆ
ห่ากระสุนทองทั้งสองรอบนี้ปะทะเข้ากับฉลามคลั่งเลือด ไม่ว่าพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ของมันจะแข็งแกร่งเพียงไร มันก็ยังถูกกำราบจนแทบสิ้นชีพ แล้วการโจมตีฝ่ามือที่แม่นยำมากมายก็ทำลายชะตาชีวิตของมันไปอย่างถาวร
เมื่อนางหันไปก็พบว่าเยี่ยเฟิงหานได้จัดการปีศาจทะเลตัวอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว
“งั้นเจ้าก็มีความสามารถจริง ๆ สินะ ! เก่งมาก” เยี่ยเม่ยขำคิกคักขณะที่ยกนิ้วโป้งให้กับพวกเขา
แต่เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอไม่มีกะจิตกะใจที่จะฉลอง “เรายังอยู่ในเขตแดนของปีศาจทะเลนะ จะดีที่สุดถ้าเราจากไปในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าปีศาจทะเลตัวอื่นปรากฏขึ้นมา พวกเราจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่”
เยี่ยเม่ยเบะปากบึ้ง “ทำไมเจ้าต้องรีบนักล่ะ ? เปลือกหอยรุ้งเหล่านี้สวยจะตายไป ข้าอยากได้บ้าง”
ขณะที่พูดนางก็โบกมือและคว้านพื้นเบื้องล่าง
ไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องดำลงไปใต้น้ำจริง ๆ หนวดอากาศเพียงเส้นเดียวก็มีประสิทธิภาพเหลือล้นที่จะทำเช่นนั้นให้สำเร็จ แต่มันก็จะทำให้นางไม่สามารถมองเห็นใต้น้ำได้เช่นกัน นางจึงได้แต่คว้านพื้นทะเลไปมาสุ่มสี่สุ่มห้า
เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอกำลังมองนางด้วยความหงุดหงิดและเอ่ย “รับออกไปจากที่นี่กันเถอะ ปีศาจทะเลอาจจะโผล่มาเมื่อไรก็ได้”
เยี่ยเม่ยยังคงพูดต่อ “เจ้าจะรีบไปทำไมล่ะ ? ข้าบอกแล้วว่าเราจะไปได้หลังจากที่ข้าได้เปลืองหอยแล้ว อีกอย่าง แม้ว่าปีศาจทะเลจะกำลังมา เราก็ยังมองเห็นพวกมันได้ มันขัดขวางการหลบหนีด้วยความเร็วของพวกเราไม่ได้หรอก”
นั่นมีเหตุผลทีเดียว ฉางเหอและเยี่ยเฟิงหานจึงทำได้เพียงตกลงเท่านั้น
ไม่นานต่อมา เยี่ยเม่ยก็ดูจะคว้าบางอย่างได้ นางกรีดร้องออกมา “ข้าจับได้แล้ว !”
นางยกหนวดอากาศขึ้นมาจากใต้น้ำ หนวดนั้นกำลังถือบางสิ่งอยู่อย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่เปลือกหอยรุ้ง มันคือคน
ชายแก่คนหนึ่ง หากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เส้นผมของชายชรานั้นฟูฟ่อง และเขาดูท่าทางเหมือนว่ากำลังงีบหลับอยู่
แม้ว่าเขาจะถูก ‘ตก’ ขึ้นมาจากพื้นทะเล เสื้อผ้าของเขาก็แห้งสนิท ก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงียเพื่อมองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับถามอย่างใจเย็น “ใครกันที่ตกข้าขึ้นมา ?”
ทั้ง 3 คนต่างก็หวาดผวาอย่างหนักเมื่อได้ยินคำถามของเขาและมองหน้ากันไปมา
เยี่ยเม่ยชี้ไปยังฉางเหอ “เขา !”
เอ๊ะ ?
อะไรนะ ?
ทำไมเจ้าไม่ทำตัวโง่ในสถานการณ์แบบนี้บ้างล่ะ ?
ฉางเหอจ้องเขม็งไปยังเยี่ยเม่ยผู้ส่งยิ้มไร้ยางอายกลับมาให้เขาด้วยความเดือดดาล
ชายแก่ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด กลับกัน เขาจ้องมองฉางเหออย่างมีความสุข แล้วจึงมองเยี่ยเม่ยและกล่าว “พวกเจ้าทั้งสามเป็นเด็กที่น่าสนใจทีเดียว แต่มันเป็นการโง่เขลาไม่น้อยเลยที่เจ้ามาที่นี่ ดูสิ ปีศาจทะเลยังคงพบเจ้าได้อยู่ดี และพวกมันกำลังมาสร้างปัญหาให้กับเจ้าแล้วในตอนนี้”
อะไรนะ ?
พวกเขาทั้งสามกลับหลังหัน
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดอยู่ข้างหลังพวกเขา และไม่มีปีศาจทะเลตัวใดอยู่อย่างแน่นอน
พวกเขารู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนักและกำลังจะทำบางสิ่งเมื่อเสียงปะทะ 3 เสียงดังขึ้น ทั้ง 3 คนรู้สึกว่าดวงตาได้กลิ้งไปทางด้านหลังขณะที่พวกตนหมดสติไป
ชายแก่หัวเราะ “มือใหม่ 3 คน”
เขาหันกลับไปและกลับลงสู่ใต้ท้องทะเล
เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง เยี่ยเฟิงหานก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในถ้ำที่มืดมิด ไม่มีร่องรอยของแสงสว่างใด ๆ
เขาพยายามขยับเขยื้อนและพบว่าไม่มีโซ่ตรวนอยู่บนร่างกาย ดังนั้นจึงลุกขั้นนั่งและพยายามหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดในร่างกาย จึงได้ค้นพบว่าพลังต้นกำเนิดของเขาก็ไม่ได้ถูกกดไว้เช่นกัน
แต่ดาบคมเหมันต์ระดับ 4 ของเขาหายไป
เยี่ยเฟิงหานไม่ได้กังวลมากนัก ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ใช้วิชาอาร์คาน่าแสงวิชาหนึ่ง
นิกายไร้ขอบเขตมีระบบการบ่มเพาะหลายรูปแบบ ศิษย์ทั้งหลายสามารถเรียนรู้ทักษะต้นกำเนิดหรือวิชาอาร์คาน่าได้หากพวกเขาต้องการ และซูเฉินก็ได้ทำสุดความสามารถในการทำลายกำแพงที่ขัดขวางระหว่าง 2 ระบบบ่มเพาะ เพื่อที่วิชาบ่มเพาะใหม่จะสามารถถูกพัฒนาต่อไปได้
แม้ว่าทักษะแสงของเยี่ยเฟิงหานจะเป็นวิชาอาร์คาน่า บางส่วนในการออกแบบของมันก็รวมไปถึงการใช้ยันต์พลังต้นกำเนิดด้วย ที่จริงแล้วกระทั่งยันต์พลังต้นกำเนิดเหล่านี้ก็เคยถูกแทนที่เช่นกัน ระบบบ่มเพาะที่ซูเฉินได้ออกแบบมานั้นจะส่งเสริมการพัฒนาความแข็งแกร่งส่วนบุคคลมากกว่าสิ่งอื่น การใช้งานพลังต้นกำเนิดของพวกเขาจึงพัฒนาขึ้นเก่งกาจไปด้วย
ตอนนี้เมื่อมีแสงสว่างบ้างแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็สามารถสำรวจรอบกายได้
เขาค้นพบว่าเขาอยู่ในถ้ำขนาดมหึมา ไม่ไกลจากเขาเป็นอุโมงค์ที่ยาวเหยียดและบิดเบี้ยว
ปริมาณของแสงที่มีนั้นจำกัดยิ่งนัก เยี่ยเฟิงหานจึงได้แต่ตามทางอุโมงค์นั้นไป
เขาสามารถได้ยินเสียงของหยดน้ำอยู่ใกล้ ๆ และอากาศที่ชื้นอย่างบอกไม่ถูก เยี่ยเฟิงหานรู้ตัวว่าเขาคงจะอยู่สักที่หนึ่งภายใต้ท้องสมุทร
แต่มีที่แบบนี้อยู่ใต้ทะเลได้อย่างไรกัน ?
ชายแก่คนนั้นคือใคร ?
แล้วทำไมจะต้องจับตัวเขามาแต่ไม่กักขังเลยแม้แต่น้อย ?
เยี่ยเฟิงหานไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ขณะที่เขาก้าวเดินอยู่นั่นเอง เยี่ยเฟิงหานก็สัมผัสได้ถึงใครคนหนึ่งเบื้องหน้าเขาอย่างกะทันหัน ขณะที่เป้าหมายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น เยี่นเฟิงหานก็จู่โจมออกไปในทันทีโดยแทงนิ้วมือของเขาออกไปเหมือนกับดาบ
ฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ได้อย่างว่องไวทีเดียวและถอยหลังไปโดยปล่อยการโจมตีฝ่ามือออกมาในเวลาเดียวกัน แม้ว่าการโจมตีฝ่ามือนี้จะดูเรียบง่าย มันก็คายแรงกดดันมหาศาลออกมาราวกับว่ามันกำลังจะลบล้างทุกสิ่งอย่างในเส้นทางของมัน มันกำลังมุ่งหน้าไปปะทะเข้ากับหน้าผากของเยี่ยเฟิงหาน
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีฝ่ามือนี้ เยี่ยเฟิงหานไม่ได้พยายามที่จะหลบหลีกแต่อย่างใด
เขากล่าว “นี่ข้าเอง”
กระแสลมฝ่ามือนั้นหยุดลงตรงหน้าหน้าผากของเยี่ยเฟิงหาน
“เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบตาย”
เสียงของฉางเหอลอยกลับมายังเขา
เยี่ยเฟิงหานแสดงท่าร่ายและแสงสว่างก็กลับมา ชัดเจนแล้วว่าฉางเหอมาจากอีกฝั่งของอุโมงค์
“เจ้าปลอดภัยดีไหม ?” เยี่ยเฟิงหานถาม
“ข้าสบายดี แต่สมบัติถูกเอาไป”
เยี่ยเฟิงหานกล่าว “สมบัติเป็นแค่สิ่งของภายนอก ตราบใดที่เจ้ายังแข็งแรงดี นั่นก็เพียงพอแล้ว แล้วเจ้าเจอคุณหนูเยี่ยเม่ยอยู่ที่ใดบ้างไหม ?”
ฉางเหอยักไหล่ “ไม่เลย ดูเหมือนว่าเราจะถูกขังแยกกัน”
เยี่ยเฟิงหานอยากจะพูดว่านี่ไม่อาจนับเป็นการกักขังได้ด้วยซ้ำ แต่หลังที่ครุ่นคิด เขาก็ยั้งปากไว้และพูดเรื่องอื่นแทน “ไปตามหาคุณหนูเยี่ยเม่ยกันก่อนเถอะ แล้วเราค่อยคุยกัน”
ทั้ง 2 คนเดินต่อไปตามอุโมงค์
ไม่นานต่อมา ลำแสงที่มัวหมองก็ปรากฏขึ้นจากปลายอุโมงค์
พวกเขาทั้งสองระมัดระวังตัวมากขึ้นและเงียบเชียบทุกการก้าวเดิน
เมื่อเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น พวกเขาก็สามารถได้ยินเสียงบางเบาของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้
“ไม่ ! ได้โปรด อย่า”
“โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย !”
“ข้ารู้ว่าข้าผิด……”
มันคือเสียงของเยี่ยเม่ย
เยี่ยเฟิงและฉางเหอหันมองกันและกัน แล้วจึงพุ่งตัวออกไป
ฉางเหอตะโกนเสียงดังลั่น “เยี่ยเม่ย ไม่ต้องกังวล ! พวกเราอยู่นี่ ! ตายซะ เจ้าสารเลว !”
แต่พวกเขาก็หยุดนิ่งลงทันทีที่ก้าวเข้ามา ….โดนตะลึงงันโดยภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา!