ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 17 หยิบยืมกองกำลัง
บทที่ 17 หยิบยืมกองกำลัง
ณ เกาะพันมายา
งานเฉลิมฉลองที่แสนยิ่งใหญ่และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
เพลิงทมิฬกำลังคอยต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากแดนไกล
“ราชาแห่งความโกลาหลหลินจุ้ยหลิว ? ท่านซูสนใจเขางั้นหรือ ?” จงเจิ้นจวินถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเรียบนิ่ง ราวกับว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ประหนึ่งว่าเขาไม่ใช่คนที่เคยเอาชนะและเนรเทศหลินจุ้ยหลิว
“การวิจัยสายเลือดของหลินจุ้ยหลิวมีความสำคัญต่อข้ามาก พลังของท้องสมุทรโศกานั้นดูเหมือนจะมาจากวิธีการควบคุมสายเลือดนั้น”
“น่าเสียดาย” ข่าเหวยเอ่อร์ “หลังจากที่หลินจุ้ยหลิวถูกเนรเทศ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาหายตัวไปอยู่ที่ไหน”
“อย่างนั้นหรือ” ซูเฉินพึมพำและถอนหายใจ “อืม ช่างมันไปเถอะ ถ้าได้มาก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่ มันก็คงเป็นเพราะโชคชะตา อ้อ ครั้งนี้ข้าไม่รู้ว่าเพลิงทมิฬวางแผนจะส่งคนมาช่วยข้าสักกี่คน ?”
ผู้นำทั้งห้ามองหน้ากัน ท้ายที่สุดจงเจิ้นจวินก็เป็นคนพูดขึ้น “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นับวันการโจมตีของอสูรทะเลก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เกาะพันมายาตั้งอยู่ใจกลางหุบเหวแห่งท้องสมุทร ดังนั้นเราจึงต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลมาโดยตลอด แม้ว่าเราต้องการที่จะช่วยท่าน แต่กำลังของเราในยามนี้มีจำกัดนัก อย่างมากที่สุดเราก็สามารถจัดหากำลังทหารให้กับท่านได้เพียงหนึ่งกองพันเท่านั้น”
หนึ่งกองพันก็คือทหารประมาณหนึ่งพันนาย จงเจิ้นจวินเข้าใจดีว่านั้นเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป นี่คือเหตุผลที่เขาเริ่มด้วยการอธิบายสถานการณ์ของพวกเขาก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องนี้
เพลิงทมิฬไม่รู้ว่าภารกิจของซูเฉินสำคัญแค่ไหนงั้นหรือ ?
แน่นอนว่าไม่ใช่
พวกเขารู้ว่าความสำเร็จของซูเฉินมีความสำคัญต่อเพลิงทมิฬมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงจำเป็นที่จะต้องนึกถึงผลที่ตามมาในระยะยาว
เมื่อปัญหาเรื่องท้องสมุทรโศกาได้รับการแก้ไขแล้ว มันจะส่งผลดีต่อเพลิงทมิฬหรือไม่ ?
หากภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องหายไป ทัศนคติที่ชาวสมุทรมีต่อเพลิงทมิฬอาจเปลี่ยนไป แล้วปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ และความเข้าใจผิดมากมายที่ถูกละเลยหรือมองข้ามเพราะวิกฤตครั้งเก่าเล่า ?
หลังจากวิกฤตที่ภัยคุกคามนี้ถูกคลี่คลายไปแล้ว เพลิงทมิฬจะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ ที่ค้างคาไว้อย่างไร ?
ในทางกลับกัน หากเพลิงทมิฬพยายามรักษาระดับความแข็งแกร่งของตนเอง และต่อสู้กับสัตว์ทะเลต่อไปพร้อมกับความช่วยเหลือจากชาวสมุทร ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะตัดสินผู้ครองทะเลในอนาคตได้อย่างไร ?
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ล้วนเป็นเหตุผลที่มากพอให้เพลิงทมิฬระมัดระวังต่อคำขอของซูเฉินอย่างยิ่ง
ถ้าเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากจะปล่อยให้ชาวสมุทรพยายามต่อสู้อย่างหนัก ในขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอย่างสบาย ๆ จากข้างสนามแทนยิ่งนัก
ความคิดเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ
เพียงแค่หนึ่งกองพัน ก็เกินพอจะแสดงให้เห็นถึงจุดยืนในเรื่องนี้ของพวกเขาอย่างชัดเจนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเฟิงหันกับเว่ยซีหมิ่นไม่พอใจกับจุดยืนของพวกเขา แต่ซูเฉินก็ไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ของเขา เหตุใดเขาถึงจะไม่สังเกตเห็นกลลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้กัน
หลังจากจิบชาอย่างใจเย็น ซูเฉินก็กล่าวขึ้น “หลายคนรู้ดีว่าการวิจัยเป็นงานที่ต้องใช้เวลา พลังงานและความพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะทำการค้นคว้าให้เสร็จสมบูรณ์ บางครั้งทรัพยากรที่จำต้องจ่ายก็มากเกินจินตนาการ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ตระหนักถึงประโยชน์ตระหนักถึงประโยชน์ที่การวิจัยที่ประสบผลสำเร็จสามารถนำมาให้… พวกท่านทุกคนล้วนรู้ดีว่าข้าคืออวิ๋นฝูปา ดังนั้นก็ควรจะรู้ว่าข้าได้เงินมาเท่าไรจากการขายวิชาฝึกฝน ยาต่าง ๆ และทักษะต้นกำเนิด”
เมื่อจงเจิ้นจวินและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของพวกเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
พวกเขาล้วนคุ้นเคยกับความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของอวิ๋นฝูปาดีมากเกินไป
คลื่นแห่งความมั่งคั่งที่น่าสะพรึงกลัวที่ไหลบ่าเข้าใส่อวิ๋นฝูปา เพียงแค่มูลค่าของหินพลังต้นกำเนิดก็นับหลายร้อยล้านแล้ว แม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้ขายวิชาฝึกฝนแบบไร้สายเลือดของเขาอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงนำสิ่งประดิษฐ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาออกสู่ตลาด พร้อมกับบันทึกประสบการณ์การฝึกฝนของเขาเองและทักษะต้นกำเนิดที่ปรับปรุงแล้วอีกมากมาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอวิ๋นฝูปามีรายได้ที่ได้รับไปไม่น้อยกว่า 3 พันล้านหินพลังต้นกำเนิด
เนื่องจากความตั้งใจหลักของซูเฉินคือการแจกจ่ายสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ให้กระจายออกเป็นวงกว้างที่สุด เขาจึงขายพวกมันในราคาที่ต่ำมาก ถ้าซูเฉินต้องการหารายได้ด้วยสิ่งประดิษฐ์ของเขาจริง ๆ ตอนนี้อาจจะทำรายได้ได้อย่างน้อยสักสองหมื่นล้านไปแล้ว
นี่ไม่ใช่ยุคของเงินเฟ้อ ผู้คนนับไม่ถ้วนพร้อมที่จะโยนหินพลังต้นกำเนิดนับร้อยล้านทิ้ง ในเมื่อแค่ไม่กี่หมื่นล้านก็มากเกินพอที่จะซื้อประเทศเล็ก ๆ ได้
ความมั่งคั่งที่ซูเฉินสร้างขึ้นเพียงพอที่จะทำให้หลายคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ดังนั้นเมื่อซูเฉินกล่าวเช่นนี้ จงเจิ้นจวินจึงพอจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
และก็ตามที่เขาคาดไว้ ซูเฉินกล่าวต่อ “ท้องสมุทรโศกาเป็นของที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง… สิ่งใดก็ตามที่สามารถกระตุ้นสายเลือดของเป้าหมาย และใช้เพื่อเร่งการเติบโตได้นั้น โดยพื้นฐานแล้วมันก็เหมือนกับตัวส่งเสริมการฝึกฝนไม่ใช่หรอกหรือ ? มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถช่วยเรื่องการฝึกฝนของผู้ฝึกตนทุกคนได้ !”
หัวใจของทุกคนถึงกับสั่นสะท้านกับคำกล่าวนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาล้วนมองและถือว่าท้องสมุทรโศกาเป็นที่มาของภัยพิบัติมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยคิดเลยว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยเรื่องการฝึกฝนได้
เว่ยซีหมิ่นอดไม่ได้ที่จะพูดค้านขึ้นว่า “คุณสมบัติเร่งความเร็วของท้องสมุทรโศกานั้นขึ้นอยู่กับการดูดซับพลังชีวิตและศักยภาพแฝงทั้งหมดของเป้าหมายนะ”
อันที่จริง นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะมาเปิดประเด็นโต้แย้ง แต่สัญชาตญาณของนางกำลังร้องปฏิเสธความคิดที่ว่าท้องสมุทรโศกาเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล
ในสายตาของนาง นี่คือเครื่องมือปีศาจที่ทำให้สมาชิกในเผ่าพันธุ์ของนางได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย แทนที่จะยอมรับมันในรูปแบบอื่น ๆ การทำลายมันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในความรู้สึกของนาง
ซูเฉินยังคงตอบอย่างใจเย็น “ศักยภาพแฝง ? ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิที่โตเต็มที่พวกนั้น ไม่กลัวที่จะขาดความแข็งแกร่งพวกนี้อยู่แล้วหรอกหรือ ?”
เว่ยซีหมิ่นชะงักค้าง
ใช่ ! หากพวกเขาทั้งหมดมีอำนาจที่อยู่เหนือในระดับของราชันจักรพรรดิอสูรแล้ว ทำไมพวกเขาถึงจะต้องมาสนใจเรื่องศักยภาพที่จะสูญเสียไป ?
พวกมันจะโลภมากจนอยากเป็นเทพอสูรงั้นหรือ ?
“เรื่องพลังชีวิตก็นับเป็นปัญหาจริง ๆ แต่หากลองคิดดู มันก็ยังคงมีคนที่ยินดีแลกอายุขัยกับพลังอันยิ่งใหญ่อยู่อีกมากจริงไหม ? นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าการวิจัยมีไว้เพื่อแก้ไขปัญหาประเภทนี้ตั้งแต่แรกหรอกหรือ ? บางทีสักวันหนึ่งข้าอาจจะหาวิธีแก้ไขปัญหาจากการสูญเสียพลังชีวิตของมันได้ก็ได้” ซูเฉินกล่าวต่อ
เฟิงหันอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้น “ท่านซู ภารกิจของท่านคือการค้นหาวิธีหยุดท้องสมุทรโศกาที่เร่งการเติบโตของอสูรทะเลเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อพัฒนาความสามารถหรือปรับปรุงผลกระทบของมัน”
“ที่ท่านพูดแบบนั้นเพราะท่านไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของงานวิจัย ในขณะที่ท่านไล่ตามและพยายามแก้ปัญหา ในที่สุดท่านก็จะพบว่าบางครั้งการแก้ปัญหาเพียงปัญหาเดียวนั้น กลับสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อีกหลายอย่างในเวลาเดียวกัน” ซูเฉินตอบกลับ
ใครก็ตามที่ไม่ใช่นักวิจัย ยอมไม่มีวันเข้าใจถึงความสุขและความเศร้าของการค้นคว้า
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการวิจัยคือการที่ไม่สามารถรู้ก่อนได้เลยว่าผลลัพธ์ที่จะพบหลังการค้นคว้าคืออะไรและเป็นผลลัพธ์แบบไหน
บางครั้งสิ่งที่หวังกับสิ่งที่ได้ออกมาอาจไม่ได้ดั่งหวัง เฉกเช่นที่อาจจะได้ลูกพีชสีแดงแทนที่จะได้ทับทิมสีแดงตามที่ต้องการ
และเมื่อถึงเวลาที่ได้เก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่ต้องการ สวนทั้งสวนอาจจะโดนเก็บเกี่ยวพ่วงไปพร้อนกันแล้วก็เป็นได้
นี่คือความเป็นจริงของการทำวิจัย
ซูเฉินไม่ได้บอกว่าเขาจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจมาอย่างแน่นอน แต่เขารู้ดีว่าตราบใดที่เขาทำ มันจะต้องมีการค้นพบที่ไม่คาดคิดอีกมากมายรออยู่แน่
คุณค่าของการค้นพบเหล่านั้นล้วนแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันมักจะมีคุณค่าอย่างมหาศาลทีเดียว
สิ่งที่ซูเฉินพูดถึงเป็นเพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น
ชายหนุ่มย้ายไปยังหัวข้อต่อไป “ที่จริงแล้ว นอกจากความเป็นไปได้ของเครื่องมือที่เร่งการเติบโตและสายเลือดของอสูรแล้ว ในแง่ของมูลค่าทรัพยากรดิบในหุบเหวคงเป็นของที่ฟังดูพอจับต้องได้มากกว่าอยู่บ้าง”
“เจ้าไม่มีทางที่จะเก็บเกี่ยวกำไรมาจากหุบเหวแห่งท้องสมุทรได้” ข่าเหมยลากล่าว
“อาจจะ ข้าไม่รู้ว่าในอนาคตข้าจะเจออะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าตราบใดที่งานวิจัยของข้าได้ผล ผลประโยชน์มหาศาลย่อมจะตามมาอย่างแน่นอน” ซูเฉินยกถ้วยของเขาขึ้นแด่คนอื่น ๆ ก่อนจะดื่มจนหมดในอึกเดียว
แล้วกล่าวต่อ “และผลประโยชน์เหล่านี้จะถูกแบ่งตามการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม”
ตามที่คาดไว้ ชายหนุ่มยังคงพยายามใช้ผลประโยชน์เพื่อล่อใจพวกเขา
ผู้นำทั้งห้าของเพลิงทมิฬรู้สึกดูถูกอีกฝ่ายขึ้นมาในใจ
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายความเห็นแก่ตัวและความโลภของพวกเขาก็ชนะ
จงเจิ้นจวินกล่าวขึ้นหลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เพลิงทมิฬสามารถส่งทหารรักษาการณ์เข้าร่วมได้”
นั่นเท่ากับทหารอีก 3 พันนาย !
ซูเฉินยิ้ม “เมื่อข้าไปถึงหุบเหวแห่งท้องสมุทรแล้ว ข้าจะใช้กลวิธีหลอกล่อเพื่อดึงราชันจักรพรรดิอสูรเหล่านั้นออกมา หลังจากที่พวกมันออกจากหุบเหว ข้าจะพยายามทำให้พวกมันสับสนและป้องกันไม่ให้พวกมันหวนกลับไป นั่นน่าจะพอให้ระดับการสั่งการของพวกมันวุ่นวายได้”
อีกห้าคนเข้าใจในทันทีว่าซูเฉินกำลังจะทำอะไร แต่ก็อดขมวดคิ้วไปพร้อมกันไม่ได้
ชายหนุ่มพูดต่อ “ข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมเส้นทางที่ราชันจักรพรรดิอสูรจะเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้พวกมันมุ่งหน้าไปยังดินแดนของมนุษย์ ชาวสมุทร และเกาะพันมายา แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปหรือควบคุมไม่ได้เมื่อไหร่ หากมันเกิดขึ้น ข้าคงต้องขออภัยจากปราการเจ้าสมุทรกับเกาะพันมายาไว้ก่อน ณ ที่นี่ด้วย นี่เป็นราคาที่จำเป็นที่ต้องจ่ายเพื่อรักษาความสงบในระยะยาวของเรา”
การแสดงออกของผู้นำทั้งห้าของเพลิงทมิฬเปลี่ยนไปในทันใด
ข่าเหมยลาผุดลุกขึ้นทันที “เจ้ากำลังขู่พวกข้า ?”
“ข่มขู่ ?” ซูเฉินเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างไร้เดียงสา “ข้าแค่อธิบายสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เหตุใดท่านถึงกล่าวว่าข้าขู่พวกท่าน ? นอกจากนี้เกาะพันมายาก็ต่อสู้กับอสูรทะเลมานานมากจนทุกคนย่อมรู้วิธีจัดการกับพวกมันอยู่แล้ว จริงไหม ?”
หน้าอกของข่าเหมยลากระเพือมด้วยโกรธ
แน่นอนว่าเกาะพันมายามีความสามารถในการต้านทานการโจมตีของราชันจักรพรรดิอสูรอยู่จริง แต่การบอกว่าพวกเขาสามารถ ‘จัดการ’ ได้ มันออกจะเป็นการพูดเกินจริงไปเสียหน่อย
การเผชิญหน้าเพื่อต่อต้านราชันจักรพรรดิอสูรที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่มีคราใดที่พวกเขาไม่ต้องสูญเสีย ทั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง ทั้งทรัพยากรจำนวนมหาศาลไปเลย
ยิ่งไปกว่านั้น อสูรทะเลยังมีช่วงเวลาการโจมตีที่แน่นอนอยู่ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท้องสมุทรโศกา แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่พวกอสูรทะเลจะไปถึงระดับราชันจักรพรรดิอสูร ด้วยเหตุนี้ชาวสมุทรกับเพลิงทมิฬจึงจำเป็นต้องต้านทานการโจมตีของพวกมันทุก ๆ 5 ปีเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยืนหยัดมาได้นานถึงขนาดนี้
แต่หากซูเฉินจงใจสร้างปัญหาขึ้นมา มันก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจจะต้องปกป้องตัวเองทุก ๆ 5 วัน !
ใครจะทนแรงกดดันแบบนั้นได้กัน ?
มันจึงไม่แปลกเลยที่ข่าเหมยลาจะกล่าวหาซูเฉินว่าข่มขู่พวกเขา
ซูเฉินตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ราชันจักรพรรดิอสูรนั้นไม่เหมือนกับคลื่นอสูร ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกมันย่อมไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากมายอย่างที่ท่านคาดคิด ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องสละทรัพยากรมากเท่ากับตอนที่ต่อกรกับคลื่นอสูรตามปกติ”
“แต่ถ้าพวกมันโจมตีบ่อยเกินไปล่ะ ? เกิดอะไรขึ้นถ้าเราต้องต่อสู้มากกว่าหนึ่งครั้ง ? และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าราชันจักรพรรดิอสูรเลือกมาโจมตีหลังจากรวบรวมกองกำลังของพวกมันแล้ว ? เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้น แต่เรามี !” ข่าเหมยลากล่าวถามอย่างจริงจัง
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ?” ซูเฉินตอบปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมา
หากเจ้าต้องการจะเฝ้ามองดูอย่างเดียวในขณะที่ข้าพยายามทำลายท้องสมุทรโศกา เจ้าก็ควรที่จะจัดการกับผลที่ตามมาจากความเฉยเมยของเจ้าด้วย
ทำตัวให้มีเหตุผล ?
มันไม่มีความจำเป็นต้องทำตัวให้มีเหตุผลกลุ่มคนชั่วร้ายเช่นนี้เลยสักนิด
ถ้าซูเฉินไม่ได้ข่มขู่พวกเขา คนกลุ่มนี้ที่ต้องการสนุกกับความสำเร็จของเขาและเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาไม่ได้หว่าน มันคงจะเป็นประหนึ่งว่าซูเฉินกำลังทำงานเพื่อชดใช้หนี้บางอย่างกับพวกเขา
หน้าของจงเจิ้นจวินกระตุก ในขณะที่เขาพูดว่า “กองทัพ”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าต้องการกลุ่มธารามืด”
หน้าของจงเจิ้นจวินเปลี่ยนสีอีกครั้ง
เพลิงทมิฬมีกองกำลังหลักอยู่ทั้งหมด 2 กองกำลัง หนึ่งคือกลุ่มธารามืดและกลุ่มเพลิงอินทนิล
กลุ่มธารามืดนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบในการโจมตีเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มเพลิงอินทนิลมีหน้าที่หลักในการป้องกันเกาะ
แต่ตอนนี้ซูเฉินกำลังร้องขอกลุ่มธารามืดทั้งกองกำลัง
นั่นคือกองทัพขนาดใหญ่ที่มีทหารอยู่เกือบ 8 หมื่น !
“ไม่ได้อย่างแน่นอน !” จงเจิ้นจวินกัดฟัน
“ข้าจะเหลือไว้ให้สักกองพัน” ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“ไร้สาระ !”
“งั้นก็ทหารรักษาการณ์ ?”
“ไม่มีวันตกลง !”
“เอาล่ะ กองทัพก็กองทัพ ข้าจะทิ้ง 10,000 คนเอาไว้ให้ ส่วนที่เหลือจะต้องไปกับข้า นอกจากนี้… ” ซูเฉินหยุดครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปทางผู้นำทั้ง 4 ที่เงียบอยู่
“ข้าต้องการเขา !”