ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 2 ยา
บทที่ 2 ยา
ณ ยอดเขาสัตย์จริง
ยอดเขานี้ค่อนข้างถ่อมตัว มีบ้านธรรมดาไม่กี่หลังเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พื้นที่นี้เป็นสถานที่ลับสุดยอดแห่งหนึ่งในนิกายไร้ขอบเขต แค่ตีนเขายังห้ามใครก้าวข้ามหากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามใครเหินผ่านอีกต่างหาก อีกทั้งก่อนใครจะมาที่นี่ยังต้องทำพิธีบางอย่างอีกด้วย
เพราะที่นี่คือสถานที่ที่เจ้านิกายไร้ขอบเขตอย่างซูเฉินทำการวิจัย
มันเป็นที่ที่เขาใช้ทำการทดลอง
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเร่งกระบวนการวิจัยได้มาก แต่เพราะเหตุนี้ซูเฉินจึงมีความรู้ไม่เต็มที่ หลังกลับนิกายไร้ขอบเขตมาแล้ว เขาจึงก่อตั้งยอดเขาสัตย์จริงขึ้นมาเป็นอย่างแรก เพื่อให้เขาได้ทำวิจัยค้นคว้าต่อ
ในฐานะผู้แสวงหาความจริง เขาค้นพบว่าเสน่ห์คือการค้นพบความลึกซึ้งของสิ่งอย่าง ความจริงพิศวงเบื้องหลังหลักการที่ควบคุมใต้หล้านี้
ซูเฉินใช้เวลาส่วนมากที่นี่ ที่เหลือก็จะไปใช้ดูแลนิกายบนยอดเขาเทียมสวรรค์ และปรุงยาบนยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็บ่มเพาะพลังและใช้เวลากับกู่ชิงลั่ว
5 ปีแห่งการค้นคว้าทำให้ความเข้าใจของซูเฉินเรื่อง ‘ความจริง’ ยิ่งมั่นคงขึ้น เมื่อลองค้นคว้าตามทางที่ไม้เท้าทำนายมาย้อนกลับไปแล้ว เขาจึงได้เข้าใจหลักการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ขึ้นมา
จะว่าเขาเป็นอาจารย์ที่เลิศที่สุดในใต้หล้าตอนนี้ก็ไม่เกินเหตุ ไม่ว่าใครมายืนตรงหน้าเขาก็สามารถแยกแยะและแนะแนวทางที่ควรเดินให้ได้
ความฝันค่อย ๆ กลายเป็นความจริง ความเปลี่ยนแปลงที่เขานำพาเริ่มแทรกซึมสู่ทุกแง่มุมของสังคมมนุษย์ ทำให้ยิ่งยกระดับเขากลายเป็นเจ้านิกายผู้ยิ่งใหญ่ไป
แม้ยังห่างไกลความอมตะ แต่ศิษย์สาวกที่เขารวบรวมมีมากมายพอที่จะอยู่ไปทั่วอาณาจักรแล้ว
นี่เป็นทางที่เขาเลือกเดิน
สำหรับเผ่าอื่น ซูเฉินนั้นโหดเหี้ยม เป็นปีศาจผู้ชั่วร้าย แต่สำหรับมนุษย์ เขาเป็นมนุษย์ที่มีความทะเยอทะยานท้าทายสวรรค์และมีความเสียสละ เป็นผู้บุกเบิกที่แท้จริง
ซูเฉินยังเก็บตัววิจัยตามปกติ
สิ่งมีชีวิตลึกลับกำลังบิดตัวอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ตรงหน้าเขา
มันเหมือนเนื้อก้อนใหญ่ แต่ทุกส่วนกลับสามารถขยับได้เอง บางจังหวะก็จะมีเนื้อยื่นออกมา ก่อนจะหดกลับเข้าไป
แต่ซูเฉินกลับลงมือกับมันอย่างจริงจังมาก
เขาเทยาลงไปอย่างระวัง ยาซึมเข้าเนื้อก้อนนั้นไป ค่อย ๆ เปลี่ยนจนมันกลายรูปคล้ายมนุษย์ มีจมูก มีสองตาขึ้นมา หน้าตาคล้ายซูเฉินอยู่บ้าง
‘มนุษย์’ นั่นร่างสะท้านชั่วครู่ ก่อนหนังมันจะลอกออกมาเป็นชั้น ตอนนั้นเองที่ซูเฉินตัวปลอมร้องเสียงเจ็บปวดออกมา ก่อนจะหลอมละลายกลายเป็นกองของเหลวและหายไปอย่างรวดเร็ว
ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “บันทึกไว้ ข้าคุมมันได้ดีมาก แต่พลังจิตในการต่อต้านยังอ่อนแอ ข้าเสริมความแกร่งมันได้สองเท่า พลังจิตของมัน…… มี 101 หน่วย”
กังเหยียนรีบบันทึกก่อนเงยหน้าขึ้น “101 หน่วยนับว่าพัฒนาขึ้น อาจใกล้ความสำเร็จแล้ว”
“ใช่” ซูเฉินถอนใจ ก่อนจะหมุนขวดยาในมือ
ใช่แล้ว เป็นยานี่ต่างหากที่เขาวิจัยอยู่ เป้าหมายคือใช้เพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตให้เชื่อฟังคำสั่ง
นั่นก็เพื่อหาทางควบคุมแมลงวิบัติ
แมลงนี่เป็นอาวุธที่ร้ายแรงมาก
แต่ก่อนจะใช้มันได้ ซูเฉินต้องหาทางควบคุมมันให้ได้ก่อน
ในตอนนี้ เขาพัฒนายาตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิต แต่ผลข้างเคียงร้ายแรงเกินไป หากโดนโจมตีจิตแรง ๆ สักหน่อยก็ตายทันที
ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามหาทางเพิ่มความทนทานจิตให้ตัวยา
เท่าที่เขาคำนวณ หากยาสามารถลดการกร่อนพลังจิตให้เหลือน้อยกว่า 100 หน่วยได้ เท่านั้นก็พอแล้ว
แต่เพราะซูเฉินเองก็อยากรักษาคุณสมบัติเอกลักษณ์ของตัวยาไว้ด้วย ทุก ๆ การลดลงของพลังจิตแต่ละหน่วยจึงต้องพยายามมากเป็นสองเท่า
ผลลัพธ์วันนี้ถือว่าดีมาก อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดหมายแล้ว
“น่าเสียดาย เรามีเวลาไม่มาก” ซูเฉินพึมพำ
กังเหยียนชะงักไปชั่วขณะ “ถึงเวลาแล้วหรือ ?”
“เกือบแล้ว” ซูเฉินว่า
5 ปีมานี้ซูเฉินไม่ได้นั่งเฉย ๆ แต่ใช้เวลาสั่งสมความรู้เตรียมการมาตลอด
ซูเฉินไม่เคยลืมข้อตกลงกับหยงเยี่ยหลิวกวง
ในการตกลง 5 ปีนี้ เกือบถึงเวลาที่ซูเฉินต้องเคลื่อนไหวแล้ว
ตอนที่กำลังเก็บกวาดนั้น ก็มีเสียงเงามรณะก็เรียกจากด้านนอก “นายท่าน รองเจ้านิกายหลี่ขอเข้าพบขอรับ”
“หือ ?” ซูเฉินมุ่นคิ้ว
หลี่ฉงซานไม่ค่อยมาวุ่นวายยามเขาวิจัยนัก คงมีเรื่องสำคัญกระมัง
ซูเฉินจึงให้กังเหยียนจัดการต่อ แล้วก้าวเท้าออกมาแทน
หลี่ฉงซานรออยู่แล้ว
เมื่อเห็นซูเฉินก็ไม่รอช้า “ข้าบ่มเพาะหยินจนเริ่มสัมผัสพลังหยางได้แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคงทะลวงด่านได้”
ซูเฉินยินดี “ท่านจะทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้วหรือ ?”
หลังสร้างตำหนักเซียนทั้ง 8 ชั้นแล้ว การหมุนหยินหยางนับเป็นกุญแจสำคัญในการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน
หลี่ฉงซานบอกว่าเริ่มสัมผัสพลังหยางได้ในพลังหยิน หมายความว่าเขาใกล้จะทะลวงด่านเต็มที
และที่เขารีบมาบอกซูเฉินเป็นเพราะอยากให้ซูเฉินได้เห็นระหว่างการทะลวงด่าน เพื่อจะได้เข้าใจการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน
การทะลวงสู่ด่านที่สูงขึ้นนับว่าเป็นขั้นตอนอันตรายใหญ่หลวง ปกติแล้วการมีใครอยู่ข้างกายนับว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
แต่หากไร้ข้อเปรียบเทียบใดให้อ้างอิง ซูเฉินคงพัฒนาวิชาขึ้นมาได้ยาก เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวพันถึงการที่เขาได้สัมผัสกระบวนการทะลวงด่านสู่พิสดารในขั้นแรกมากเพียงไหน จะขึ้นถึงด่านผลาญจิตวิญญาณได้มีแต่ต้องมีพลังจิตขั้นสูงและรากฐานแข็งแกร่ง แต่เขาไม่อาจนำพาพวกมันไปยังด่านที่สูงกว่าได้ ฉะนั้นเมื่อหลี่ฉงซานรู้ว่าตนกำลังจะทะลวงด่านได้แล้วจึงรีบมาหาซูเฉินทันที
นับเป็นเรื่องสำคัญต่อซูเฉินอย่างใหญ่หลวง
“กังเหยียน เอายาสกัดหยางมา !” ซูเฉินเอ่ย
แม้ซูเฉินจะยังไม่ได้วิจัยการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่สนใจเลย นิกายไร้ขอบเขตได้มอบรางวัลให้คนที่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินมาได้แล้ว ตอนนี้เขารวมข้อมูลมาได้บ้าง ดังนั้นในทางทฤษฎี ก็ถือว่าเขาเตรียมตัวมาแล้ว
เขายังปรุงยาขึ้นมามากมายเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ จนกว่าจะสามารถสร้างวิชาทะลวงไร้สายเลือดขึ้นมาได้ สร้างยาที่เพิ่มโอกาสสำเร็จขึ้นมาก็ไม่นับว่าเสียหาย
ยาสกัดหยางคือหนึ่งในสิ่งที่ซูเฉินตระเตรียมมา
หลี่ฉงซานประหลาดใจ “ยาเม็ดหรือ ? ไม่ใช่ยาน้ำแล้ว ?”
ซูเฉินตอบ “ท่านจำระเบิดบนยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ?”
หลี่ฉงซานคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “จำได้ ศิษย์คนหนึ่งเผลอใส่ปรอทสีชาดไปแทนที่จะเป็นสารสกัดโลหะสีชาด พอใช้ไฟกระตุ้นก็ระเบิดจนเกือบตาย ยากว่าครึ่งในห้องโถงถูกทำลาย แต่เจ้าก็ไม่ลงโทษเขา หรือว่า……”
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่ ข้าถึงได้รู้ว่ามียาเม็ดสีแดงหลายเม็ดเหลืออยู่ เป็นผลพลอยได้จากการตกผลึกของกระบวนการกลั่นที่ล้มเหลว ชั่วแวบนั้นข้านึกสนุกขึ้นมา เอามาป้อนให้เป็ดที่เลี้ยงไว้ใกล้ครัว ท่านลองเดาดูว่าเกิดอะไร ?”
หลี่ฉงซานอึ้ง ”ใช่เรื่องเป็ดนิรันดร์กาลนั่นหรือไม่ ?”
คืนเดียวกันกับที่โถงยาระเบิด คนก็เริ่มคุยกันเรื่องเป็ดประหลาดที่บินอยู่บนฟ้า บินไปร้องไป แต่กลับไม่มีใครหามันเจอ
เพราะที่นั่นเลี้ยงเป็ดเป็นฝูง จึงไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหนบ้าง
เป็ดตัวนี้น่าจะบินรอบยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์อยู่ราวสิบวัน ทุกคืนจะบินไปร้องไป ทำให้คนนอนกันไม่พอ สุดท้ายก็หายไปเอง จากนั้นมาก็กลายเป็นรู้จักในนามเป็ดนิรันดร์กาล
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คนก็ยังเอากลับมาเล่าขำ ๆ กัน
หลี่ฉงซานรู้ทันทีว่าซูเฉินคงเป็นต้นเหตุ ไม่แปลกเลยที่ไม่มีใครรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ
ซูเฉินผายมือ “ข้าก็ไม่คิดว่าป้อนยาแล้วมันจะมีสติปัญญาขึ้นมา รู้จักปิดบังซ่อนเร้นกาย ข้าจับตาดูมันไประหว่างวิจัยยาที่เพิ่งค้นพบ พบว่ายาเม็ดเหล่านั้นมีอักขระเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอยู่ที่ผิวเม็ด ข้าตั้งชื่อให้ว่าอักขระโอสถ คงเกิดขึ้นโดยบังเอิญตอนกลั่น เผลอไปผสมพลังต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติการนำพลังงานกระมัง ผลของยาจึงแรงมาก ถ้าหากข้าลงอักขระนี่ลงบนยาอื่นได้เล่า ? ข้าจึงเริ่มทำการทดลงแต่นั้นมา”
“เช่นนั้นตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นยาเม็ดทั้งหมดเลยหรือ ?” หลี่ฉงซานถาม
ซูเฉินว่า “อักขระโอสถนั้นเหมือนกับค่ายกล ต่างกันก็ให้ผลต่าง ไม่สามารถใช้กับยาน้ำได้ หากพัฒนาอักขระโอสถสำเร็จ ต่อไปอาจต้องทำแต่ยาเม็ด แต่ก็ยังอีกไกลนัก ตอนนี้ข้ายังเข้าใจอักขระโอสถไม่มาก”
ซูเฉินเหมือนจะสบายใจมากยามพูดถึงความสำเร็จตน แต่หลี่ฉงซานกลับประทับใจนัก
ไม่ให้ประทับใจได้หรือ ซูเฉินไม่เพียงคิดค้นวิชาสู่อมตะและสกัดสายเลือดออกมาเป็นลักษณ์ได้ แต่ตอนนี้กลับยังจะคิดสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวงการนักปรุงยาด้วย
หากซูเฉินทำอย่างที่พูดได้จริง คงจินตนาการได้ไม่ยากว่ายาเม็ดจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก นักปรุงยาหลายคนคงได้เกลียดซูเฉินเข้ากระดูกดำ
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างที่เข้ามาย่อมเป็นภัยต่อสิ่งเก่าไม่ว่าด้านใดก็ด้านหนึ่งอยู่ดี
แม้บางคนอาจเต็มใจมาปรุงยาเม็ดแทน แต่ก็ต้องเริ่มเรียนรู้แต่ต้น
ทำให้ไม่อาจยอมรับได้
แต่ซูเฉินหรือจะสน ?
หนทางการพัฒนาเผ่ามนุษย์ไม่มีความเต็มใจส่วนตนข้องเกี่ยว ไม่เกี่ยวว่าคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งจะไม่ได้ประโยชน์จากมันขึ้นมา
แต่ในตอนนี้
ถึงเวลาที่หลี่ฉงซานจะทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว!
วันต่อมา หลี่ฉงซานก็ทำสำเร็จ
นิกายไร้ขอบเขต ในที่สุดวันนี้ก็มีด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว ซูเฉินได้โอกาสรวบรวมความรู้ในกระบวนการการทะลวงด่านสักที นับว่าเป็นรากฐานสำคัญในการค้นคว้าวิจัยหัวข้อนี้ต่อเลยทีเดียว