ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 21 การติดต่อครั้งแรก (3)
บทที่ 21 การติดต่อครั้งแรก (3)
เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่รับมือกับราชันจักรพรรดิอสูรทั้ง 6 พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังชัดขึ้นทันใด “ไป !”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างกายส่วนล่างของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างก็เริ่มส่องแสงประหลาดเช่นกัน
เป็นแสงจากเครื่องมือต้นกำเนิดนั่นเอง
ทว่าเครื่องมือต้นกำเนิดพวกนี้ไม่ใช่ของธรรมดา เพราะมันเหมือนกระจกมากกว่าอาวุธ
คือกระจกชัดแจ้ง
กระจกชัดแจ้งเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 6 เพียงอย่างเดียว กระนั้นแต่ละชิ้นก็ราคาเกือบสามแสน ฉะนั้นหมื่นชิ้นก็มูลค่าเกือบสามพันล้าน
ทั้งหมดนี้ซูเฉินเป็นคนมอบให้
คงมีเพียงซูเฉินคนเดียวที่ทำเช่นนี้ได้
ที่เขามอบให้แทนที่จะให้พวกเขาซื้อเครื่องมือต้นกำเนิดใช้เองเป็นเพราะเครื่องมือชิ้นนี้มีการใช้งานเฉพาะเจาะจง
มันเป็นตัวขยายพลัง แต่ใช้ขยายพลังในการโจมตีรายคนได้เพียงสิบห้าในร้อยส่วนเท่านั้น
สำหรับเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 6 ก็นับว่าน่าสมเพชนัก
แต่มันสามารถเชื่อมกับพลังต้นกำเนิดของผู้ใช้ได้โดยตรงเลยน่ะสิ
เครื่องมือต้นกำเนิดไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญ กำลังของผู้เชี่ยวชาญอาจผสมรวมกับค่ายกลได้ แต่เครื่องมือต้นกำเนิดส่วนมากไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ง่าย ๆ เครื่องมือต้นกำเนิดแต่ละชิ้นจะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป และมักเชื่อมกับเจ้าของที่ใช้ตนเท่านั้น คนรอบข้างใช้งานลำบาก แท้จริงแล้วก็นับว่าสำคัญ ไม่เช่นนั้นไม่ว่าใครก็คงใช้เครื่องมือต้นกำเนิดของใครก็ได้
ลักษณะเฉพาะของเครื่องมือต้นกำเนิดทำให้คนอื่นใช้มันได้ลำบาก ซึ่งหมายความว่าใช้ต่อสู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ลำบากเช่นกัน
แต่กระจกชัดแจ้งสามารถเชื่อมพลังได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มใหญ่ ทำให้มีประโยชน์ยามใช้ในการต่อสู้ขนาดใหญ่มาก
จึงไม่แปลกที่ซูเฉินจะมอบของให้คนเป็นกลุ่มใหญ่
ทันทีที่หยิบกระจกชัดแจ้งออกมา กำลังของผู้เชี่ยวชาญก็พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน สัตว์อสูรที่เพิ่งสำแดงพลังไปเมื่อครู่ถูกกำราบลงอีกครา
แต่เหล่าราชันจักรพรรดิอสูรที่ออกมาจากหุบเหวนั่นก็มากันไม่หยุด
แม้จะกำราบราชันจักรพรรดิอสูรไป 6 ตัว แต่ก็ยังมีมาอีก 2 ตัว
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคงไม่อาจทานรับไหว
กระทั่งจงเจิ้นจวินยังอดถามไม่ได้ “มันน่าจะถอยได้แล้วนี่ ?”
แม้จะอิจฉาริษยาและขุ่นเคือง แต่เขาก็รู้สถานการณ์ดี
ศิษย์นิกายนับหมื่นถือว่าเป็นส่วนสำคัญมาก
ซูเฉินกลับยิ้ม “บอกแล้วไงว่านี่ยังไม่สุดเลย”
ยังไม่สุด ?
ยังจะมีอะไรได้อีกงั้นหรือ ?
จะทำอะไรได้กัน ?
เห็นได้ชัดว่าก็ใช้ของนอกกายทั้งนั้น
อึดใจต่อมา ฉู่อิงหว่านก็ออกคำสั่ง คนทั้งหมดหยิบยาออกมาดื่มลงคอทันที
ทันใดนั้นร่างกายของพวกเขาก็เริ่มเรืองแสงสีแดงเลือดเข้ม พลังเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
“นี่คือ ?” จงเจิ้นจวินร้องขึ้น
“ยา” ซูเฉินตอบ
ก็รู้แล้วว่าเป็นยา ! แต่ทำไมให้ผลรุนแรงเช่นนี้ได้ ?
แท้จริงแล้วที่แรงไม่ใช่ยา พลังที่เสริมขึ้นมาเทียบเท่ากับเครื่องมือต้นกำเนิดธรรมดา ซึ่งพลังอย่างหลังไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก ส่วนอย่างแรกนั้นมารวดเร็วจนไม่อาจปรับตัวทัน
แต่คำตอบนั้นง่ายมาก
หากปรับตัวยาก ก็กินให้บ่อยสิ
ยิ่งกิน ร่างกายก็ยิ่งคุ้นชินเอง
ยาเม็ดตะวันเดือดไม่ใช่ของถูก แต่เพราะใช้ได้บ่อยในทุกวันเลยมีคนใช้ อย่างน้อย ๆ ซูเฉินก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตนเองจ่ายชดเชยส่วนที่ขาด ทำเพียงลดราคาลงหน่อยเพื่อให้คนซื้อมากขึ้นเท่านั้น
การทำให้นิกายไร้ขอบเขตชิ้นกับยาเม็ดนั้นไร้ปัญหา อย่างไรยาเม็ดพวกนี้ก็ได้ผลดีกว่ายาน้ำอยู่แล้ว
ราชันจักรพรรดิอสูรทั้ง 8 ถูกกำราบทันใด
ทุกคนคิดว่าคงมีราชันจักรพรรดิอสูรออกมาอีก แต่กลับว่างเปล่า
ทางออกถูกกั้นไว้แล้ว
ทางเข้าออกหุบเหวไม่แคบ แต่ราชันจักรพรรดิอสูรทั้ง 8 ก็มากพอจะกั้นทางทั้งหมดไว้ได้ ราชันจักรพรรดิอสูรที่เหลือจึงถูกกั้นอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าจะร้องลั่นคำรามโกรธอย่างไรก็ออกไม่ได้
นิกายไร้ขอบเขตใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่อย่างถึงที่สุดทีเดียว
พริบตาเดียว ทั้งหมดก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเช่นนี้ก็ชนะแล้วหรือ ?
ในตอนที่ขวัญกำลังใจกำลังมา ซูเฉินหมายจะเรียกคนกลับ หลังได้กำราบราชันจักรพรรดิอสูรเหล่านี้ เพราะนี่ก็นับว่าสดชื่นใจนัก แต่ก็เสียหายหนักพอสมควร หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังหมดเมื่อไหร่ก็คงไม่รอด
คำสั่งถอยจึงถูกปล่อยออกมา ทว่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่รีบร้อน กลับเรียกพลังที่เหลือสร้างข่ายพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่คลุมหัวอสูรทะเลพวกนั้นไว้
ราชันจักรพรรดิอสูรทั้งแปดร้องลั่น ไม่ว่าจะแกร่งเพียงไหน แต่ก็หนีไปไม่ได้สักระยะหนึ่งแน่
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตฉวยจังหวะนั้นเหินร่างออกจากระยะทันที
จังหวะเดียวกันนั้น พลังต้นกำเนิดก็ขาดพอดี
ราชันจักรพรรดิอสูรทั้ง 8 พุ่งออกจากหุบเหวเข้าหาหมู่คน
แต่พวกเขาออกไปนานแล้ว ราชันจักรพรรดิอสูรทั้ง 8 มาถึงชายแดนก็หยุดแทบไม่ทัน ราวกับมีกำแพงมองไม่เห็นขวางกั้นไม่อาจออกไปได้ สุดท้ายก็หยุดโจมตีไป
ผลนี้มาจากท้องสมุทรโศกา
เพื่อให้เผ่าท้องสมุทรไม่อาจครองท้องสมุทรโศกา เคอหนีเก๋อได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันมันมาก เขายอมไม่ฉวยโอกาสตีเผ่าท้องสมุทรเพื่อที่ท้องสมุทรโศกาจะยังทำงานต่อไปได้
อำนาจควบคุมที่ท้องสมุทรโศกามีเหนือราชันจักรพรรดิอสูรนั้นเด็ดขาด แม้จะอยู่ตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงคำรามโกรธเท่านั้น
ตอนนี้หุบเหวเปิดออกแล้ว ราชันจักรพรรดิอสูรจึงเริ่มโผล่หัวขึ้นมาจากใต้น้ำ ไม่นานราชันจักรพรรดิอสูรนับร้อยก็ออกอาละวาดทั่วน่านสมุทร
แม้ไม่กี่ร้อยจะฟังดูไม่มาก แต่ร่างกายมหึมาของมันก็ปกคลุมทั่วท้องน้ำ มองไปทางใดก็เห็นเพียงราชันจักรพรรดิอสูร
พวกมันทั้งคำรามทั้งขู่ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ ทำผืนน้ำโกลาหล
น้ำเริ่มแบ่งตัวออกระหว่างพวกมัน ราชันจักรพรรดิอสูรลอยอยู่ในอากาศ กระนั้นก็ยังแหวกว่ายได้ตามใจ หากแต่ยังถูกกักอยู่ในหุบเหวอยู่ดี
หุบเหวและเขตแดนนั้นมั่นคงแน่นหนา กระทั่งสิ่งที่ทรงพลังที่สุด หากหมายจะเข้าไปก็ยังถูกฉีกร่างได้
กลับกัน ราชันจักรพรรดิอสูรก็ไม่อาจออกไปได้เช่นกัน ไม่ว่าจะดุดันป่าเถื่อนเพียงไหนก็ไร้ผล
ซูเฉินมองพวกมัน จ้องมองนัยน์ตากระหายเลือดบ้าคลั่งนั้นพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ก็แค่สัตว์ดุร้ายที่ถูกกระตุ้นจนโกรธเท่านั้น”
“ก็ใช่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนพยายามจะเข้าไป” จงเจิ้นจวินเอ่ยเสียงเรียบ
หัวหน้าเพลิงทมิฬไม่โง่ แต่ก็ไม่สามารถอยู่โดยไม่ยั่วยุใครได้เช่นกัน แม้จะเห็นนิกายไร้ขอบเขตสำแดงพลังจนอึ้งทึ่งไปแล้ว แต่ก็ยังพยายามจะหาทางคุมสถานการณ์อยู่ดี
ซูเฉินดูท่าไม่สนแม้สักนิด “นั่นเป็นแผนต่อจากนี้ ก่อนเราจะเตรียมการพร้อม เราจะนิ่งไว้ก่อน”
จงเจิ้นจวินพลันถาม “ต้องเตรียมอะไรบ้างเล่า ?”
แต่ซูเฉินกลับเงียบงัน
เขาใช้ไพ่ตายที่ดีที่สุดไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเผยกลทั้งหมดในมือให้ดูนี่
ที่เขาหยิบออกมาใช้ก่อนเวลา เพราะมันปิดได้ยากอยู่แล้ว หากเกิดสงครามใหญ่แล้วยังเก็บไม่เอามาใช้ คนอื่นคงจะถลกหนังเขาได้
แต่ก็ยังมีไพ่ใบอื่นที่ปิดได้มิดเช่นกัน
เช่นการแอบเข้าหุบเหว การเอาชนะราชันจักรพรรดิอสูร… สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ซับซ้อน
หากไร้กลใดคงไม่อาจทำได้ แต่หากมีแค่กลก็ไม่อาจทำสำเร็จเช่นกัน
ซูเฉินต้องหาเวลารวมกำลังให้มากกว่านี้
แต่เขารู้ว่าสุดท้ายเขาจะทำสำเร็จ
แค่ไม่คิดอธิบายให้จงเจิ้นจวินก็เท่านั้น
แทนที่จะตอบ ซูเฉินเอ่ยว่า “มาคุยเรื่องแบ่งผลประโยชน์ก่อนเถอะ”
จงเจิ้นจวินได้ยินก็หน้าคว่ำทันใด
ดูเหมือนคำพูดเก่าจะตามมาหลอกหลอนเสียแล้ว
รู้สึกราวกับถูกตบหน้าเลยจริง ๆ
เฟิงหันหัวเราะ “ไม่มีอะไรต้องคุยหรอก ก็แบ่งกันตามกำลังเลยสิ นิกายไร้ขอบเขตมีด่านสู่พิสดาร 12,000 คน พวกข้าทั้งหมดรวมกันยังน้อยว่า 2,000 คน ท่านซูเองก็นับเป็นอีก 6,000 ก็ยังได้ นิกายไร้ขอบเขตควรได้ประโยชน์เก้าสิบในร้อยส่วน”
เจียงซีสุ่ยปรบมือหัวเราะ “ข้าเห็นด้วย”
เผ่าท้องสมุทรพวกทะเลสงบไม่ได้มาเพื่อหาเงิน ดังนั้นจะแบ่งกันอย่างไรก็ไร้ปัญหา
จงเจิ้นจวินตอนนี้สีหน้าดูไม่ได้แล้ว เช่นนั้นอีก 3 กลุ่มได้แค่สิบส่วนงั้นหรือ ?
เช่นนั้นก็ได้แค่กลุ่มละประมาณสามส่วนงั้นสิ ?
ไม่มากไปหน่อยหรือไร ?
จงเจิ้นจวินเอ่ยเสียงเย็น “นับเพียงด่านสู่พิสดารไม่ยุติธรรมไปสักหน่อยกระมัง ? ตัวข้าเองก็นับเป็นด่านสู่พิสดารนับพันได้ไม่ใช่หรือ ?”
จงเจิ้นจวินอยู่ด่านมหาราชัน อยู่บนจุดสูงสุดของระบบ เปรียบได้กับด่านสู่พิสดารนับพันนับว่าไม่มากเกิน แต่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็แกร่งกว่าคนพลังเท่ากันอยู่แล้ว มีลักษณ์หลากหลาย มียาเสริมพลังมากมาย หากจงเจิ้นจวินถูกรุมคราเดียวก็อาจแพ้ได้
แต่กระนั้นก็ยังต้องรักษาศักดิ์ศรีของด่านมหาราชันไว้
จงเจิ้นจวินมีขั้นพลังสูงที่สุดจริง ๆ
ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าพูดกับซูเฉินเช่นนี้
ไม่แปลกที่จงเจิ้นจวินจะไม่พอใจที่นับซูเฉินได้เท่ากับด่านสู่พิสดาร 6000 คน แต่กับตัวเขากลับไม่นับ
เฟิงหันเลิกคิ้วสูง “หากคิดว่าไม่ยุติธรรม เผ่าท้องสมุทรก็พร้อมส่งราชันท้องสมุทรอีกสัก 2 คนมา ทว่าไม่นับรวมในส่วนแบ่งเช่นกัน”
‘ราชันท้องสมุทร’ เทียบได้กับด่านมหาราชันของเผ่าท้องสมุทร
นอกจากเจ้าเหนือหัวเผ่าท้องสมุทรนามห่งหยุน เผ่าท้องสมุทรยังมีด่านมหาราชันทั้งหมด 14 คน เป็นรองต่อมนุษย์ที่มี 19 คนเท่านั้น
ที่พวกเขาไม่ได้มาไม่ใช่เพราะไม่เห็นว่ามันสำคัญ แต่กำลังหาจังหวะปรากฏตัวต่างหาก หากต้องการคนแนวหน้า ราชันแห่งท้องสมุทรก็พร้อมปรากฏกาย
เฟิงหันมีอำนาจตัดสินใจเช่นนั้นจริง เพราะด่านมหาราชันทั้ง 15 ต่างก็เตรียมพร้อมสู้แล้ว
พวกเขาไม่กลัวตาย แต่กลัวตายเปล่ามากกว่า
จงเจิ้นจวินเงียบไปแต่ก็ยังโกรธขึ้ง ไม่อาจหาคำโต้ได้อยู่นาน
เจียงซีสุ่ยนับว่าถูกอาณาจักรประกายวารีละทิ้งไปแล้ว ดังนั้นจึงร้องขอความช่วยเหลือจากด่านมหาราชันไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่พูดช่วยเอา “กลุ่มสยบทะเลเห็นด้วยกับข้อตกลง”
ซูเฉินกลับเอ่ย “ช่างเถอะ คนที่เป็นผู้นำนับว่าพันหนึ่งก็ได้ และหากต่อไปมีราชันท้องสมุทรปรากฏขึ้นก็จะนับเช่นกัน ส่วนข้านับเป็นด่านผลาญจิตวิญญาณธรรมดาเถอะ ไม่จำเป็นต้องเทียบกับด่านสู่พิสดารถึงหกพัน”
เฟิงหันไม่พอใจ “ได้อย่างไร ?”
ซูเฉินตอบ “กำลังสู้ก็เป็นเพียงแค่นั้น เราควรแบ่งให้เป็นกลางที่สุด ส่วน ‘ส่วนแบ่ง’ ที่ข้าควรได้เพราะเรื่องวิจับเราค่อยคุยกัน ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องคุยกันให้จบอีกมาก ท่านหัวหน้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ ?”
จงเจิ้นจวินยิ้มน้อย ๆ “ใช่ ถูกต้อง”
แต่เมื่อได้เห็นความมั่นใจของซูเฉินแล้ว เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังประนีประนอม แต่กำลังหาทางชิงเอาเงินเอาของให้มากกว่าเดิมต่างหาก