ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 28 ยกระดับสายเลือด
บทที่ 28 ยกระดับสายเลือด
ขบวนอสูรทะเลสลายตัวไปแล้ว
ในคืนนั้น งานเลี้ยงฉลองใหญ่โตถูกจัดขึ้นที่บนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ชาวสมุทรไม่ได้เฉลิมฉลองเช่นนี้
การเอาชนะขบวนอสูรทะเลได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
แต่พวกเขาทำมันสำเร็จโดยที่สูญเสียไปน้อยมาก และไม่ต้องพึ่งปราการเจ้าสมุทรหรือเกาะพันมายาอีกด้วย
ซูเฉินได้แสดงให้เผ่าท้องสมุทรเห็นแล้วว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่พวกเขาจะสามารถจัดการและสังหารเหล่าอสูรทะเลได้ง่ายดายกว่า
พลังของสายเลือดมังกรสุริยะนั่นเอง
สาเหตุหลักที่การโจมตีขบวนอสูรทะเลในครั้งนี้สำเร็จผลก็เพราะความพยายามของกู่ชิงลั่วด้วย หากไม่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของนางแล้ว การจู่โจมของขบวนอสูรทะเลก็คงไม่สามารถถูกหยุดยั้งไว้ได้ อีกทั้งพวกมันยังไม่ต้องพบกับความวุ่นวายอย่างที่ได้เกิดขึ้น หญิงสาวได้ทำหน้าที่แทนปราการเจ้าสมุทรอย่างสมบูรณ์แล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่สมาชิกตระกูลกู่ทุกคนที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะไม่มีใครเลยในตระกูลกู่ที่สามารถเปลี่ยนสายเลือดตัวเองให้มีความบริสุทธิ์ได้ถึง 40 ส่วนมาก่อน
‘ราชาผู้บ้าคลั่ง’ หรือฮ่องเต้เย่าเคยปลุกให้สายเลือดของตนมีความบริสุทธิ์ได้ถึง 30 ส่วน ซึ่งมันทำให้เขาเสียสติและกระหายเลือด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าลูกหลานของเขาพยายามที่จะพูดถึงบรรพบุรุษผู้นี้ในทางที่ดี และบอกว่าเขาเป็นคนบ้าบิ่นและกระหายเลือดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
ไม่ว่าอย่างไร ความบริสุทธิ์ของสายเลือดถึง 40 ส่วนก็ถือเป็นตัวเลขที่เหนือจินตนาการ และแม้ว่าจะไม่รู้ว่ามีวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งพลังเช่นนี้ แต่ทว่ากูชิงลั่วก็ทำมันได้สำเร็จแล้ว !
แต่การที่วันนี้พวกเขามีกู่ชิงลั่วอยู่ตรงนี้นั้นไม่ได้หมายความว่านางจะอยู่กับพวกเขาด้วยในวันต่อ ๆ ไป
จุดประสงค์ของซูเฉินก็คือการสร้างปาฏิหาริย์ และทำให้ปาฏิหาริย์นั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากที่กู่ชิงลั่วได้แสดงความสามารถอันน่าทึ่งออกมาแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะเริ่มคิดไปเช่นนั้น
ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง
ทุกคนมารวมตัวและสรวลเสเฮฮากัน
จงเจิ้นจวินเดินตรงเข้ามาหาซูเฉินพร้อมกับเหล้าจอกหนึ่งและกล่าวกับเขา “น้องซู ข้าขอมอบเหล้าจอกนี้ให้กับเจ้าแทนความนับถือของข้า ข้าไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน เจ้าเป็นคนแรกเลยนะ”
ซูเฉินหัวเราะและรับเหล้าจอกนั้นมา “ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะควรค่าแก่การสรรเสริญเช่นนี้หรอกท่านแม่ทัพ”
“แหม ทำไมจะไม่ควรค่าเล่า !” จงเจิ้นจวินตอบ “เจ้าทำให้การบรรลุด่านสู่พิสดารเป็นไปได้สำหรับผู้ที่ไม่มีสายเลือด และเจ้ายังยกระดับพลังของผู้ที่ครอบครองสายเลือดอีกด้วย สิ่งที่เจ้าทำให้กับมวลมนุษยชาตินั้นยิ่งใหญ่นัก ถ้าสายเลือดมนุษย์ทั้งหมดสามารถพัฒนาไปได้อีกขั้น……”
จงเจิ้นจวินถอนใจขณะที่แววความโหยหาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ซูเฉินเข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายดี
อันที่จริงแล้วเขาต้องการให้ซูเฉินช่วยเพิ่มพลังให้กับสายเลือดของตัวเองด้วยเช่นกัน
สายเลือดของจงเจิ้นจวินคือสายเลือดอสูรโลหิตโหยหวน ซึ่งเป็นสายเลือดจักรพรรดิอสูรที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
สายเลือดโลหิตโหยหวนของจงเจิ้นจวินนั้นถูกปลุกให้มีขีดจำกัดความบริสุทธิ์อยู่ที่ 50 ส่วน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทรงพลังเหลือเกิน เมื่อเจ้าตัวปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ เขาสามารถใช้ร่างในรูปของอสูรโลหิตโหยหวนได้ ซึ่งนั้นทำให้พลังของเขายิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกมากโข แต่ก็เพราะเหตุนี้เองที่จงเจิ้นจวินจึงไม่สามารถปลุกสายเลือดให้แข็งแกร่งไปได้มากกว่านี้แล้ว หากเขาไม่ระมัดระวังมากพอและปลุกสายเลือดตัวเองอีกครั้ง…เขาอาจกลายร่างเป็นอสูรกายไปเลยก็ได้
แต่ความสำเร็จของกู่ชิงลั่วก็ได้ช่วยให้เขาได้รู้แล้วว่าขีดจำกัดทั้งหลายในธรรมชาตินั้นสามารถถูกทำลายได้เช่นกัน
หากซูเฉินสามารถเพิ่มขีดจำกัดให้กับกู่ชิงลั่วได้ นั่นแปลว่าเขาก็ต้องทำให้กับจงเจิ้นจวินได้ด้วยเหมือนกัน
ไม่ว่าจงเจิ้นจวินจะจองหองเพียงไร แต่เขาก็จำเป็นต้องก้มหัวให้กับผลประโยชน์ที่สำคัญเช่นนี้
ซูเฉินหัวเราะ “ในทางทฤษฎีแล้วก็เป็นไปได้ แต่ก็จะต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานมากทีเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือท้องสมุทรโศกา ก่อนที่ข้าจะหาวิธีจัดการกับมันได้ ข้าคงไม่สามารถเบนความสนใจและพลังงานของข้าไปให้กับสิ่งอื่นได้”
จงเจิ้นจวินก็เข้าใจทันทีว่าซูเฉินกำลังจะกล่าวอะไร “เจ้าจะทำได้ก็หลังจากที่จัดการเรื่องท้องสมุทรโศกาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
ซูเฉินก้มลงครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้าและตอบกลับไป “ข้าไม่อยากจะปิดบังความจริงจากท่าน แม่ทัพจง แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กนัก แต่การศึกษาวิชาในการฝึกโดยไร้ซึ่งสายเลือดมีความแตกต่างจากการศึกษาวิธีการยกระดับพลังสายเลือดอยู่ วิชาไร้สายเลือดนั้นมีประโยชน์สำหรับทุกคน แต่การยกระดับสายเลือดนั้นจำเป็นต้องมีเป้าหมายจำเพาะเจาะจง ใต้สรวงสวรรค์นี้มีสายเลือดอยู่จำนวนมากเกินไป และแต่ละสายเลือดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนั้นแล้ว แม้แต่ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันก็ยังมีลักษณะทางชีวภาพยางอย่างที่ต่างกันได้ ดังนั้นคงไม่ง่ายเลยถ้าข้าจะศึกษาคนเหล่านั้นทีละคน”
จงเจิ้นจวินดูเหมือนจะจับจุดในสิ่งที่ซูเฉินกล่าวได้ “แปลว่าน้องซูเลือกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมอบเคล็ดลับวิชานั้นให้อย่างนั้นหรือ”
“ถูกเผง !” ซูเฉินตอบ
ซูเฉินต้องวิเคราะห์แต่ละสายเลือดแยกกันเพื่อที่จะยกระดับมันจริง ๆ หรือ ? และมันจะไม่มีรูปแบบที่เขาจะยึดตามได้เลยหรืออย่างไรกัน ?
ไม่จำเป็นเลย !
แต่ครั้งนี้ซูเฉินก็ไม่ได้อยากจะทำมันจริง ๆ
เป้าหมายที่จะยกระดับพื้นฐานความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีจุดมุ่งหมายแฝงในการผูกขาดบางอย่างที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะต้องพอใจยิ่งนัก
การมอบวิธียกระดับพลังให้กับตระกูลสายเลือดชั้นสูง เพื่อซื้อเวลาให้กับตัวเองและเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นเรื่องจำเป็น นิกายไร้ขอบเขตไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้วนอกจากเวลา
แต่หากเขาเบนความสนใจไปหาการยกระดับสายเลือดให้กับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง…. นั่นคงเป็นการขัดกับภารกิจเดิมที่เขาตั้งเอาไว้
ซูเฉินไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
ในอนาคตที่เขาวาดฝันเอาไว้นั้น สายเลือดทั้งหลายจะเป็นเพียงพลังเสริมเท่านั้น ไม่ใช่แหล่งพลังหลักอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกต่อไป
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะได้รับอนุญาตให้มีอยู่ต่อไปได้ แต่วันหนึ่งพวกเขาก็จะต้องเสียสถานะที่สูงศักดิ์ไป
ในอนาคตของทวีปต้นกำเนิด นิกายทั้งหลายจะเป็นใหญ่ในโลกแห่งการฝึกตน ไม่ใช่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงแต่อย่างใด
นี่คือแผนการที่ซูเฉินวางเอาไว้สำหรับอนาคต แต่ก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาอธิบายทั้งหมดนี้ให้จงเจิ้นจวินเข้าใจ
แต่จงเจิ้นจวินกลับเข้าใจผิดและคิดว่าซูเฉินกำลังสื่อว่าการทำเช่นนั้นจะต้องมีราคาค่างวด
เมื่อปราศจากวิธีการที่รวบรัด ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็จำเป็นต้องเข้าข้างซูเฉินหากพวกเขาต้องการที่จะใช้ความเชี่ยวชาญของชายหนุ่มคนนี้ การปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้นั้นดีกว่าการมีวิธีการที่ครบสูตรให้กับพวกเขาเสียอีก
กล่าวคือ ตราบใดที่เขาเข้าข้างซูเฉิน ซูเฉินก็จะช่วยจงเจิ้นจวินอย่างแน่นอน
จงเจิ้นจวินคิดว่าเขาเข้าใจถึงแผนการของซูเฉินอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขาจึงหัวเราะขึ้นและกล่าวต่อไป “น้องซูนี่ทะเยอทะยานดีจริง ๆ นี่เป็นพื้นฐานการทำธุรกิจที่ดีทีเดียว ข้ายินดีที่จะช่วยน้องซูอย่างเต็มความสามารถ”
จงเจิ้นจวินกลับเข้าใจทุกอย่างผิดไปหมด การเป็นคนทะเยอทะยานกับพื้นฐานในการทำธุรกิจที่ดีมันสัมพันธ์กันด้วยหรือ ? แต่ก็นั่นแหละ ขณะนี้เขาก็กำลังเรียกซูเฉินอย่างเป็นกันเองมากขึ้นกว่าเดิม
ชายแก่คนนี้ก็ช่วงหน้าไม่อายนัก… นี่เป็นวิธีการแสดงท่าทีของเขาในสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้วนั่นเอง
ตราบใดที่เจ้าจะช่วยข้า ทุกอย่างก็สามารถต่อรองกันได้ทั้งหมด
ซูเฉินยอมรับมัน แม้ว่าจงเจิ้นจวินจะไม่ได้เป็นคนดีนัก แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่ซูเฉินจะต้องมาทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินเขา ไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธคนที่ยินดีและเต็มใจจะยอมจำนนให้กับเขาเช่นนี้… อีกทั้งคนคนนั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านมหาราชันอีกด้วย
ทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องนี้กันได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย จงเจิ้นจวินก็หันหน้าไปและพบว่าเจียงซีสุ่ยกำลังรออยู่แล้ว เขาจึงหัวเราะขึ้น “ดูเหมือนว่าจะมีคนรอที่ของข้าอยู่สินะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้ต้องเสียเวลาแล้วละ”
เขาโบกมือและเดินจากไป
เจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนมองจงเจิ้นจวินเดินจากไปก่อนจะเข้ามาแทนที่เขา
จีหานเยี่ยนกล่าว “ซูเฉิน ทำไมเจ้าไม่บอกพวกข้าให้เร็วกว่านี้ว่าเจ้าสามารถยกระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดได้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับสายเลือดของข้ากับซีสุ่ย”
พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติกับซูเฉินเหมือนว่าเขาเป็นคนนอกแต่อย่างใด
ซูเฉินหัวเราะ “ทุกอย่างมันยังไม่ได้เริ่มขึ้นจริง ๆ ด้วยซ้ำ ชิงลั่วทำสำเร็จก็เพราะข้าศึกษาสายเลือดมังกรสุริยะของนางมานานแล้ว และนางก็เป็นภรรยาของข้า ตอนนี้สำหรับสมาชิกตระกูลกู่คนอื่น ๆ ข้าเองก็คงยังไม่สามารถทำสำเร็จได้เช่นนั้นด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นวิธีนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้กันในตระกูลกู่อย่างนั้นหรือ” เฟิงหันกล่าวแทรกขึ้น
เขากับเจียงซีสุ่ยและจีหานเยี่ยนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นเฟิงหันจึงยังอยู่ตรงนั้นด้วย อย่างไรแล้วทั้งสองก็มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน มีเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้นที่อาจแตกต่างกันไปบ้าง
จงเจิ้นจวินสนใจแต่ตัวเขาเองเท่านั้น ตราบใดที่สายเลือดของเขาจะถูกยกระดับ เขาก็ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลจงที่เหลือ
จีหานเยี่ยนกับเจียงซีสุ่ยนั้นไม่ได้ต้องการยกระดับเพียงแค่สายเลือดของตัวเอง แต่พวกเขาหวังให้ทั้งสายเลือดถูกยกระดับไปด้วยทั้งหมด
เฟิงหันเป็นชาวสมุทร ซึ่งพวกเขามีระบบการฝึกเป็นของตัวเอง ดังนั้นพลังสายเลือดจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับชาวสมุทร
แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของสายเลือดมังกรสุริยะที่บริสุทธิ์ถึง 40 ส่วนและสามารถยับยั้งขบวนอสูรทะเลได้นั้นก็ถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
เฟิงหันไม่กล้าที่จะถามว่ากู่ชิงลั่วจะอยู่ที่ปราการเจ้าสมุทรต่อไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ แต่เขาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้มีโอกาสเชิญให้สมาชิกตระกูลกู่อยู่ที่ปราการต่อไปในฐานะแขกผู้มีเกียรติ
หากเขาทำสำเร็จ ต่อให้แผนที่จะจัดการกับท้องสมุทรโศกาล้มเหลว สมาชิกตระกูลกู่ก็อาจสามารถช่วยพวกเขาได้ไม่น้อยเลย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อกำหนดเบื้องต้นอยู่สองอย่างด้วยกัน ข้อแรกก็คือจะต้องมีใครบางคนในตระกูลกู่ที่สามารถมีพลังในระดับที่ใกล้เคียงกัน และข้อที่สองก็คือคนคนนั้นจะต้องสามารถออกจากภูผาสูญได้
มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่จะสามารถทำตามเงื่อนไขทั้งสองข้อได้ในตอนนี้
นี่คือสาเหตุที่เฟิงหันถามคำถามนั้นด้วยความเป็นกังวล
ซูเฉินหัวเราะ “ดูเหมือนว่าองค์ชายเฟิงหันจะไม่มั่นใจกับความสามารถของข้าในการจัดการกับท้องสมุทรโศกาสินะ”
ใบหน้าของเฟิงหันเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
ใช่แล้ว… ชาวสมุทรไม่เคยคิดฝากความหวังกับซูเฉินว่าจะทำในสิ่งที่พวกเขาขอได้สำเร็จ เผ่าท้องสมุทรหวังเพียงว่าชายหนุ่มจะสามารถค้นพบวิธีการในการหยุดอิทธิฤทธิ์ของท้องสมุทรโศกาได้เท่านั้น เพื่อที่ชาวสมุทรจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีได้มากกว่านี้ และซูเฉินก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทำได้อย่างแน่นอน
ซูเฉินไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใดที่เฟิงหันประเมินเขาต่ำไป ชายหนุ่มกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ชิงลั่วทำได้สำเร็จก็เพราะปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่าง หากไม่มีปัจจัยพวกนั้นแล้ว คงมีสมาชิกตระกูลกู่เพียงไม่กี่คนที่จะสามารถทำสำเร็จอย่างนางได้”
“ปัจจัยอะไรกัน ?” เฟิงหันกับเว่ยซีหมิ่นถามขึ้นพร้อมกัน
ท่าทางสงสัยนั้นทำให้ซูเฉินต้องไขข้อข้องใจให้ทั้งสองในทันที
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “เลือดของเทพอสูรและแก่นของเทพอสูรบรรพกาล”
ตู้ม !
ชาวสมุทรทั้งสองรู้สึกราวกับว่าระเบิดลูกใหญ่ปะทุขึ้นในสมองของพวกเขา ทั้งเฟิงหันและเว่ยซีหมิ่นต่างอ้าปากค้าง
“เลือดของเทพ…. เทพอสูรหรือ !” เฟิงหันถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“กะ… แก่นของเทพอสูรบรรพกาลหรือ !” ร่างของเว่ยซีหมิ่นสะท้าน
ซูเฉินทำให้ทั้งคู่ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริง
ไม่เช่นนั้นแล้วพลังของกู่ชิงลั่วจะพุ่งทะยานขึ้นไปแบบนั้นได้อย่างไรกัน ?
ซูเฉินได้โลหิตของเทพอสูรมาจากใจสีเลือด ส่วนแก่นเทพอสูรบรรพกาลนั้นได้มาจากวานรกินโลหะทั้งสอง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการบรรลุของกู่ชิงลั่วนั่นเอง
ของเหลวสีแดงที่กู่ชิงลั่วดื่มไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นโลหิตของเทพอสูรที่เจือจางแล้ว
หากไม่มีสองสิ่งนี้ ก็ไม่มีทางเลยที่พลังของกู่ชิงลั่วจะเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วเช่นนี้….. การไม่หวาดกลัวเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้เสมอไป
แน่นอนว่าซูเฉินยังไม่ได้ใช้แก่นเทพอสูรบรรพกาลหรือโลหิตเทพอสูรไปทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นคนทั่วไปก็ยังเข้าถึงสิ่งของเหล่านี้ได้ยากอยู่ดี
แม้ว่าชาวสมุทรจะสร้างสมบัติขึ้นมากมายได้ด้วยตัวเอง และพวกเขาก็มีโลหิตของเทพอสูรอยู่ในครอบครองแล้ว แต่สิ่งที่ขาดก็คือแก่นเทพอสูรบรรพกาล
แล้วต่อให้พวกเขามีมัน จำนวนที่จะครอบครองได้นั้นก็คงจำกัด ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่ชาวสมุทรจะใช้วัตถุที่มีค่าถึงเพียงนั้นกับสมาชิกของเผ่าพันธุ์อื่น
ถ้าเช่นนั้นแล้วเป้าหมายของพวกเขาก็ยังคงเป็นท้องสมุทรโศกาอยู่ใช่ไหม ?
สองพี่น้องถอนใจ
“พลังของสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลนั้นเพาะได้ยากยิ่งนัก แต่ยิ่งพลังต่ำลง ความยากและราคาที่ต้องจ่ายก็ลดลงไปด้วย……” ซูเฉินตอบเจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยน
เจียงซีสุ่ยกับจีห่านเยี่ยนสบตากัน
จีหานเยี่ยนเผยยิ้มออกมา “ดังนั้นสายเลือดของข้านี่ก็พอจะมีหวังบ้างอย่างนั้นสิ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะยกระดับมันได้ถึงเพียงไหน”
ซูเฉินหัวเราะ “มากเกินพอที่จะเจ้าจะสามารถใช้มันเพื่อกดพี่เจียงและแสดงให้เขาเห็นว่าเจ้าโหดเพียงไรก็แล้วกัน”
จีหานเยี่ยนปรบมือและหัวเราะ “ถูกใจข้าจริง ๆ!”