ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 30 เข้าร่วม
บทที่ 30 เข้าร่วม
“ถอยทัพ !”
เสียงร้องด้วยความสิ้นหวังดังก้องไปทั่ว
เรือทุกลำเคลื่อนทัพถอยไปอย่างพร้อมเพรียงกันขณะที่ผู้เชี่ยวชาญพลังกำเนิดกระโจนขึ้นไปในอากาศและเริ่มโจมตีอสูรทะเลที่เบื้องล่าง
ทว่าที่ผืนน้ำนั้นมีอสูรทะเลอยู่จำนวนมากเกินไป ทำให้รังสีพลังที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นมากมายเหลือเกินจนแทบไม่ต่างอะไรไปจากขบวนอสูรทะเลขนาดย่อมเลย
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ?” หลินเซียวใจสั่นไปหมดขณะมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า
อสูรทะเลในหุบเหวนั้นจะเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเสมอโดยไม่ต้องมีจักรพรรดิอสูรทะเลที่เป็นผู้นำ แต่ทำไมทุกอย่างกลับพลิกผันไปเช่นนี้
เขาไม่เข้าใจเลย และสถานการณ์ก็แย่ลงทุกวินาที
แม้ว่าเรือทั้งหลายจะถอยทัพด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อจะหนีให้พ้นจากอสูรทะเลอันดุร้ายที่รวมตัวกันโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
หนึ่งในเรือของทัพสยบสมุทรที่ชื่อว่า ‘นภากว้าง’ นั้นตามหลังทั้งกลุ่มอยู่เล็กน้อย อสูรทะเลหลายสิบตนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา ซึ่งหากเรือลำนี้ถูกล้อมไว้… เรือลำนี้ก็จะไม่สามารถหนีได้อีกต่อไป
“เล็งปืนใหญ่ผ่าสุริยันไปทางนั้น !” หลินเซียวตะโกนขึ้น
“นายท่าน เราไม่มีเวลายิงปืนใหญ่แล้ว เราต้องหนี” ใครบางคนร้องขึ้น
“ออกไปให้พ้นทางข้า ! จะให้ข้าดูพวกนั้นตายหรืออย่างไรกัน ข้าเป็นผู้นำของทั้งทัพที่ออกล่านี่ ข้าไม่มีทางหนีไปโดยทิ้งคนของข้าเอาไว้เด็ดขาด !” หลินเซียวคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “ยิงปืนใหญ่เดี๋ยวนี้ !”
ปืนใหญ่ผ่าสุริยันที่ท้ายเรือเริ่มถูกยิงออกไป
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ !
ลำแสงพลังต้นกำเนิดจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เป้าหมายที่รายล้อมอยู่รอบเรือนภากว้างและฉีกร่างของพวกมันเป็นชิ้น ๆ
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ !” เหล่าทหารบนเรือนภากว้างร้องขึ้น
พวกเขาพยายามที่จะใช้ช่องว่างที่ปืนใหญ่ผ่าสุริยันเปิดให้เพื่อหนีออกไป แต่อสูรทะเลก็ไล่กวดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ปืนใหญ่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ พวกเขาจึงบรรเทาแรงกดดันจากอสูรร้ายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และนอกจากหลินเซียวจะไม่สามารถช่วยเรือนภากว้างได้แล้ว ตอนนี้เรือของเขาเองก็ยังล่าช้าตามไปด้วย
ขณะที่มองดูอสูรทะเลพากันใกล้เข้ามา ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนหนึ่งก็พลันตะโกนขึ้น “นายท่าน ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ มันจะสายไปนะ !”
หลินเซียวมองดูผู้คนที่อยู่ในเรือนภากว้างและหันไปดูจำนวนอสูรทะเลที่เพิ่มขึ้น หนวดเส้นหนึ่งของแมงกะพรุนรัดอยู่ที่รอบรำเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจของหลินเซียวสั่นสะท้าน… เขาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดและตะโกนขึ้น “ไป !”
เสียงนั้นแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง ความเกลียดชัง และความไม่เต็มใจ
ทว่าทันทีที่คำสั่งนั้นดังขึ้น มวลน้ำขนาดใหญ่ก็พุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ
มวลน้ำนี้แตกต่างไปจากสภาพความแปรปรวนที่เกิดขึ้นจากอสูรทะเลอย่างเห็นได้ชัด มันพุ่งผ่านอสูรทะเลตนหนึ่งไปราวกับลำแสงสีขาวและทะยานขึ้นไปเชื่อมกับสวรรค์ที่เบื้องบน
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกมาจากน้ำนั้น
ที่ด้านหน้าสุดนั้นเป็นชายชราคนหนึ่ง ท่าทางของเขาไม่ได้มีอะไรสะดุดตานัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามวลน้ำขนาดใหญ่นั้นถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของเขา ชายชราขยับด้วยท่าทางสบาย ๆ และมวลน้ำดังกล่าวก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่มันจะหายไป น้ำนั้นกลับกลายสภาพเป็นตาข่ายแสงที่เคลื่อนลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่างอีกครั้ง
อสูรทะเลที่ติดอยู่ในตาข่ายนั้นต่างร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เส้นลวดที่คมกริบราวกับใบมีดของตาข่ายเริ่มหั่นเข้าไปในร่างของอสูรทะเล และไม่ช้ามันก็ตัดร่างเหล่านั้นเป็นชิ้น ๆ อย่างรวดเร็ว
โลหิตสด ๆ พรั่งพรูอาบไปทั่วผืนน้ำ
“เยี่ยมมากตาแก่ !”
ที่ด้านหลังของชายชรามีชายสองคนและหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เสียงที่กล่าวขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นเสียงของหญิงสาวนางนั้นนั่นเอง
“เฟิงหาน !”
“ฉางเหอ !”
คนในเรือที่เบื้องล่าวจำคนเหล่านั้นได้และเรียกชื่อพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
ชายชราคนนั้นก็คือหลินจุ้ยหลิวนั่นเอง
เขาคือผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน การโจมตีจากเขาเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะกำจัดอสูรทะเลจำนวนมากพวกนั้นได้ เขากำลังเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ ขณะที่สังเกตเห็นว่าอสูรทะเลกลุ่มใหญ่กำลังพุ่งตัวมาทางนี้ “พวกเจ้ารออะไรกันอยู่เล่า ออกไปให้พ้นจากตรงนี้เสียสิ ! พวกนี้ยังไม่หยุดดาหน้ากันเข้ามาหรอกนะ และข้าก็ไม่มีเวลาและพลังงานที่จะมาเสียไปกับพวกมันด้วย”
พูดจบชายชราก็เริ่มเรียกลมหวนที่รุนแรงขึ้นเพื่อให้มันพัดเข้าใส่ใบเรือและส่งเรือลำนั้นไกลออกไป
หลินจุ้ยหลิวพาผู้ติดตามทั้งสามคนมาด้วย
หลินเซียวโค้งคำนับให้กับชายชราและกล่าวขึ้น “หลินเซียวสวัสดีท่าน ชื่อเสียงเรียงนามของท่าน….”
เยี่ยเฟิงหานเป็นคนตอบ “นี่คือหลินจุ้ยหลิว”
เมื่อได้ยินว่าชายคนนั้นคือหลินจุ้ยหลิวทุกคนก็ตะลึง
ซูเฉินตามหาชายคนนี้มานานแล้ว ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะมาปรากฏกายขึ้นที่นี่เสียอย่างนั้น
หลินเซียวกำลังจะกล่าวบางอย่างพร้อมกับที่ร่างของหลินจุ้ยหลิวหายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งถัดไปจากเขา ชายชราคว้าแขนของหลินเซียวไว้ ทุกคนเห็นดังนั้นก็ตกใจและคิดว่าหลินจุ้ยหลิวกำลังจะทำอะไรบางอย่าง… แต่หลินเซียวก็หยุดพวกเขาไว้
หลินจุ้ยหลิวหรี่ตา “อีกคนแล้วสินะที่ไม่มีสายเลือด…… ผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณที่ไม่มีสายเลือด ซูเฉินคนนี้ก้าวข้ามขีดจำกัดไปจนถึงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้วเชียวหรือ ?”
หลินเซียวตอบ “มันคือวิชาสู่อมตะ”
“วิชาสู่อมตะ…….ฮ่า ๆ โอหังนัก ! แค่นี้ก็มากพอที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นอมตะได้แล้วหรือ” หลินจุ้ยหลิวหัวเราะและปล่อยแขนของหลินเซียว
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซูเฉินเปรียบเหมือนทวยเทพสำหรับศิษย์นิกายไร้ขอบเขต เขาเป็นผู้ที่มอบโอกาสในการเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดให้กับผู้ที่ไม่มีสายเลือดและเติมเต็มความฝันให้กับพวกเขา การดูแคลนวิชาสู่อมตะของหลินจุ้ยหลิวทำให้หลินเซียวต้องรีบสวนขึ้นทันที “ท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะช่วยชีวิตคนของข้า แต่ข้าก็ไม่สามารถยอมรับการหยามเจ้านิกายของเราได้”
“เจ้ายอมรับไม่ได้แล้วมันทำไมกันหรือ ?” หลินจุ้ยหลิวตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน
ทุกคนผงะ
นั่นสินะ… ยอมรับไม่ได้แล้วมันทำไมกันล่ะ ?
ชายชราเพิ่งช่วยชีวิตพวกเขา ไม่มีทางเลยที่ทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันเพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี้
และต่อให้เกิดการต่อสู้ขึ้นจริง… พวกเขาก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเยี่ยเม่ยก็เคลื่อนไหว…
นางเดินตรงเข้ามาและดึงหูของหลินจุ้ยหลิว “นี่ตาแก่ พูดจาให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไรกัน ทำไมต้องพูดเหมือนจะหาเรื่องคนอื่นเขาอยู่ตลอดด้วย คิดว่าตัวเองเจ๋งเพราะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้อย่างนั้นหรือ”
ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลินจุ้ยหลิวจะไม่พยายามปกป้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขาตอบกลับไปเพียงว่า “ไอ้หยา ปล่อยข้านะ ! ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วข้าก็ประทับใจเหมือนกันที่เขาพาวิชาการฝึกโดยไร้ซึ่งสายเลือดนั่นไปจนถึงด่านผลาญจิตวิญญาณได้ แต่ข้าเองก็มีสิ่งที่กำลังศึกษาเหมือนกัน เขาศึกษาวิชาไร้สายเลือด ส่วนข้าศึกษาสายเลือดผสม ข้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา เข้าใจไหม”
เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว “เฮอะ ! มันมีอะไรน่าอวดนักหรือไรกัน”
นางปล่อยหูของชายชราและออกไปยืนที่ด้านข้าง
หลินจุ้ยหลิวลูบหูป้อย ๆ “ไอ้หยา ทำไมข้าถึงได้โชคร้ายนักนะ นางปีศาจ เจ้าไม่เข้าใจหลักการง่าย ๆ ของการเคารพคนที่แก่กว่าเจ้าเลยหรือไรกัน”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ฟังดูไม่พอใจแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าชายชราจะสนุกสนานไปกับการกระทำของเยี่ยเม่ยอยู่เหมือนกัน
หลินเซียวกล่าว “ราชาแห่งความโกลาหล ท่านมาเวลานี้ก็ดีแล้ว เจ้านิกายขอให้พวกข้าตามหาท่านอยู่พอดี โชคไม่ดีนักที่พวกข้าไม่เคยหาท่านพบเลย ไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะพาให้ข้ามาพบท่านในวันนี้”
“โชคชะตาอะไรกัน” หลินจุ้ยหลิวตอบกลับไปอย่างใจเย็น “แม่สาวน้อยคนนั้นทำให้ข้ารำคาญใจนัก ข้าก็เลยตกลงที่จะมาด้วยถึงนี่ ไม่อย่างนั้นแล้วข้าคงทำการวิจัยของข้าอย่างมีความสุขแล้วละ ทำไมข้าจะต้องเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้ด้วย”
หลินเซียวชะงักไป “แต่ท่านไม่อยากพบและพูดคุยกับท่านเจ้าสำนักหรือ เจ้าสำนักเป็นคนที่รอบรู้ที่สุดในทวีปนี้……”
“รอบรู้แล้วอย่างไรล่ะ ข้าจำเป็นต้องคุยกับเขาหรือไร เขาเดินบนเส้นทางไร้สายเลือด ส่วนข้าเลือกทางเลือดผสม สองทางนี่ไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด” หลินจุ้ยหลิวตอบห้วน ๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครบางคนแทรกขึ้นมา “ขออภัยด้วย แต่ข้าเองก็ศึกษาเลือดผสมอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน”
“หือ” ดวงตาของหลินจุ้ยหลิวเป็นประกาย เขาไม่พูดอะไรและหันหน้าไปพร้อมกับปล่อยฝ่ามือออกมาจากด้านหลัง
ตู้ม !
ภาพลึกลับปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ภพขนาดย่อมจาก 7 สายเลือดเทพอสูรแสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง และรังสีแห่งความสง่างามของมันก็ได้แผ่ออกไปในทุกทิศทาง
ฝ่ามือของหลินจุ้ยหลิวถูกขัดขวางไว้
“เจ้านิกาย ! ท่านเจ้านิกายมาแล้ว !”
ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
หลินจุ้ยหลิวค่อย ๆ หันหน้าไปหาผู้ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ…จะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่ซูเฉิน !
ซูเฉินปรากฏตัวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ก็เพราะวิชาภูติลั่นแสง และทันทีที่เขารับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มก็ส่งร่างตัวเองมาที่นี่เพื่อจัดการกับสถานการณ์ทันที
แต่เขาไม่คิดว่าจะพบเยี่ยเม่ยกับคนอื่น ๆ และราชาแห่งความโกลาหลที่ตัวเองตามหามานานที่นี่ด้วย
สิ่งแรกที่ราชาแห่งความโกลาหลทำเมื่อเห็นซูเฉินก็คือปล่อยฝ่ามือออกมาโจมตีใส่เขา
ฝ่ามือนั้นพุ่งเป้ามาจากระยะที่ห่างจากซูเฉินไปราว 30 จั้ง แม้ว่ามันจะไม่ได้ปะทะเข้ากับร่างของเขาโดยตรง แต่ฝ่ามือนั้นก็ทรงพลังพอที่จะบีบให้ลักษณ์ 7 สายเลือดปรากฏออกมา การปะทะที่รุนแรงนั้นส่งผลให้เกิดเป็นคลื่นพลังกระจายออกไปทั่วบริเวณ
ซูเฉินยังคงดูท่าทางใจเย็น แต่อันที่จริงแล้วหัวใจของเขากำลังเต้นอย่างแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว
พลังต้นกำเนิดที่พาดผ่านตัวเขาไปนั้นกว้างขวางราวกับผืนทะเล
หลินจุ้ยหลิวเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่ซูเฉินสามารถต้านทานฝ่ามือของเขาได้ก็เพราะลักษณ์ 7 สายเลือดที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพราะหลินจุ้ยหลิวไม่ได้ปล่อยพลังออกไปอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
หลินจุ้ยหลิวหันหน้าไปอย่างช้า ๆ “เจ้าคือซูเฉินหรือ ?”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” ซูเฉินยิ้ม
หลินจุ้ยหลิวหัวเราะ “เจ้าต้านทานกับฝ่ามือที่มีพลัง 20 ส่วนของข้าได้ ไม่เลวเลยนะ… ไม่เลวเลย หือ นี่มัน…”
เขาพลันต้องอ้าปากค้างเมื่อสังเกตเห็นลักษณ์ 7 สายเลือดที่รอบตัวซูเฉิน ชายชรากล่าวต่อไป “นี่มันรังสีของเฟิงเหย่ารวมกับความงามของเมิ่งเจียวและ…..พลังของลั่วโหยว! เจ้ารวมพลังของสายเลือดเทพอสูรทั้งเจ็ดได้อย่างนั้นหรือ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน พวกนั้นไม่ใช่สายเลือดนี่ !”
สมองของหลินจุ้ยหลิวทำงานอย่างหนักขณะที่เขาคิดกลับไปกลับมาถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ
ฟึ่บ !
ลักษณ์นั้นจางหายไป
ซูเฉินหัวเราะ “ความรู้ความเข้าใจของท่านน่าประทับใจจริง ๆ ราชาแห่งความโกลาหลพวกนี้ไม่ใช่สายเลือดอย่างที่ท่านว่า แต่ก็เกิดมาจากสายเลือด ข้าเรียกพวกมันว่าลักษณ์”
“ลักษณ์หรือ ? มันต่างจากสายเลือดอย่างไรกัน” หลินจุ้ยหลิว ถามกลับไปทันที
“พลังของสายเลือดมาจากแหล่งภายนอก ในขณะที่พลังของลักษณ์นั้นสามารถฝึกกันได้”
“ถ้าเช่นนั้นลักษณ์ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการฝึก แล้วถ้าอย่างนั้นมันเกี่ยวอะไรกับสายเลือดล่ะ”
“พวกมันถือเป็นส่วนขยายของสายเลือด แก่นของสายเลือดจะถูกสกัดออกมา ส่วนสายเลือดก็จะถูกละทิ้งไป”
“แล้วเจ้าสกัดแก่นของสายเลือดออกมาและทิ้งสายเลือดไปได้อย่างไรกัน ?”
“เรื่องนั้นมันซับซ้อนนัก หากท่านสนใจที่จะรู้เพิ่มเติม ทำไมเราไปนั่งคุยกันสักหน่อยล่ะ” ซูเฉินถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม
หลินจุ้ยหลิวหงายหน้าขึ้นและหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ข้าน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ข้าคิดว่าแม่ทัพจงอาจติดขัด ใช่ไหม ?”
หลินจุ้ยหลิวถูกเนรเทศโดยจงเจิ้นจวินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงไม่ดีเอาเสียเลย
หากหลินจุ้ยหลิวต้องการที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ด้วย จงเจิ้นจวินก็คงไม่พอใจอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าหลินจุ้ยหลิวจะเข้าใจสถานการณ์ของทัพเรืออยู่แล้ว เขาถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินกลับยิ้มและกล่าวตอบว่า “หากท่านราชาแห่งความโกลาหลยินดีที่จะมากับข้า แม่ทัพจงก็คงไม่มีปัญหาเรื่องนั้นหรอก”
“หือ ?” หลินจุ้ยหลิวมองหน้าซูเฉินด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเขาก็พบว่าชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้นด้วยความมั่นใจและดูเหมือนจะไม่มีความกังวลใด ๆ เลยว่าจะต้องขัดใจคนอื่น
…แม้แต่จงเจิ้นจวินก็ยังต้องยอมเขาเลยหรือนี่ ?
หลินจุ้ยหลิวจึงแทบจะเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที