ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 34 งานวิจัย (2)
บทที่ 34 งานวิจัย (2)
การค้นคว้าจิตใจนั้นแตกต่างจากการวิจัยประเภทอื่น ๆ
มันไม่ได้เป็นในเชิงกายภาพ วิธีเดียวในการค้นคว้ามันจึงต้องผ่านวิธีการที่ไม่เป็นกายภาพ
และธรรมชาติอันสุดแสนจะเข้าใจยากของมันก็ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะใช้เนตรมองโลกจุลภาคได้ คราวนี้ซูเฉินจึงจะต้องค้นคว้าหาคำตอบด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
เมื่อเขาใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตากับซ่างหลี่ ซ่างหลี่ก็ตกลงสู่แดนความฝันแปลกประหลาด ซูเฉินติดตามเขาเข้าไปอย่างใกล้ชิดในแดนความฝันด้วยเช่นกัน แต่เป็นในฐานะผู้เฝ้าดู
เขาไม่ได้เข้าไปในทะเลความรู้ของซ่างหลี่ แต่เขากลับเข้าไปในแดนความฝันเอง
นี่เป็นเพราะทะเลความรู้คือสถานที่สำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเกราะป้องกันหลายชั้น และแดนความฝันนี้ก็เป็นหนึ่งในชั้นนอก
จิตใจของซ่างหลี่กำลังต่อต้านคนนอกตามสัญชาตญาณ สิ่งที่ซูเฉินทำได้จึงมีเพียงแค่เข้าไปในแดนความฝันก่อนเป็นอย่างแรก
แดนความฝันของซ่างหลี่ดูเหมือนโลกอันกระจัดกระจายที่สร้างขึ้นโดยฟองอากาศ ฟองอากาศเหล่านี้อยู่ทุกหนแห่ง และแต่ละฟองก็บรรจุโลกหลากสีสันที่เปิดเผยเวลา ตำแหน่ง และสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ซูเฉินรู้ดีว่าแดนจิตใจของคนส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ ในทุก ๆ วินาที ความทรงจำใหม่แสนประหลาดจะถูกสร้างขึ้น และความทรงจำเหล่านี้ก็จะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของฟองอากาศซึ่งอาจแตกออกเมื่อไรก็ได้ เจ้าความจำเหล่านี้จะเดินทางไปทั่วทั้งโลกฟองอากาศใบนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกเขาสร้างแดนความฝันที่แปลกประหลาดขึ้นมา
ความฝันเหล่านี้ยังเป็นเหมือนเขาวงกตที่คอยปกป้องทะเลความรู้ของซ่างหลี่อีกด้วย หากซูเฉินไม่สามารถนำทางผ่านเขาวงกตนี้ไปได้ เขาก็จะไม่สามารถแอบแฝงเข้าไปได้เช่นกัน
แต่ในตอนที่เขากำลังจะเคลื่อนไหวนั่นเอง หนึ่งในฟองอากาศก็กลับกลายเป็นร่างปีศาจดุร้ายและพุ่งออกมากัดซูเฉินอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อมันเปิดปากออกกว้าง ร่างปีศาจก็กลายร่างเป็นทะเลเลือดและพุ่งตรงมายังซูเฉิน
ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกเมื่อเขาเห็นสิ่งนั้น “เผ่าวิญญาณ หึ ?”
เขาดูจะไม่แยแสแม้แต่น้อย ขณะที่ทะเลเลือดกำลังจะกลืนกินเขาเข้าไปนั่นเอง แสงสว่างจ้าก็เริ่มส่องออกมาจากร่างของซูเฉินดังอรุณฉาย แสงของมันขับไล่ความมืดมิดของราตรีจากหายไป ร่างปีศาจนั้นร้องโหยหวนขณะที่ทะเลเลือดเริ่มเดือดพล่าน
“สารเลว !” วิญญาณของราตรีชนคำรามลั่นขณะที่มันพยายามจะคืนร่างเดิม คราวนี้มันใช้รูปร่างของยักษ์สูงกว่า 9 พันจั้ง ยักษ์นั้นเวี่ยงแขนของมันแหวกอากาศและทำลายฟองอากาศความทรงจำของซ่างหลี่ไปจำนวนนับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกัน ฟองอากาศขนาดใหญ่ก็เข้าห่อหุ้มมันและซูเฉินไว้ ในอีกคำพูดหนึ่ง พวกเขาได้เข้าไปในเขาวงกตความฝันของซ่างหลี่โดยสมบูรณ์และได้กลายเป็นตัวละครหลักในความฝันของเขาเสียแล้ว
“ตายซะ ! นี่คือเขตแดนของข้า !” ภาพฉายของจิตวิญญาณราตรีชนเห่าหอนขึ้น รัศมีที่เยือกเย็น ชั่วร้าย และทรงพลังเริ่มเข้าปกคลุมซูเฉินโดยทะลวงลึกเข้าไปในร่างของเขา
“ข้าว่าไม่ใช่นะ” ซูเฉินตอกกลับ
ตอนนี้เมื่อเขาได้เปิดตำหนักเซียนของตนเองแล้ว เขาจึงสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทพลังจิตได้ตามใจชอบ และความเชี่ยวชาญของเขาในวิชาอาร์คาน่าพลังจิตก็อยู่ในระดับ 10 แล้วเช่นกัน
พลังจิตของซูเฉินนั้นทรงพลังยิ่งกว่าคนในรุ่นเดียวกันหลายเท่าเพราะทักษะลับและคลังยามากมายของเขา ชายหนุ่มจึงไม่เกรงกลัวในการต่อสู้กับเผ่าวิญญาณแม้แต่น้อย
ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่ลังเลที่จะเริ่มการปะทะกับวิญญาณราตรีชนนั้นในทันที
ความมั่นใจในตัวเองที่แข็งแกร่งเริ่มปรากฏขึ้นในแดนความฝันของซ่างหลี่ ตอบโต้รัศมีโบราณแสนชั่วร้ายที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยจิตวิญญาณชาวราตรีชน ทั้งสองดวงวิญญาณปะทะกันอย่างรุนแรงในแดนความฝันนี้ ระเบิดและปลดปล่อยพลังนามหาศาลน่าเหลือเชื่อออกมา โชคดีที่การระเบิดนี้เป็นเพียงในระดับจิตใจเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น คลื่นพลังที่เงียบงันก็ระเบิดฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่างหลี่มีในบริเวณโดยรอบ
แต่เพราะฟองอากาศความฝันเหล่านี้มาจากหัวใจของซ่างหลี่ กลุ่มฟองอากาศใหม่จึงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อแทนที่ฟองเก่า ตราบใดที่หัวใจของซ่างหลี่ไม่ถูกแตะต้อง เขาก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ภายใต้ของจิตวิญญาณชาวเผ่าวิญญาณนั้น ฟองอากาศเหล่านี้เริ่มพวยพุ่งออกมาและก่อเป็นกำแพงหนาที่ประกอบร่างขึ้นเองในรูปแบบของเขาวงกต ซูเฉินพบว่าเขาเผชิญเข้ากับทางตันในทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าเอาชนะวิชาผนึกวงกตรุ้งของข้าไม่ได้ เจ้าก็จะไม่มีวันค้นพบความลับของพวกเราหรอก !” ดวงวิญญาณนั้นหัวเราะ
“ช่างน่าสนใจนัก แต่นี่ก็ไร้สาระเหมือนกันนะ” ซูเฉินตอบ “ถ้าข้าไม่สามารถทำลายมันได้ งั้นข้าก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ยังไงข้าก็จะค้นคว้าเท่าที่ข้าทำได้ เริ่มจากผนึกวงกตรุ้งของเจ้าเลยก็แล้วกัน ข้าชำนาญมันเมื่อไร ข้าก็จะสามารถทำลายมันได้เอง”
ซูเฉินไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาลอยอยู่เบื้องหน้ากำแพงของผนึกวงกตรุ้ง หลงอยู่ในห้วงความคิด
กำแพงที่กำลังขัดขวางการทำงานของเขาถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนความฝันนับไม่ถ้วนที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของดวงวิญญาณที่พยายามจะทำลายความตั้งใจของเขา แต่ในสายตาของซูเฉิน ที่จริงแล้วกำแพงนี้ไม่ใช่เกราะป้องกัน กลับกัน มันคือเป้าหมายการค้นคว้าที่คุ้มค่ากับการวิเคราะห์ในตัวของมันเอง
“นี่… เจ้า… กล้าดีขนาดนี้เลยหรือ ?” เห็นได้ชัดว่าเผ่าวิญญาณตนนั้นไม่คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะตอบโต้กลับมาเช่นนี้และตะลึงงันไปในทันที
อย่างไรนี่ก็คือซูเฉิน
นี่คือคุณสมบัติทั่วไปที่นักวิจัยคนใดก็จำเป็นต้องมี
งั้นเจ้าก็พยายามที่จะสร้างเกราะป้องกันเพื่อกีดกันข้าจากการเดินหน้าสินะ ?
ขอโทษด้วนนะ แต่ความลำบากใดก็ตามที่ข้าเผชิญเพียงแต่จะกลายเป็นเป้าหมายการวิจัยที่มากขึ้นให้กับข้าเท่านั้น
ถ้าเจ้ามีสิ่งกีดขวางอื่นใดที่จะมาวางไว้ตรงหน้าข้า เจ้าควรจะนำพวกมันออกมาเสียตอนนี้เลย
ซูเฉินยืนอยู่อย่างสงบนิ่งในวงกตนั้นขณะที่กำลังตรวจสอบส่วนประกอบของชิ้นส่วนความฝันทั้งหลาย
เขาไม่ได้พยายามที่จะรู้ถึงแผนผังของเขาวงกต อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นเพียงการเล่นเกมทายปริศนาเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการทำคือรู้ถึงการเชื่อมต่อระหว่างแดนความฝันนี้และจิตใจของชาวเผ่าวิญญาณเพื่อที่จะตามหาวิธีการที่เผ่าวิญญาณตนนั้นควบคุมซ่างหลี่อยู่
ซูเฉินต้องการที่จะเข้าใจในหลักการเบื้องหลังการทำงานของบางสิ่งก่อนเสมอ เมื่อเขาเข้าใจหลักการเหล่านั้นแล้ว มันก็ไม่ยากเลยที่จะลบล้างวิชานี้ ซูเฉินไม่จำเป็นต้องพยายามหาเส้นทางออกมาจากเขาวงกตตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
จิตใจของเผ่าวิญญาณนั้นนึกถึงสิ่งนี้ขึ้นได้และกล่าวอย่างโกรธแค้น “เจ้าจะไม่พยายามช่วยซ่างหลี่หรือ ? ข้าได้จองจำจิตใจของเขาไว้ลึกในทะเลความรู้ของเขา มีเพียงการบุกเข้าไปเท่านั้นที่จะพาเจ้าไปช่วยเขาได้”
“นั่นแหละทีข้ากำลังจะทำ เพียงแค่เข้าใจวิธีที่เผ่าวิญญาณอย่างเจ้าควบคุมผู้คน ข้าก็จะสามารถปล่อยเขาเป็นอิสระจากการควบคุมของเจ้าและช่วยเขาไว้ได้” ซูเฉินตอบ
“แต่เจ้าจะช่วยด้วยแค่การวิจัยไม่ได้หรอก ! เจ้าต้องใช้กำลังสิ !”
“ถ้าแบบนั้นข้าก็แค่จะติดกับดักเจ้าไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ? เจ้าคิดว่าข้าต้องช่วยเหลือทุกชีวิตเพียงเพราะข้าเป็นนักปราชญ์หรือ ? อย่าลืมสิว่าข้าก็สังหารไปหลายชีวิตเช่นกัน ข้าสังหารคนให้น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้เพื่อความดีงาม ข้าอย่างช่วยซ่างหลี่ก็จริง แต่ข้าจะไม่ติดกับดักของเจ้าแทนเขา เพื่อที่จะทำลายการควบคุมของเผ่าวิญญาณเหนือเผ่ามนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้ายินดีที่จะเสียสละตามที่จำเป็น ข้าจึงยิ่งกว่ามีความสุขที่จะทำไปอย่างช้า ๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามใช้ศีลธรรมในการหลอกล่อข้าให้รีบร้อนหรอก เพราะข้าจะไม่หลงเชื่อมัน”
ขณะที่พูด เขาก็กลับไปสนใจกำแพงเขาวงกตตรงหน้า วิเคราะห์หาวิธีการที่กำแพงก่อตัวขึ้น จิตใจของเขาเองสลับไปมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ชายหนุ่มพยายามเลียนแบบพลังของศัตรู
จิตของเผ่าวิญญาณนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น มันรวบรวมพลังของมันขึ้นอีกครั้ง และฟองอากาศโดยรอบก็เริ่มระเบิดออก ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากฟองอากาศที่แตกออกและพุ่งตรงไปยังซูเฉินราวกับเกลียวคลื่น
สิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมาผ่านความฝันที่แปลกประหลาดของซ่างหลี่ แต่เผ่าวิญญาณนั้นสามารถปล้นชิงพวกมันมาเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวได้
เมื่อซูเฉินเห็นดังนั้น เขาก็ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นผลหรอก”
เขาหายใจออกอย่างแผ่วเบา เกิดเป็นพายุลมหนุมออกมาจากอากาศบางเบาที่เริ่มแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้สิ่งมีชีวิตความฝันเหล่านั้นถูกส่งลอยออกไปในทันที
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีตัวตนเป็นภาพลวงตา พวกมันไม่มีความแข็งแกร่งจริง ๆ ให้พูดถึง ลมจิตใจของซูเฉินจึงยิ่งกว่าเพียงพอที่จะฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ในตอนนั้นเอง อสูรประหลาดตัวหนึ่งที่สร้างขึ้นจากหมอกสีดำก็กระโดดผ่านลมพายุโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน
“หืม ?” ซูเฉินก็ตกตะลึงเช่นกัน ดวงตาของเขากะพริบสายฟ้าออกมา ไม่นานหลังจากนั้น สายฟ้าฟาดก็ปรากฏขึ้นในแดนจิตใจนี้และกระแทกเข้ากับสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้น ส่งให้มันร่วงลงไปที่พื้นเบื้องล่าง ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตนั้นก็ไม่ท้อถอย มันกลับขู่คำรามและเข้าจู่โจมซูเฉินต่อไป เสียงคำรามของมันสามารถทำให้ซูเฉินรู้สึกมึนหัวได้ด้วยซ้ำ
“หมอกอลเวงและวิญญาณโกลาหลร่ำไห้หรือ ? เจ้ามีฝีมือทีเดียวนะ” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
เผ่าวิญญาณนั้นกำลังใจทักษะจิตใจต้นกำเนิดกับเขาอย่างเห็นได้ชัด
โลกจิตใจนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทักษะจิตใจต้นกำเนิดสามารถเป็นรูปธรรมขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมนี้ ส่งผลให้เกิดการโจมตีทางกายภาพ
แต่ซูเฉินในปัจจุบันก็ไม่ได้รับมือง่ายเช่นกัน และเขาก็มีทั้งทักษะจิตใจต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าเก็บไว้อีกด้วย
ซูเฉินคงจะไม่สนใจหากเผ่าวิญญาณนั้นเพียงแค่พยายามหยุดเขาด้วยเขาวงกต แต่เขายิ่งกว่ายินดีที่จะเข้าปะทะหากมันต้องการ
ดวงตาของเขาส่องแสงสว่างขณะที่อีกหนึ่งสายฟ้าพุ่งลงมาจากท้องนภา ฟาดลงที่อสูรหมอกทมิฬ เจ้าอสูรร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและเริ่มจางหายไป กลับกลายเป็นกองทหารสวมเสื้อผ้าสีดำ ในเวลาเดียวกัน ฟองอากาศความฝันโดยรอบก็เริ่มแตกออกอีกครั้ง และอสูรร้ายนับไม่ถ้วนก็พลันถาโถมเข้ามาในแดนความฝัน
ซูเฉินโบกมือขึ้นตรงหน้า “ทหาร หน้าเดิน”
แนวทหารเกราะสีทองปรากฏขึ้นจากอากาศ ตั้งขบวนเรียบร้อยและเริ่มออกเดินหน้า จิตใจของซ่างหลี่ได้กลับกลายเป็นสนามรบไปในทันใด
จิตใจเผ่าวิญญาณร้องโอดครวญ และมังกรบินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า
ซูเฉินก็ออกท่าทางเช่นกัน ปลุกชีพให้ฝูงอสูรมากมายมีชีวิตขึ้นและเข้าร่วมสนามรบด้วย
ไม่กี่วินาทีต่อมา คลื่นเปลวเพลิงก็โหมเข้าสู่สนามรบ ทำให้กองทหารของซูเฉินกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซูเฉินปลดปล่อยสายน้ำเชี่ยวกรากที่กวาดล้างกองกำลังของเผ่าวิญญาณออกไปจนหมดสิ้นในทันที
อีกฝ่ายเริ่มปลดปล่อยสายฟ้าและพายุฝนออกมาบ้าง ในขณะที่ซูเฉินตอบโต้โดยการทำให้พื้นดินที่เหยียบอยู่สั่นไหวอย่างรุนแรง
ทั้งสองฝ่านยังคงปลดปล่อยวิชาจิตใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดการร่ายวิชาที่แตกต่างกันมากมาย สงครามนี้ทั้งดูสมจริงและไม่สมจริงไปในเวลาเดียวกัน
กลุ่มควันขโมงลอยขึ้นไปในอากาศเหนือสนามรบขณะที่เฟลวไฟเริ่มลุกโชนขึ้น แผ่ขยายไปทุกทิศทาง
ตู้มตู้มตู้มตู้ม !
สายฟ้าฟาดลงมาบนพื้นดินอย่างรุนแรง เปลวไฟโหมกระหน่ำ สายน้ำเดือดพล่าน และพื้นดินที่สะเทือนและสั่นไหว
โลกจิตใจสามารถฟื้นฟูตนเองได้แม้ว่าจะถูกทำลายลง
ดังนั้น สงครามของซูเฉินกับเผ่าวิญญาณจึงทำลายโลกจิตใจของซ่างหลี่ลงไปหลายครั้งแล้ว แต่ในแต่ละครั้งมันก็จะฟื้นฟูตัวเองกลับคืนมาเช่นกัน
ฝ่ายหนึ่งมีความเป็นเจ้าของเป็นข้อได้เปรียบ ในขณะที่อีกฝ่ายมีจิตใจที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีฝ่ายใดสามารถสร้างรอยขีดข่วนให้กับอีกฝ่ายได้เสียด้วยซ้ำ
ไม่นานต่อมา จิตใจเผ่าวิญญาณก็เป็นฝ่ายหมดกำลังและหยุดจู่โจมลงเอง
สายลมรุนแรงเริ่มซาลง และฟองอากาศความฝันก็เริ่มปรากฏขึ้นใหม่ ก่อเกิดเป็นเขาวงกตขึ้นอีกครั้ง
วิญญาณราตรีชนเอ่ยขึ้น “จิตใจของเจ้าทรงพลังกว่าที่ข้าคาดไว้นะ ซูเฉิน ข้าละอัศจรรย์ใจจริง ๆ”
“ความอัศจรรย์ใจของเจ้ามีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ข้าบอกได้เลย…”
“เห้ออ” เผ่าวิญญาณถอนหายใจ “แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถบุกฝ่าเขาวงกตความฝันได้ง่ายนักหรอก และเจ้าจะหาตัวข้าได้ยากยิ่งกว่านั้นเสียอีก ข้าซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกับอสรพิษที่แฝงอยู่ในพงหญ้าสูง ในจังหวะที่ถูกต้องข้าจะจู่โจม ปลิดลมหายใจของเจ้า”
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้ามีเรื่องให้แปลกใจอีกมากมาย ทำไมเจ้าต้องรีบถอยทัพนักล่ะ ?” ซูเฉินขำคิกคัก
ขณะที่พูด เขาก็แตะฟองอากาศความฝันข้าง ๆ เขา
ฟองอากาศความฝันถูกทำลายลง แต่น่าแปลกที่ไม่มีฟองอากาศใหม่ลอยกลับขึ้นมาทดแทน
ซูเฉินสามารถเคลื่อนผ่านกำแพงฟองอากาศเหล่านี้ไปได้โดยสมบูรณ์อย่างน่าตกตะลึง ทำให้เขาสามารถเดินตรงไปในทิศทางหนึ่งได้ หากฟองอากาศความฝันฟองใดเข้ามาขวางทาง เขาก็จะทำลายพวกมันลงด้วยการจิ้มนิ้วธรรมดา ๆ ทำให้เขาสามารถเดินทางต่อไปในเขาวงกตนี้ได้อย่างง่ายดาย
“เป็น… เป็นไปได้ยังไง ?” ดวงวิญญาณนั้นร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
“ไม่จำเป็นต้องตกใจหรอก สำหรับเจ้า การต่อสู้อาจมีเพียงแค่นั้น แต่สำหรับข้า การต่อสู้เป็นเพียงส่วนประกอบในงานวิจัยของข้า ตอนนี้เมื่อการต่อสู้จบลงแล้ว งานวิจัยของข้าก็จะเริ่มออกดอกออกผลด้วย” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มบาง
“ไม่มีทางที่เจ้าจะทำได้เร็วขนาดนั้นหรอก”
“ข้าทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเสมอ… เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะตามความเร็วของข้าให้ทันแล้วละ” ขณะที่ซูเฉินพูด เขาก็แตะปลายนิ้วลงบนกำแพงฟองอากาศชั้นสุดท้าย
กลุ่มฟองอากาศแตกออก เผยให้เห็นทะเลความรู้หลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ซูเฉินก้าวผ่านกำแพงไป