ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 35 2 ปี
บทที่ 35 2 ปี
เมื่อเข้าไปในทะเลความรู้ การป้องกันโดยรอบจิตใจของซ่างหลี่ก็พังทลายลงทันที
กลุ่มหมอกสีดำหนาแน่นยังคงอยู่เหนือทะเลความรู้ของซ่างหลี่ ปฏิเสธที่จะจางหายไป เสียงหนึ่งเห่าหอนออกมาจากหมู่เมฆควัน “อย่าแม้แต่จะคิดที่จะช่วยชีวิตเขา ! นอกจากความตาย ไม่มีใครสามารถเอาเขาไปจากข้าได้ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !”
เสียงหัวเราะนี้ทั้งน่าหวาดกลัวและเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง
“ช่วยชีวิตเขา ? นั่นมันวิธีปลอบใจตัวเองโง่ ๆ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าไม่ยืนยันที่จะช่วยชีวิตเขา… ข้าแค่อยากจะศึกษาเขาอีกสักหน่อย” ซูเฉินกล่าวอย่างเหยียดหยัน
“เขาเป็นคนของเจ้านะ !” เผ่าวิญญาณตนนั้นกล่าวด้วยความโกรธเคืองและตะลึงงัน
“ใช่แล้ว นั่นแหละเหตุผลที่ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเขา แต่ถ้าข้าไม่แข็งแกร่งมากพอ งั้นข้าก็ทำได้แค่ละทิ้งเขา ข้าควรเปลื้องผ้าและร้องไห้แทนเขาหรือไงล่ะ ?” ซูเฉินตอกกลับ
“แต่เจ้าไม่ได้พยายามให้ดีที่สุดเสียหน่อย”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่พยายาม ? ข้าต้องเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย และยังใช้เวลาหลายชั่วยามกับพลังงานเพื่อให้นับว่าข้าทำดีที่สุดน่ะหรือ ? อีกอย่าง เจ้าคือคนที่ทำร้ายเขาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ข้า เจ้าคิดว่าข้ายังพยายามช่วยเขาไม่พออีกหรือ ? ช่างบ้าบอและย้อนแย้งสิ้นดี !” ซูเฉินหัวเราะด้วยความดูถูก
แม้ว่าชาวเผ่าวิญญาณจะเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อซ่างหลี่ เขาก็ยังมีหน้าจะไปวิจารณ์ซูเฉิน
ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือความจริง สำหรับเผ่าวิญญาณแล้ว ยิ่งซูเฉินให้คุณค่าต่อซ่างหลี่และหน้าที่ทางศีลธรรมของตัวเองมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น
ซูเฉินคิดได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาทำได้ เขาจึงหยุดลง ส่วนฝ่ายเผ่าวิญญาณนั้นต้องผิดหวังกับซูเฉินผู้ไม่ยืนยันที่จะบุกต่อ และกระทั่งเริ่มติติงซูเฉินถึงพฤติกรรมของเขา
นี่ทั้งน่าขบขันและไร้สาระทีเดียว แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกัน
ซูเฉินไม่ได้สนใจว่าศัตรูของเขาจะรู้สึกอย่างไรแม้แต่น้อย
อย่างที่เขาพูดไว้ เขาจะทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยซ่างหลี่ แต่หากไม่สามารถเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ ในแผนกลอุบายที่ยิ่งใหญ่ ซ่างหลี่ไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น และซูเฉินก็ไม่มีความตั้งใจที่จะดื้นด้านเดินไปตามเส้นทางที่ผิดเพื่อชีวิตของชายคนเดียว กลับกัน เขาตั้งใจที่จะขยายสถานการณ์อย่างระมัดระวังและปฏิบัติเช่นนั้น
ทะเลความรู้ของซ่างหลี่ได้ถูกยึดครองโดยเผ่าวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องช่วยเหลือเขาได้อย่างยากลำบากแน่ ๆ
ซูเฉินยอมละทิ้งการไปช่วยเหลือซ่างหลี่ เขาเพียงแค่เข้าไปในทะเลความรู้ของซ่างหลี่เพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลเท่านั้น
หมอกสีดำยังคงอยู่เหนือทะเลความรู้ของซ่างหลี่และดวงวิญญาณราตรีชนก็ได้แทรกซึมเข้าไปในทุกซอกและมุมในจิตใจของซ่างหลี่โดยสมบูรณ์ มันจึงสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนให้ไปโจมตีซูเฉินได้อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มไม่ได้เกรงกลัว อีกฝ่ายไม่สามารถสังหารเขาได้ด้วยเช่นกัน การต่อสู้จึงเป็นเรื่องเสียเวลาโดยสูญเปล่า ดังนั้นแล้ววิญญาณดวงนั้นจึงได้แต่กู่ร้องอย่างไร้จุดหมาย
แต่ขณะที่เผ่าวิญญาณตะโกนโหวกเหวก ซูเฉินก็ยังคงทำการค้นคว้าต่อไป เขาไม่สามารถใช้เนตรมองโลกจุลภาคของตนได้ แต่ผลึกวิญญาณของเขานั้นถูกใช้งานอย่างเต็มที่ขณะที่ชายหนุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่หาได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นปราชญ์ประเภทไหนกัน ? เหมือนพวกเจ้าเล่ห์เหลี่ยมมากกว่า” เผ่าวิญญาณยังคงพร่ำบ่นต่อไป พยายามที่จะรบกวนซูเฉิน แต่มันไม่รู้เลยว่าการกระทำของมันนั้นไร้ประโยชน์ต่อซูเฉิน
ซูเฉินยิ้มหวาน “ข้าถูกเรียกว่าปราชญ์ไม่ใช่เพราะศีลธรรมของข้าแต่เพราะผลงานที่ข้าสร้างไว้ต่อเผ่ามนุษย์ต่างหากล่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ? งั้นทำไมเจ้าไม่ให้ข้าดูสักหน่อยล่ะว่ากำลังค้นคว้าอะไรอยู่ ?”
ซูเฉินตอบด้วยความจริงใจ “ข้ากำลังพยายามจำกลิ่นของเจ้าและรับความรู้สึกถึงชีพจรวิญญาณของเจ้า”
“อะไรนะ ?” เผ่าวิญญาณตะลึงงัน
ซูเฉินเงยหน้าขึ้น เขามองไปยังทะเลความรู้เบื้องหน้า “เจ้าแทรกแซงที่แห่งนี้ไปแล้ว แต่แม้ว่าข้าจะไม่สามารถไล่เจ้าออกไปได้เสียทีเดียว ข้าก็จำความแข็งแกร่ง ความผันผวน รัศมี และอื่น ๆ ของเจ้าได้…… เจ้าวิญญาณ เจ้าชื่ออะไร ? ที่จริงพวกเจ้ามีกัน 2 คนใช่ไหมล่ะ ?”
วิญญาณนั้นไม่ได้เอ่ยปากแต่อย่างใด
ซูเฉินหัวเราะ “ไม่เป็นไรนะถ้าเจ้าไม่อยากบอก ตอนนี้ในเมื่อข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้…… ข้าจะจับเจ้าเร็ว ๆ นี้แหละ”
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของซูเฉินก็กะพริบขณะที่เขาหายวับไปจากจิตใจของซ่างหลี่
เขากลับมาแล้ว !
อย่างนั้นเลย
ภายในห้องวิจัย ร่างกายของซูเฉินสั่นไหวขณะที่ดวงตาของเขาได้รับจิตวิญญาณกลับคืนมาอีกครั้ง จิตใจของชายหนุ่มได้กลับเข้าสู่ร่างแล้ว
เขาตบซ่างหลี่เข้าที่อก ทำให้อีกฝ่ายหมดสติไป
ซูเฉินเดินออกมาจากห้องวิจัย
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตในบริเวณโค้งคำนับเพื่อทักทายเมื่อพวกเขาเห็นซูเฉินปรากฏตัวขึ้น “เจ้านิกาย !”
“รวมพลทั้งกองทัพ เดี๋ยวนี้ !”
เหล่าศิษย์ต่างตกตะลึง พวกเขากำลังจะเข้าสู่สนามรบหรือ ? แต่พวกเขาก็ยังลุกลี้ลุกลนทำตามคำสั่งของเจ้านิกาย
หวูด !!!
สัญญาณหอยสังข์ถูกเป่าขึ้นอีกครั้ง
กองเรือเริ่มรวมตัวกันเข้ามา
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมซูเฉินจึงได้เรียกรวมพลทุกคนพร้อมกันอย่างกะทันหัน แต่เนื่องจากซูเฉินได้ออกคำสั่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเชื่อฟัง
เรือทั้งหมดของกองทัพออกจากท่าอย่างพร้อมเพรียงกัน ทหารทั้งหลายยืนอยู่บนเรือตามระเบียบ ณ จุดนี้กองทัพเรือเป็นเหมือนเครื่องจักรที่เคลือบน้ำมันอย่างดี และกระบวนการรวมพลก็ไหลลื่นไร้ปัญหา
หลี่ฉงซานและพรรคพวกบินเข้ามาและถามซูเฉิน “เกิดอะไรขึ้น ?”
แต่ซูเฉินก็ยกนิ้วมือขึ้นและส่งเสียงบอกให้พวกเขาเงียบขณะที่ชายหนุ่มบินไปยังเรือลำแรก
กองทหารยืนตามระเบียบอยู่บนพื้นเรือ ซูเฉินเดินผ่านพวกเขาไปทีละคน ราวกับว่าตนคือครูฝึกทหารที่กำลังตรวจสอบกองร้อย
“เกิดอะไรขึ้น ?” จงเจิ้นจวินตรงเข้ามาถาม
ซูเฉินไม่ได้ตอบแต่อย่างใด กลับกัน หลังจากที่เขาทำการตรวจสอบเรือเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็บินตรงไปยังเรือลำถัดไปและยังคงตรวจสอบต่อ ราวกับว่ากำลังตรวจสอบกองกำลัง ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่หลบหนีการเรียกตัวของชายหนุ่ม
จงเจิ้นจวินเริ่มที่จะหมดความอดทนและกำลังจะถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อจู่ ๆ ซูเฉินก็หยุดลงตรงหน้าหนึ่งในกองทหาร เขาตรวจสอบทั่วทั้งตัวแล้วจึงเอ่ย “เขาคือหุ่นเชิดที่กำลังถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณ รีบจับตัวเขาไว้”
อะไรนะ ?
ทุกคนต่างตกตะลึง
ทหารนายนั้นบินขึ้นไปในอากาศและกำลังจะโจมตีเมื่อกู่ชิงลั่วกระแอมออกมาเบา ๆ ก่อนที่นายทหารผู้นั้นจะหยุดนิ่งกลางอากาศในทันทีราวกับว่าเขาเป็นอัมพาตอย่างกะทันหัน วินาทีต่อมา นายทหารจำนวนมากขึ้นก็บินขึ้นไปในอากาศ มัดเขาไว้ และลากเขาออกไป
ไม่จำเป็นต้องอธิบายไปมากกว่านี้ แค่การกระทำของเขาเพียงอย่างเดียวก็ยิ่งกว่าเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนนึกขึ้นได้ในทันทีว่าซูเฉินกำลังทำสิ่งใด
จีหานเยี่ยนถาม “ซูเฉิน เจ้าสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นหุ่นเชิดที่กำลังถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณหรือ ? เจ้าทำได้ยังไงกัน ?”
“ข้าดมเขา” ซูเฉินตอบ
ดมเขา ?
ทุกคนต่างตกตะลึง
ซูเฉินบินกลับขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังเรือลำต่อไป ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบลำนี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเผ่าวิญญาณสามารถควบคุมคนได้จำกัดในครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นพวกมันย่อมจะไม่จัดตำแหน่งไว้มากกว่า 1 คนในเรือลำเดียวอย่างแน่นอน
เหมือนกับในพริบตาเดียว ซูเฉินก็สามารถค้นพบหุ่นเชิดราว 10 ตัวที่กำลังถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณ รวมถึงมนุษย์และชาวสมุทรด้วย
เผ่าวิญญาณได้ปกปิดตัวตนดีทีเดียว แต่รัศมีแปลกประหลาดของชาวเผ่าวิญญาณก็ยังคงสามารถตรวจจับได้โดยซูเฉินอยู่ดี
ซูเฉินได้จดจำความผันผวนในจิตใจของเผ่าวิญญาณเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถค้นพบหุ่นเชิดที่มันควบคุมได้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลบหลีกไปจากการตรวจสอบของซูเฉินได้
สายลับที่เผ่าวิญญาณได้แอบแฝงไว้อย่างระมัดระวังได้ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอีกฝ่ายถึงกับคายเลือดออกมาท่วมปาก ทว่าพวกมันทำได้เพียงนั่งลงอย่างโกรธแค้นในความมืดและสาบานว่าจะกลับมาแก้แค้น
แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ ภัยคุกคามจากซูเฉินก็กำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นและมากขึ้น หลังจากที่พบเหล่าหุ่นเชิดแล้ว ซูเฉินก็เริ่มค้นหาไปทั่วทั้งเกาะ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มจะไม่พอใจจนกว่าจะจับตัวเผ่าวิญญาณตนนั้นได้
วิญญาณตนนั้นรู้ดีว่าสถานการณ์ของเขากำลังไม่ดีเป็นแน่ เขาจึงได้แต่กัดฟันแน่นและใช้งานวิชาหลบหนีลับ
เมื่อซูเฉินค้นพบห้องลับบนเกาะในที่สุด เขาก็พบเพียงแค่สิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยเผ่าวิญญาณ
“เขาหนีไป” ซูเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“เป็นความผิดข้าเองที่ปล่อยให้เผ่าวิญญาณนั่นแฝงตัวเข้ามาบนเกาะได้โดยที่พวกเราตรวจไม่พบ !”
คนผู้นี้มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการความปลอดภัยของเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล การสังเกตการณ์นี้จึงอยู่ในความรับผิดชอบของเขาอย่างแน่นอน
แต่ซูเฉินกลับตอบอย่างนิ่งสงบ “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียทีเดียวหรอก เผ่าวิญญาณนั้นมีทักษะที่น่าเหลือเชื่อในการหลบซ่อนในความมืดและกลอุบาย การรับรู้ของพวกมันนั้นแข็งแกร่ง และวิชาพลังจิตของพวกมันก็ไม่อาจคาดเดาได้ จึงไม่น่าประหลาดที่พวกเราจะไม่สามารถจับพวกมันได้คราวนี้ด้วยความเก่งกาจของพวกมันในการวิ่งหนีและหลบซ่อน แต่หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าเราจะรู้หากว่ามันปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง”
“ขอรับท่าน !” หลินเฉ่าเซวียนตอบเสียงดังลั่น
ซูเฉินกลับหลังหันและจากไป
สถานการณ์กับเผ่าวิญญาณได้ถูกแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าซูเฉินจะไม่สามารถจับกุมตัวผู้บงการสถานการณ์ทั้งหมดนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็สามารถหยุดปัญหาทั้งหมดก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้
โชคไม่ดีนักที่ซูเฉินไม่สามารถช่วยเหลือหุ่นเชิดคนใดที่ถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้พวกเขาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในฐานะตัวทดลอง
ประโยชน์อย่างหนึ่งของสิ่งนี้คือความเข้าใจของซูเฉินในพลังจิตได้เพิ่มสูงขึ้นมากมาย
จากความเข้าใจของเขา ซูเฉินสามารถพัฒนาวิชาที่มีเป้าหมายเป็นเผ่าวิญญาณโดยเฉพาะ วิชาที่จะทำให้เขาสามารถตรวจจับการมีอยู่ของเผ่าวิญญาณใดก็ตามในบริเวณใกล้เคียง นี่จะทำให้เผ่าวิญญาณที่แฝงตัวเข้ามาและควบคุมทหารจากเงามืดได้ยากขึ้นมาก
ซูเฉินตั้งชื่อวิชานี้ว่าวิชาสืบหาเผ่าวิญญาณ เพราะมันมีไว้เพื่อใช้ตามหาเผ่าวิญญาณในบริเวณใกล้เคียงเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในกิ่งก้านสาขามากมายของที่ซูเฉินกำลังวิจัยอยู่
ซูเฉินยังคงใช้เวลาของเขาส่วนมากไปกับการวิจัยสายเลือดผสม
ไม่ใช่กับท้องสมุทรโศกา
การผสานสายเลือดได้สำเร็จคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับซูเฉิน ในการเริ่มงานวิจัยของเขาเกี่ยวกับท้องสมุทรโศกาตั้งแต่แรกเริ่ม มีเพียงสายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วเท่านั้นที่สามารถกำราบจักรพรรดิได้ และด้วยการปราบเหล่าจักรพรรดิเท่านั้นที่เขาจะสามารถเข้าไปในหุบเหวนรกและได้รับความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นในสิ่งที่ท้องสมุทรโศกากระทำ
สิ่งเหล่านี้ต่างก็เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิด ด้วยการแก้ไข 1 ปัญหาเท่านั้นที่เขาจะสามารถเริ่มทำงานต่อไปได้
การมาถึงของหลินจุ้ยหลิวได้มอบแรงบันดาลใจให้แก่ซูเฉิน ทำให้งานวิจัยของเขาคืบหน้าไปมาก
แต่กระทั่งด้วยหลินจุ้ยหลิวและไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ซูเฉินก็ใช้เวลาถึง 2 ปีเต็มในการสร้างความสำเร็จครั้งสำคัญ
ในวันนั้น จู่ ๆ แสงที่สว่างจ้าและทรงพลังก็ฉายออกมาจากปราสาท
แสงสว่างโร่พุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
“สำเร็จ ! สำเร็จ ! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ !”
เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งเกาะเมื่อร่างของหลินจุ้ยหลิวพุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า เขากระโดดโลดเต้นราวกับเด็กน้อยโดยมีขวดยาบางอย่างไว้ในกำมือ
“สำเร็จอะไรหรือ ?” ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกันเมื่อพวกเขาเห็นท่าทางตื่นอกตื่นใจของชายชรา
ซูเฉินเดินออกมาข้างหลังเขาและเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “จะมีอะไรทำให้ราชาแห่งความโกลาหลมีความสุขได้ถึงเพียงนี้อีกล่ะ ?”
จงเจิ้นจวินหรี่ตาลง “สายเลือดผสมหรือ ? งั้นเขาก็ทำได้จริง ๆ น่ะสิ ?”
“ที่จริงเขาทำได้ตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่สามารถหาทิศทางที่ถูกต้องได้มาอย่างยาวนาน กลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนที่ใช้วิชาการฝึกสู่อมตะนั้นเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมต่อสายเลือดผสมเหล่านี้อย่างถึงที่สุด” ซูเฉินตอบ
“ไม่เห็นจะฟังดูยากเลยนี่” เฟิงหันตอบ
“นั่นเป็นเพราะพวกเรายังมีการทดลองอื่น ๆ อีกยังไงล่ะ” ซูเฉินกล่าว
“พวกท่านทำอะไรไปหรือ ?” ทุกคนถาม
“ตามปกติแล้วพวกเราพยายามที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของกู่ชิงลั่วให้สูงยิ่งขึ้น” ซูเฉินตอบอย่างสงบนิ่ง “เป้าหมายของพวกเราคือการทำให้กู่ชิงลั่วสามารถปลดปล่อยพลังที่เทียบเท่าได้กับสายเลือดที่มีความบริสุทธิ์ถึง 60 ส่วน”
ความบริสุทธิ์ 60 ส่วน!
ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงหัวใจของตนที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แค่ 40 ส่วนก็เพียงพอแล้วสำหรับกู่ชิงลั่วที่จะทำให้ทั้งน่านน้ำอสูรทะเลราบเป็นหน้ากลอง แล้ว 60 ส่วนจะขนาดไหน ?
กำจัดกระทั่งจักรพรรดิงั้นหรือ ?
นั่นคือเป้าหมายของพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่ม
“แล้วท่านทำสำเร็จไหม ?” ทุกคนถาม
“ใช่ พวกเราทำสำเร็จ !” ซูเฉินพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
แล้วเขาก็เผยยิ้มกว้างและเอ่ยขึ้น “และการเคลื่อนไหวต่อไปของพวกเราก็คือตรงเข้าไปในหุบเหวนรก !!”