ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 4 ออกเดินทาง
บทที่ 4 ออกเดินทาง
วันนี้เขาหมื่นดาบยุ่งวุ่นวายเป็นพิเศษ
เห็นริ้วแสงต่าง ๆ เกิดบนฟากฟ้าไม่หยุด
ซึ่งไม่ใช่ดาวตกแต่เป็นคน หรือก็คือผู้เชี่ยวชาญที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามานั่นเอง
ไม่สิ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไปแล้ว
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตชื่นชอบที่จะถูกเรียกว่าผู้ฝึกตนมากกว่า
ก็เพราะพลังที่มีได้มาจากความพยายาม ไม่ใช่สวรรค์ประทานลงมาแต่อย่างไร
วันนี้มีผู้ฝึกตนมากันมากเป็นพิเศษ
‘ดาวตก’ เหล่านั้นร่วงลงจากฟ้ามาบ่อยครั้ง ลงมาบนพื้นที่ที่กำหนดบนแต่ละยอดเขา ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจะเหินกายไปไหนก็ได้ แต่ก็ถูกบังคับให้เหินลงยังจุดที่กำหนดเท่านั้นเพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น
เยี่ยเฟิงหานเพิ่งร่อนลงมา ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตอีก 2 คนก็เดินเข้ามาทัก “ทำความเคารพศิษย์พี่ !”
“ทักทายศิษย์น้อง ข้าเยี่ยเฟิงหานแห่งหอเมฆาเร้น” กลับนิกายแล้วจึงไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป
ศิษย์น้องคนหนึ่งเอ่ย “ศิษย์พี่ ท่านไปรายงานตัวกับหอเมฆาเร้นโดยตรงเลยก็ได้ เจ้าหอเล่อรอท่านอยู่แล้วขอรับ”
เจ้าหอเล่อย่อมเป็นเล่อเฟิง หนึ่งในทหาร 76 คนที่ซูเฉินเคยช่วยให้พ้นมืออานู๋ปี่
หลังตั้งนิกายไร้ขอบเขตขึ้น ความกล้าหาญ ดุดัน ซื่อสัตย์ และความกระตือรือร้นที่แผดเผาของเล่อเฟิงก็ทำให้เหมาะกับตำแหน่ง รับหน้าที่รับมือดูแลเรื่องภายใน โดยเฉพาะศิษย์ที่แหกกฎ และเพราะเขาเข้มงวดมากศิษย์ทั้งหลายจึงกลัวกันนัก เขามักคงสีหน้าเย็นชาไว้เสมอ จึงได้ฉายานามว่าเจ้าหอหน้าเหล็ก
เมื่อเยี่ยเฟิงหานมาถึงหอเมฆาเร้นก็พบว่ามีคนมากมายแล้ว
เล่อเฟิงยืนเบื้องหน้าสุดอย่างเงียบเชียบ เบื้องล่างคือกลุ่มคนรวมตัว
เยี่ยเฟิงหานเดินไปยืนตรงจุดของตนเองแล้วรออย่างอดทน
ไม่รู้ผ่านไปเท่าไหร่ เล่อเฟิงจึงเอ่ย “เท่านี้พอแล้ว คนที่มาไม่ทันให้ไปเฝ้ายาม ส่วนพวกเจ้า……”
เล่อเฟิงวาดมือ ริ้วแสงพุ่งเข้าหามือศิษย์แต่ละคน
เยี่ยเฟิงหานคว้าริ้วแสงนั้นไว้ พบว่าเป็นยันต์สัญญาณ กระปุกใส่ยาเม็ด และเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 5
เขาไม่เคยเห็นยาเม็ดเช่นนี้มาก่อน แต่คำแนะนำด้านข้างชัดเจนพอสมควร มันคือยาที่ท่านเจ้านิกายคิดค้นขึ้น ช่วยเสริมพื้นฐานพลังได้เม็ดละเท่าเวลา 1 เดือน ในขวดมี 12 เม็ด หมายความว่าส่งเสริมได้ถึง 1 ปี ปกตินิกายก็จะแจกจ่ายเป็นพื้นฐานเช่นนี้
ยาใดที่ย่นเวลาบ่มเพาะพลังได้ปีหนึ่งนับว่ามีราคาสูง
เมื่อคู่กับเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 5 แสนล้ำค่า ก็นับว่าเป็นสมบัติหายากดี ๆ นี่เอง
ก่อนภารกิจจะเริ่มก็ได้ของขนาดนี้แล้วงั้นหรือ ?
แล้วหากทำสำเร็จ รางวัลจะขนาดไหนกัน ?
เยี่ยเฟิงหานอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ยันต์สัญญาณเก็บข้อมูลเรื่องภารกิจที่กำลังจะเริ่มไว้ เยี่ยเฟิงหานกวาดสายตาอ่านคราเดียวก็รู้ข้อมูลสำคัญที่จำเป็นแล้ว
นี่น่ะหรือที่เขาต้องทำ ?
คำสั่งไม่ได้ระบุว่าพวกเขาจะต้องทำอย่างไร แต่คนมีความสามารถแค่คิดว่าจะทำอย่างไรให้เสร็จก็พอ ไม่คิดใส่ใจว่าเพราะเหตุใด
โบกมือเล็กน้อยมันก็กลายเป็นผุยผง
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไรต่อ ?” เล่อเฟิงถาม
“รับทราบ !”
“หากไม่สงสัยอะไรแล้วก็ไปเตรียมตัวเสีย”
“ท่านเจ้าหอ ข้ามีคำถาม !” เยี่ยเฟิงหานคิดแล้วจึงยกมือขึ้น
เขาท่องเที่ยวมาหลายปี เยี่ยเฟิงหานเองก็สะสมสมบัติมาบ้าง เขามีดาบระดับ 4 แล้ว ได้เครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 5 อีกชิ้นนับว่ามากไป
“ว่ามา”
“ขอแลกยาเม็ดและเครื่องมือต้นกำเนิดเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่ ?”
เล่อเฟิงพยักหน้า “ของเหล่านี้แลกคะแนนอุทิศได้ หากไม่ต้องการก็นำมาแลกได้ เอาไว้เลือกอย่างอื่นที่เจ้าสนใจ แต่พื้นฐานพลังย่อมเป็นพื้นฐานพลังภายในของเจ้า ไม่ควรพึ่งพาของภายนอกมากเกินไป ข้าแนะนำให้แลกเครื่องมือต้นกำเนิด ส่วนยาให้เก็บไว้ใช้เอง”
ทุกคนได้ยินก็ดีใจ
เช่นนี้พวกเขาจะได้เลือกสิ่งที่เหมาะกับตนเองได้โดยไม่เสียเปล่า
“หากไร้คำถามแล้วก็ไปได้ อยากไปตอนไหนก็แล้วแต่พวกเจ้า”
“ขอรับ !” ศิษย์ทั้งหลายตอบ
ฝูงชนหายไป ยังมีหลายกลุ่มที่ยังเกาะกลุ่มกัน บอกกล่าวว่าให้ดูแลตนเองกันด้วย
หลังจากหอมาแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ไปยังหอความสำเร็จเพื่อแลกคะแนนอุทิศ
หลังคืนเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 5 ไปแล้ว เขาก็มีคะแนนอุทิศราว 300 คะแนน ที่มีอยู่ก่อนหน้าเขาใช้แลกลักษณ์เยือกแข็งไปหมดแล้ว
คะแนนอุทิศ 300 กว่าคะแนนนี่ทำอะไรได้บ้างหนอ ?
เยี่ยเฟิงหานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“อะไร ? เลือกไม่ถูกหรือ ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
เยี่ยเฟิงหานตอบโดยไม่หันมอง “อืม ของดีมากมาย แต่ข้ากลับมีคะแนนไม่พอ คะแนนอุทิศ 300 คะแนนไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ!”
“วิชาร่างและวิชาดาบเจ้ามุ่งเน้นเรื่องความคล่องแคล่วและความเบา ส่วนลักษณ์เยือกแข็งชะลอคู่ต่อสู้ได้ ยิ่งทำให้เจ้ามีความคล่องแคล่วเด่นขึ้น แต่การมุ่งเน้นไปเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะอย่างไรการต่อสู้จริงก็ไม่ใช่เช่นการแข่งขันในสนาม การที่ขาดคุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่งมากนับว่าสำคัญกว่าการที่แข็งแกร่งเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ไยไม่เลือกเกราะหนอนไหมเล่า ? เพราะความเบาจึงไม่กระทบต่อความรวดเร็ว พลังป้องกันก็มาจากวิชาอาร์คาน่าที่ฝังเอาไว้ สามารถสร้างเกราะ 3 เกราะเพื่อป้องกันการโจมตีรุนแรงได้ แม้จะใช้ได้จำกัดจำนวนครั้ง แต่ดูจากวิถีการต่อสู้แล้ว คงหาได้ยากที่จะถูกโจมตีรุนแรงถึงชีวิตเกิน 1 ครั้ง ดูท่ามันจะเหมาะกับเจ้ามากนะ”
“ไม่เลว ๆ!” เยี่ยเฟิงหานเอ่ยยินดี “ขอบคุณที่ชี้แนะมากสหาย”
เขาหันมาจะบอกขอบคุณแต่กลับแข็งค้างไป
ทำไมคนตรงหน้าถึงคุ้นตาแปลก ๆ เล่า ?
เขาขยี้ตาก่อนจะตะโกนขึ้น “ท่านเจ้านิกาย ?”
คนที่ชี้แนะเขาคือท่านเจ้านิกายซูเฉินนั่นเอง
ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าให้ คนรอบข้างเห็นแล้วจึงเข้ามาทำความเคารพท่านเจ้านิกาย
“ไม่ต้องสนข้าหรอกทุกคน ไปทำอะไรก็ทำเถอะ หากไม่เข้าใจสิ่งใดก็ถามได้” ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ
เขาเข้ามาดูเพราะอยากรู้อยากเห็น บังเอิญเจอเยี่ยเฟิงหานที่ตัดสินใจไม่ถูก เขาเลยแนะให้ อยู่แนะนำคนต่ออีกหน่อยจึงไม่เป็นปัญหา อย่างไรทั้งความรู้และประสบการณ์ของเขาก็สามารถรู้สภาพศิษย์แต่ละคนและชี้แนะอย่างเหมาะสมให้ได้อยู่แล้ว
ชี้แนะสักหน่อยแล้วจึงจากไป
เขากลับมายังยอดเขาเทียมสวรรค์ที่ตั้งของวังขนาดใหญ่ คนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าออก นำทั้งของทั้งทรัพยากรขนออกมา ด้านหน้ายังเห็นเรือเหาะยักษ์อีก 8 ลำจอดอยู่
ซูเฉินและอวิ๋นเป้ามีหน้าที่บังคับเรือเหล่านี้
อวิ๋นเป้าเห็นซูเฉินมาจึงเอ่ย “เกือบพร้อมออกเดินทางแล้ว”
“อา” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบก่อนบอกวังเบื้องหลัง “ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าจะได้กลับ”
“ไม่ต้องห่วง กัวเหวินฉางจะดูแลที่นี่ให้อย่างดี” ฉือไคฮวงว่าพลางลูบเคราตน
ซูเฉินพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะ”
ซูเฉินส่งสัญญาณแล้ว เสียงแตรเขากระทิงทุ้มต่ำก็ดังก้องทั่วฟ้า
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเห็นสัญญาณแล้วล้วนรู้ว่าถึงเวลาลงมือ เริ่มเหินร่างมายังยอดเขาเทียมสวรรค์ บ้างเข้าไปในวัง บ้างเข้าไปในเรือ
เรือมังกร 8 ลำจึงเริ่มออกตัว พาผู้ฝึกตนภายในและวังเบื้องหลังลอยขึ้นฟ้า
กองกำลังดูสง่างามภูมิฐานจึงออกเดินทางท่องฟ้าไปเช่นนี้
ซูเฉิน กู่ชิงลั่ว หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง อวิ๋นเป้า และคนอื่น ๆ บินขึ้นไปยืนบนยอดวัง บินขึ้นไปพร้อมกับมันด้วย ยอดเขาเทียมสวรรค์เริ่มหดตัว ก่อนจะหายไปภายในหมู่เมฆ
ซูเฉินเหลือบมอง “จุดมุ่งหมายคือ…. เมืองสมุทรไร้จำกัด”
“จุดมุ่งหมายคือเมืองสมุทรไร้จำกัด !”
เสียงแตรพลันดังขึ้น !!!
มันดังก้องทั่วฟ้าอีกครั้ง เรือมังกรทั้งหลายเริ่มเคลื่อนตัว ออกเดินทางไปยังจุดหมาย
แต่ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนที่ได้ขึ้นมาบนเรือ
นอกจากศิษย์ที่มีหน้าที่ดูแลนิกายแล้ว ยังมีพวกที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจลับแยกต่างหากอีกด้วย
เยี่ยเฟิงหานคือหนึ่งในนั้น
เขาแหงนมองฟ้า มองเรือมังกรและวังค่อย ๆ หายลับตาไป ก่อนเก็บของทุกอย่างลงแหวนพลัง จากนั้นจึงเดินลงเขา
จุดหมายเขาคือเมืองสมุทรไร้จำกัดเช่นกัน แต่ต่างเขตกันเล็กน้อย
ตอนกำลังเดิน ๆ อยู่ก็พลันได้ยินเสียงเรียกด้านหลังดังขึ้น “รอก่อน ! นี่ ! รอข้าด้วยสิ !”
คือฉางเหอ
เยี่ยเฟิงหานเหลือบมอง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”
“อย่าพูดเลย ภารกิจข้าต้องไปหาข้อมูลลับที่เกาะพันมายา ต้องไปคนเดียว แล้วเจ้าล่ะ ?” ฉางเหอไม่คิดปิดบัง
เยี่ยเฟิงหาส่ายหน้า “ภารกิจเดี่ยวจำต้องเก็บเป็นความลับสำคัญ เจ้าแหกกฎไปแล้วนะ”
“นี่ ที่ข้าบอกก็เพราะเห็นว่าเราเป็นสหายกันเถอะ” ฉางเหอเอ่ยสบาย ๆ
“ข้าจึงไม่รายงานเจ้าไง ข้าทำให้ได้เท่านี้ล่ะ” เยี่ยเฟิงหานเอ่ยเสียงเย็น
ฉางเหอแลบลิ้น “ไม่แปลกที่อยากได้ลักษณ์เยือกแข็ง ตัวเจ้าเองก็น้ำแข็งก้อนดี ๆ นี่เอง ! สงสัยเครื่องในคงแข็งหมดแล้วกระมัง !”
เยี่ยเฟิงหานไม่สนใจ ก้าวเท้าต่อ แต่ฉางเหอก็ตามมาติด ๆ พูดคุยด้วยอยู่ตลอด
พวกเขารู้จักกันมาพักหนึ่ง รู้นิสัยใจคอกันดี เยี่ยเฟิงหานไม่สนฉางเหอที่พูดพล่าม ฉางเหอก็ไม่สนใจที่เยี่ยเฟิงหานเมินเขา
เข้าคู่กันได้ดีไม่น้อย
แต่กำลังเดินทางอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นดังขึ้น
ดูเหมือนเสียงจะมาจากด้านบน พอแหงนหน้ามองต้นเสียง ก็พบว่ามีคนคนหนึ่งกำลังร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง
“ระวัง !” ฉางเหอตะโกน ทั้งสองคนจึงขยับก้าวออกไปด้านข้างพร้อมกัน
คนผู้นั้นร่วงลงพื้นโดยแรง
มองดี ๆ แล้วคือหญิงสาวคนหนึ่ง
“โอ๊ย !” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งแล้วนวดท้องตนเอง
จากนั้นก็ตวัดสายตาเกรี้ยวมา “นี่ พวกเจ้านี่มันอะไรกัน ! ทำไมถึงไม่รับข้าล่ะ ?”
เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอเหลือบมองกัน
ฉางเหอเอ่ย “แม่นาง เราจะรู้หรือว่าเจ้าเป็นมิตรหรือศัตรู ? อีกทั้งไม่ใช่ว่าจะมีคนร่วงจากฟ้ามาได้ทุกวัน พวกข้าตอบสนองไม่ทันก็ไม่แปลกนี่ แล้วเจ้าขึ้นไปได้ยังไงนั่น ?”
นางจึงตวัดสายตามอง “ไร้สาระ ข้าอยู่ด่านสู่พิสดาร ก็ต้องบินขึ้นไปน่ะสิ ! มันแปลกอะไร ?”
“แล้วร่วงมาได้ยังไง ?”
แม่นางหน้าเปลี่ยน เอ่ยเสียงลังเลดูขัดเขิน “…… ข้าคุมพลังไม่ดีเท่าไหร่”
……
ไม่อยากเชื่อเลย
ด่านสู่พิสดารนับเป็นพวกทรงพลัง พวกเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นเช่นนี้นี่ล่ะ
เยี่ยเฟิงหานเอ่ยขึ้นคนแรก “แม่นางไม่ใช่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตกระมัง ?”
“ไม่ใช่ มีอะไรหรือ ?” นางตอบพลางนวดน่องตน
“หากไม่ใช่ก็กลับไปเถอะ วันนี้นิกายไร้ขอบเขตไม่รับแขก”
“ไม่ได้นะ ! ซูเฉินเป็นคนเชิญข้ามาเอง” นางแทบจะเด้งขึ้นมาทันที
ท่านเจ้านิกาย ?
ทั้งสองมองกันอีก
“ขอทราบชื่อแม่นางได้หรือไม่ ?” เยี่ยเฟิงหานเอ่ยถาม
“ข้าชื่อเยี่ยเม่ย” นางตอบพร้อมยิ้ม “ไปถามซูเฉินสิ เขารู้จักข้า”
เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอมองกันอีกทีก่อนเอ่ย “ไม่จำเป็นหรอก พวกเราก็รู้จักเจ้าเช่นกัน !”