ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 40 มาถึงยังเขาหมื่นดาบ
บทที่ 40 มาถึงยังเขาหมื่นดาบ
เสิ่นจืออันทะยานขึ้นไปในอากาศและลอยตัวอยู่เหนือหมู่เมฆ
ชายหนุ่มมีสีหน้าที่หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
เขาขอรับภารกิจนี้มาด้วยตัวเอง และองค์รัชทายาทก็แสดงน้ำใจด้วยการมอบโอกาสนี้ให้กับเขา เสิ่นจืออันจึงมุ่งมั่นที่จะทำมันอย่างดีที่สุด
เขาหันหลับไปและเห็นว่าลูกน้องของตัวเองยังคงตามมาไม่ทัน เสิ่นจืออันจึงกล่าวกลับพวกเขา “ทุกคน เราต้องเร็วขึ้นกว่านี้อีกหน่อย เป้าหมายของเราก็คือไปถึงเขาหมื่นดาบก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน”
“เราจะโจมตีพวกเขาคืนนี้เลยหรือ ?” หลู่ซีเหวินถามอย่างระมัดระวัง
เสิ่นจืออันตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันแสนผยอง “ความว่องไวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในสงคราม”
เขาไม่เคยอ่านหนังสือกลวิธีในการทำสงครามมาก่อน ดังนั้นเสิ่นจืออันจึงไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเร่งรีบ และทำไมความว่องไวถึงได้สำคัญนัก ชายหนุ่มรู้เพียงว่ายิ่งเขาโจมตีได้เร็วก็ยิ่งดี
ในทางตรงกันข้าม หลู่ซีเหวินนั้นคิดอย่างรอบคอบมากกว่า แต่กลายเป็นว่าเสิ่นจืออันกลับไม่มีอารมณ์ที่จะมาฟังคำอธิบายของเขาในตอนนี้ หลู่ซีเหวินจึงทำได้เพียงแค่ถอนใจและตามไปอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าทั้งสามอาณาจักรนั้นควรจะร่วมมือกันในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่อาณาจักรหลงซางก็มีหน้าที่ในการเป็นทัพหน้าที่เดินทางล่วงไปก่อน
เจียงจูเซิงกำลังถูกชาวสมุทรจับตามองและไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ อีกทั้งเขาหมื่นดาบก็ยังอยู่ห่างออกไปจากอาณาจักรประกายวารีด้วย ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขากล้าจะทำได้ในตอนนี้ก็คือพัดลมให้ไฟลุกโชนขึ้นเท่านั้น เจียงจูเซิงส่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งไปเพื่อแสดงความร่วมมือ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นคนจากราชวงศ์
ฝ่ายหลี่หวู่อี้นั้นเคลื่อนไหวน้อยยิ่งกว่าเจียงจูเซิงเสียด้วยซ้ำ หน้าที่ของเขาก็คือค่อยตีตรวนตระกูลจูไว้และดูให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้ส่งกำลังเสริมไปยังเขาหมื่นดาบ
หลี่หวู่อี้ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมาจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารอยู่เลย ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นเพียงผู้ฝึกตนด่านทะลวงลมปราณ ซึ่งก็คงไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้มากนัก
ทั้งสองอาณาจักรคาดหวังถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาอยู่แล้ว การส่งกองทัพของอาณาจักรไปเพื่อจัดการกับเขาหมื่นดาบที่ค่อนข้างห่างไกลนั้นจึงไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย หากเพียงหนึ่งในสามของอาณาจักรเหล่านี้โจมตีอย่างจริงจังขึ้นมา พวกเขาก็สามารถกำจัดทั้งเขาหมื่นดาบได้อยู่แล้ว
เพราะเหตุนี้อีกสองอาณาจักรจึงไม่จำเป็นต้องส่งกองกำลังไปมากนัก มีเพียงอาณาจักรหลงซางที่ลงทุนลงแรงมากหน่อยในครั้งนี้
เสิ่นจืออันที่เป็นผู้นำในครั้งนี้เป็นผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนในด่านหยั่งรู้ฟ้าดินใกล้เคียงกับพลังระดับสูงสุดมากที่สุด อย่างไรแล้วจำนวนของผู้ฝึกตนด่านมหาราชันในบรรดามนุษย์ก็มีอยู่น้อยจนสามารถนับได้ ซึ่งนอกจากผู้ฝึกตนด่านมหาราชันที่แทบจะเป็นอมตะทั้งสิบสองคนของตระกูลกู่แล้ว ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันคนอื่น ๆ ก็เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรทั้งหลาย
จักรพรรดิเหล่านั้นไม่มีทางปรากฏกายที่สมรภูมิอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจึงสามารถแสดงอำนาจออกมาได้อย่างเต็มที่
ผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเพียงคนเดียวก็เทียบได้กับทัพที่มีทหารถึงหนึ่งหมื่นคน
นอกจากเสิ่นจืออันแล้ว อาณาจักรหลงซางก็ยังส่งผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณมาอีก 12 คน พร้อมกับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารอีก 56 คน และกองทหารหลวงอีกเกือบสามพันคน โดยทั้งหมดนี้เป็นทหารส่วนตัวขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของเขาได้เป็นอย่างดี
ใช่แล้ว แม้ว่าเจียงจูเซิงจะมีหน้าที่ในการสร้างสถานการณ์ให้กับเหตุการณ์นี้ แต่องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรหลงซานอย่างหลินเหวินจวิ้น ก็เป็นฝ่ายให้การสนับสนุนหลัก ๆ ในการเดินทางครั้งนี้ด้วย
ซูเฉินตบหน้าหลินเหวินจวิ้นอย่างแรงเมื่อครั้งที่เกิดเรื่องกองทัพกำลังสวรรค์ ซึ่งส่งผลให้เขาถูกปลดจากตำแหน่ง รองเจ้ากรมแห่งกองทัพปราบปรามจลาจล และหลินเหวินจวิ้นก็ถูกปรับให้เป็นเพียงนายพลคนหนึ่งในกองทหารคลื่นไร้เกลียวเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น หลินเหวินจวิ้นก็ยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่เช่นเดิม สุดท้ายแล้วหลินเมิ่งเจ๋อก็ไม่ได้พรากยศนั้นไปจากเขา
แม้ใครหลายคนจะเชื่อว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกปลดจากหลินเหวินจวิ้นไม่ช้าก็เร็ว… แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างคิดผิดทั้งหมด
เพราะหลินเหวินจวิ้นได้เปลี่ยนโชคชะตาของเขาไปแล้วอย่างสิ้นเชิง !
เขาไม่เพียงแค่สามารถยืดหยัดได้อย่างมั่นคง แต่หลินเหวินจวิ้นยังหาทางออกจากกองทหารคลื่นไร้เกลียวได้สำเร็จ และกลับสู่เมืองฉางผานอย่างเป็นทางการ อีกทั้งตอนนี้เขายังได้ดูแลทหารของทั้งอาณาจักรด้วย
เส้นทางขึ้นลงของชีวิตนั้นเป็นเรื่องยากนักที่จะคาดเดาได้
หลินเหวินจวิ้นกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือการสั่งสองซูเฉิน !
เขาจะต้องโจมตีเขาหมื่นดาบ !
เขาตั้งใจจะตอบแทนทุกอย่างที่ซูเฉินทำไว้
เสิ่นจืออันเองก็มุ่งมั่นที่จะสานต่อความประสงค์ขององค์รัชทายาทและหลั่งเลือดของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตให้อาบทั่วทั้งเขาหมื่นดาบ
กองทัพกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไปถึงเมืองปลายทางได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อไปถึงยังจุดหมายก็พบว่าเทือกเขาที่เคยถูกทิ้งจนแทบจะร้างนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน
ยอดเขาศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีพระราชวังถูกสร้างขึ้นที่บนยอดและมันสูงชะลูดขึ้นไปเหนือมวลเมฆอีกด้วย อาคารมากมายที่เรียงรายอยู่โดยรอบนั้นทำให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มากทีเดียว
ดวงตาของเสิ่นจืออันฉายประกายประหลาด “ช่างกล้าหาญนักที่สร้างอะไรใหญ่โตแบบนี้ขึ้น ! พวกนั้นคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไรกัน”
ในยุคหรือช่วงเวลาเช่นนี้ การสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นั้นจะต้องเชื่อมโยงกับการก่อกบฏอย่างแน่นอน อย่างไรแล้วก็มีเพียงราชวงศ์เดียวที่จะปกครองอาณาจักรได้ และหากตำหนักแห่งนี้งดงามและสง่าผ่าเผยกว่าพระราชวังของราชวงศ์ สิ่งที่เสิ่นจืออันกล่าวเมื่อครู่นี้ก็ถือว่าไม่เกินกว่าความเป็นไปได้เลย
แต่ถึงกระนั้น เขาหมื่นดาบก็ตั้งอยู่ในจุดที่เป็นทางแยกระหว่างชายแดนของทั้งสามอาณาจักร ทำให้มันกลายเป็นดินแดนที่ไร้ผู้อยู่อาศัย นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์ถึงเกือบแปดหมื่นคน จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะต้องใช้พื้นที่และสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมากมายที่นี่ นอกจากนั้นแล้ว เพราะว่าตั้งอยู่ในจุดที่สูงขึ้นไปบนภูเขา สิ่งก่อสร้างทั้งหลายจึงเปล่งประกายความผ่าเผยด้วยตัวของมันเองอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว หากจะพูดกันง่าย ๆ อย่างตรงไปตรงมาก็คือ เสิ่นจืออันก็แค่หาข้ออ้างที่จะใช้โจมตีพวกเขาเท่านั้น
เขาดูพอใจมากทีเดียวที่หาข้ออ้างที่ดูมีเหตุผลได้ ชายหนุ่มจึงหันไปร้องบอกกับคนอื่น ๆ “ทุกคน เจ้าเห็นนี่ไหม นิกายไร้ขอบเขตควรทำหน้าที่ในการอารักขาชายแดน แต่พวกนั้นกลับใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อสร้างตัวเองและวางแผนต่อต้านราชวงศ์ เจตนาของพวกนั้นก็คือการสร้างความวุ่นวายขึ้น ทุกคน… เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องกำจัดผู้ร้ายและอันธพาลพวกนี้ให้สิ้นซาก !”
สิ้นเสียงคำสั่งของเสิ่นจืออัน รถม้าศึกก็ลงมาจากฟากฟ้า… พวกเขาคือกองทหารหลวงของหลินเหวินจวิ้นนั่นเอง
ในฐานะที่เป็นทัพขององค์รัชทายาท กองทหารหลวงจึงได้รับการปฏิบัติและดูแลค่อนข้างดี ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ทหารสิบคนจะได้รับรถม้าศึกหนึ่งคันอีกด้วย
รถม้าศึกนั้นเป็นเครื่องเหาะต้นกำเนิดที่มีคุณภาพสูงยิ่งกว่าเรือเคลื่อนเมฆาเสียอีก นอกจากความสามารถในการบินที่ยอดเยี่ยมกว่า แต่รถม้าศึกพวกนี้ยังทรงอานุภาพกว่ามาก ซึ่งรถม้าศึกแต่ละคันนั้นจะมีเกราะป้องกันพลังต้นกำเนิดที่ทำหน้าที่ปกป้องทหารที่อยู่ภายใน ในขณะที่ทหารเหล่านั้นยังคงสามารถปลดปล่อยพลังการโจมตีผ่านเกราะป้องกันออกไปได้ นั่นทำให้รถม้าศึกที่ว่านี้มีความคล้ายคลึงกับเรือเหาะตะวันกรุ่นของซูเฉินอยู่ด้วยเหมือนกัน
จากราคาที่ค่อนข้างแพงของเรือเหาะตะวันกรุ่นแล้วก็คงจะจินตนาการถึงราคาของรถม้าศึกเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก
แต่ถึงอย่างนั้น กองทหารหลวงก็ยังได้รับรถม้าศึกมาในการรับครั้งนี้ถึงสามร้อยคันด้วยกัน
พวกเขาไม่ได้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย…. เมื่อเดินทางมาถึง สงครามก็เริ่มขึ้นในทันที
ยุทธวิธีของเสิ่นจืออันสะท้อนตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี… มันเรียบง่าย ตรงไปตรงมา รุนแรง และโหดเหี้ยมยิ่งนัก !
รถม้าศึกทั้งสามร้อยคันทะยานลงมาจากฟากฟ้าราวกับฝนดาวตก ลูกไฟนับสิบถูกปล่อยออกมาจากคันรถเหล่านั้นทำให้ปรากฏเป็นภาพของลูกไฟห่าใหญ่ที่กำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้า
นิกายไร้ขอบเขตนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวกับการโจมตีอย่างกะทันหันและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถต้านทานใด ๆ ได้เลย ลูกไฟจำนวนมากปะทะเข้ากับกำแพงของพระราชวังและทำให้จุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทันตา เสียงร้องด้วยความตระหนกดังขึ้นทุกหนแห่ง แต่ก็ไม่มีใครที่พร้อมจะต่อสู้ในตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงแค่พยายามดับไฟที่กำลังไหม้ตำหนักอยู่เท่านั้น
ร่างของคนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้นำของกลุ่มนั้นคำรามขึ้น “นั่นใครกัน ใครกันที่กล้าดีมารุกรานนิกายไร้ขอบเขต”
เป็นเสียงของกัวเหวินฉางนั่นเอง
“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อทำลายนิกายไร้ขอบเขต !” เสิ่นจืออันหัวเราะลั่นพร้อมกับชี้นิ้วออกไป
นิ้วที่ชี้ออกไปนั้นเปลี่ยนท้องฟ้าให้หมองหม่นลงพร้อมกันกับที่คลื่นเจตสังหารแผ่กระจายไปยังกัวเหวินฉางจนทำให้สีหน้าของเขาต้องเปลี่ยนไป “ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอย่างนั้นหรือ ?”
ในด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ผู้ฝึกตนจะมีพลังที่สามารถเปลี่ยนภาพลวงให้เป็นความจริงได้ ผู้ฝึกตนในด่านนี้สามารถเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดรอบตัวให้กลายเป็นวัตถุอะไรก็ได้ที่สามารถนำมาใช้ในการต่อสู้ได้ นิ้วมือที่ขยับไปอย่างสบาย ๆ ของเสิ่นจืออันนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา ราวกับว่าเขาเป็นอสูรกายที่ปรากฏกายและเตรียมพร้อมที่จะสังหารชีวิตคนจำนวนนับหมื่น
แม้ว่ากัวเหวินฉางจะเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว แต่เขาก็ยังมีพลังต่างจากเสิ่นจืออันอยู่ถึงหนึ่งขั้นเต็ม ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีทางเลยที่กัวเหวินฉางจะกล้าเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับเสิ่นจืออัน… เขาทำได้เพียงแค่หยิบของชิ้นหนึ่งออกมา
สิ่งที่เขาหยิบออกมาก็คือกระจกบานเล็กที่เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันหยุดยั้งพลังที่ส่งออกมาจากนิ้วของเสิ่นจืออันได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่พลังนั้นปะทะเข้ากับกระจกอย่างจัง แต่ก็ไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านมันไปได้ แต่กระจกบานนั้นกลับส่องประกายจาง ๆ ขึ้น และเสิ่นจืออันก็พบว่าพลังที่ส่งออกไปจากนิ้วกำลังสะท้อนกลับมาหาตัวเขาเองฃ
เสิ่นจืออันที่เห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะ “กระจกสะท้อนกลับหรือ ?!”
เครื่องมือต้นกำเนิดที่สามารถสะท้อนการโจมตีของผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้นั้นจะต้องเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสองเป็นอย่างต่ำ
ดังนั้นกัวเหวินฉางผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณ ก็จะต้องมีเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสองอยู่ในครอบครองอย่างแน่นอน
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขาสามารถใช้มันได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีการติดขัดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีสมบัติชิ้นอื่น ๆ ที่จะสามารถนำมาใช้ในการนี้ได้ด้วยแน่ ๆ
ชายหนุ่มได้ยินมานานแล้วว่าซูเฉินเก็บสมบัติและความมั่งคั่งไว้ในนิกายไร้ขอบเขตเป็นจำนวนมากพอสมควรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงสินะ
ดวงตาของเสิ่นจืออันเป็นประกายด้วยความละโมบ เขาหันหน้ามาและกล่าวขึ้น “พวกเจ้ามายืนทำอะไรกันตรงนี้ ไปจัดการพวกนั้นเสีย ส่วนหัวหน้าของพวกมัน… ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง !”
สิ้นคำ เสิ่นจืออันก็ทะยานออกไปคว้าตัวกัวเหวินฉางไว้โดยไม่รอช้า
อีกฝ่ายมีเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสองแล้วมันจะทำไมกัน ?
ช่องว่างความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณ กับผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นไม่สามารถถูกปิดได้ด้วยเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสองเพียงชิ้นเดียว
ฝ่ายกัวเหวินฉางสังเกตเห็นว่าเสิ่นจืออันกำลังโจมตีอีกครั้ง เขารีบเก็บกระจกสะท้อนกลับไปในทันที จากนั้นมวลเมฆก็พลันก่อตัวขึ้นที่ใต้เท้าของเขา ก่อนที่มันจะหมุนวนและพาเอาร่างของกัวเหวินฉางหลบออกไปก่อนที่เสิ่นจืออันจะคว้าตัวเขาไว้ได้
เสิ่นจืออันเห็นแล้วว่ากัวเหวินฉางทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีของเขาด้วยเมฆใต้เท้าเหล่านั้น เมฆพวกนั้นจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้เขาเป็นแน่
แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอหรอก !
เสิ่นจืออันส่งเสียงกู่ร้องอย่างดุดันพร้อมกับหัวเราะออกมา “ยอดมาก ยอดไปเลย ! ยิ่งเจ้ามีสมบัติมาก ข้าก็ยิ่งชอบใจ !”
ลิ้นคำนั้นร่างของเสิ่นจืออันก็หายวับไปจากตรงนั้น เขาพุ่งตัวออกไปเพื่อไล่ล่ากัวเหวินฉาง !
กัวเหวินฉางไม่ได้พยายามจะยืนหยัดต่อสู้แต่อย่างใด เขาเองก็พุ่งตัวไกลออกไปด้วยเมฆที่ใต้เท้าโดยมีเสิ่นจืออันไล่ตามมาติด ๆ ฝ่ายเสิ่นจืออันเห็นดังนั้นก็บอกได้ทันทีว่าคนคนนี้เป็นศิษย์ระดับสูงที่ยังเหลืออยู่ในเขาหมื่นดาบอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นแปลว่าสมบัติที่ชายคนนี้มีก็จะต้องมีค่าอย่างยิ่งด้วย หากเสิ่นจืออันสามารถจับตัวคนคนนี้ไว้ได้ สมบัติพวกนั้นก็จะตกเป็นของเขา
ดังนั้นเขาจึงยึดเอากัวเหวินฉางเป็นเป้าหมายต่อไปอย่างเดิม และจะไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนนี้หลุดมือไปอย่างเด็ดขาด
หลู่ซีเหวินก็ตามเขามาติด ๆ เช่นกัน “แม่ทัพเสิ่น หยุดไล่ตามเขาเถอะ ! เรายังต้องการความช่วยเหลือจากท่านในการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดอยู่นะ !”
“ออกไปให้พ้นทางข้า ! มีอะไรกันที่ข้าจะต้องช่วย ? ใช้พลังของพวกเจ้าและสังหารพวกนั้นเสียสิ ! พวกนี้มันก็แค่ไอ้งั่งที่อ่อนแอทั้งนั้น” เสิ่นจืออันตอบกลับไปอย่างหมดความอดทน
สำหรับเขาแล้ว เขาหมื่นดาบเป็นเหมือนขุมสมบัติที่รอการปล้นอยู่ เสิ่นจืออันไม่จำเป็นจะต้องแบ่งความช่วยเหลือจากเขาให้กับพวกทหารเสียหน่อย เขาสนใจเฉพาะในการฝึกตนอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยุทธวิธีในการรบแต่อย่างใด และเสิ่นจืออันเองก็พึ่งพาเพียงการฝึกตนของตัวเองเท่านั้นเพื่อมาถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ได้
นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ได้สนใจเหล่าทหารเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการจับตัวกัวเหวินฉางให้ได้ และริบเอาสมบัติของอีกฝ่ายมาให้หมด จากนั้นเสิ่นจืออันก็จะกลับไปที่เขาหมื่นดาบและปล้นสมบัติที่เหลืออยู่มาเป็นของตัวเอง
ในสมองของเขาครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนี้และจึงไล่ตามกัวเหวินฉางไปอย่างไม่ลดละ แต่แม้ว่าท่าทางของกัวเหวินฉางจะดูอ่อนแอ แต่เขากลับมีสมบัติมากมายสำหรับใช้ป้องกันตัว เมื่อเห็นเสิ่นจืออันใกล้เข้ามาอีกครั้ง กัวเหวินฉางก็หยิบเอาพัดมาและสะบัดมันออกไปด้านหลัง ทำให้พัดนั้นส่งคลื่นเพลิงที่ทรงอานุภาพพวยพุ่งออกไปทันที
เปลวเพลิงที่ถูกส่งออกไปนั้นน่าเกรงขามจนแม้แต่เสิ่นจืออันก็ยังไม่กล้าประมาท เพลิงนั้นทำให้เขาต้องโจมตีออกไปด้วยฝ่ามือเพื่อดับไฟ และกัวเหวินฉางก็ใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีไปอีกครั้ง
เสิ่นจืออันเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ท้อใจแต่อย่างใด เขากลับยิ่งรู้สึกว่าการไล่ล่านี้ช่างเร้าใจและออกตัวตามกัวเหวินฉางต่อไปโดยไม่รอช้า
กระจกสะท้อนกลับ เมฆาหลบลี้ และพัดเพลิงโหม…. ยิ่งกัวเหวินฉางหยิบเอาสมบัติออกมาใช้มากชิ้นขึ้น เสิ่นจืออันก็ดูจะยิ่งพอใจ อีกทั้งความมุ่งมั่นในการจับตัวกัวเหวินฉางให้ได้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย