ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 43 ตอบโต้
บทที่ 43 ตอบโต้
“เหวินฉางจากไปแล้ว”
ซูเฉินถอนใจพลางยืนอยู่ที่ระเบียงริมเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
เบื้องหลังคือหลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง ฉู่อิงหว่าน เฉิงเถียนไห่ จวินโม่เสีย และหลินเฉ่าเซวียน
อดีตวีรบุรุษกองทัพกำลังสวรรค์จากไปเช่นนี้ ซูเฉินจึงต้องบอกกล่าวให้พวกเขารู้
ข่าวมาเร็วนักไม่ทันตั้งตัวจนทุกคนตกตะลึง
ฉือไคฮวงถามเสียงสั่น “ตายอย่างไร ?”
ซูเฉินตอบ “ตายระหว่างต่อสู้กับคนขององค์รัชทายาท เสิ่นจืออัน”
“องค์รัชทายาท…. ข้าจะฆ่ามัน !” เฉิงเถียนไห่เริ่มปล่อยไอสังหารหนั่นแน่น
เขาไม่ได้บอกว่าตนเองจะสังหารองค์รัชทายาททันที แสดงให้เห็นถึงความพัฒนา แต่กระนั้นความโกรธและเกลียดก็ไม่ได้ลดลงสักนิด
“เราฆ่าแน่ แต่ก่อนหน้านั้นต้องทำภารกิจตรงนี้ให้เสร็จก่อน” ฉู่อิงหว่านเอ่ย
นางรู้ว่ามีบางอย่างที่ซูเฉินไม่อาจพูดได้ นางจึงช่วยพูดให้
เฉิงเถียนไห่นัยน์ตาแดงก่ำดั่งเลือด “ต้องรออีกเท่าไหร่ ?”
ฉู่อิงหว่านไม่อาจตอบคำถามได้ ได้แต่หันไปหาซูเฉิน
ซูเฉินตอบ “3 ปี”
“ต้องใช้เวลาอีก 3 ปีเลยหรือ ?”
“เรามาถึงจุดนี้กันแล้ว ทำไมต้องรออีก 3 ปี ?” ฉือไคฮวงอดถามไม่ได้ เขารู้ว่าช่วงนี้ซูเฉินทำอะไรมากมายแค่ไหน แต่หากยังคงจังหวะไว้ได้ เวลา 3 ปีก็นับว่าเผื่อมากไปหน่อย
“เพราะมันเป็นเวลาที่ตกลงไว้กับหยงเยี่ยหลิวกวง” ซูเฉินตอบ
“ต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เขาให้มาเลยหรือ ?” หลินเฉ่าเซวียนไม่เข้าใจเหตุผล
จะเสียเวลาให้มากกว่าเดิมไปทำไม ?
“ใช่ !” ซูเฉินตอบ “ต้องใช้ให้หมด”
เขาไม่ได้อธิบาย แต่ทุกคนก็ค่อย ๆ ตระหนักถึงความหมายของการตัดสินใจครั้งนี้ได้เอง
ในความคิดซูเฉิน ศัตรูที่แท้จริงคือหยงเยี่ยหลิวกวง ซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงต้องใช้เวลาทั้งหมดที่หยงเยี่ยหลิวกวงมอบให้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
จวินโม่เสียว่า “แล้วนิกายไร้ขอบเขตเป็นอย่างไร ?”
“นิกายชนะและทำลายล้างศัตรูได้ มีเพียงเหวินฉางที่สละชีวิตไป”
ทุกคนถอนใจ
นับเป็นนิสัยกัวเหวินฉาง ยอมเสียสละตนเองเพื่อทำให้ความเสียหายส่วนรวมลดน้อยลง
หลี่ฉงซานเอ่ย “ในเมื่อสามารถเอาชนะได้แล้ว หลงซางคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้แน่”
หากไม่นำเรื่องแก้แค้นมานับ แค่เกียรติและศักดิ์ศรีของหลงซางถูกท้าทายอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ เปิดตัวเป็นศัตรูกับนิกายไร้ขอบเขตอย่างเปิดเผยเรียบร้อยแล้ว หากหยุดโจมตีตอนนี้คงเรียกได้ว่าเป็นไอ้โง่
ซูเฉินตอบ “ใช่ ข้าเลยคิดว่าจะส่งเฉ่าเซวียนกลับไปดูแลเรื่องราว”
คนส่วนมากเข้าใจว่าหลินเฉ่าเซวียนเป็นผู้สืบทอดของหลี่ฉงซาน ทั้งสติปัญญาและพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขาโดดเด่นเหนือใคร ดังนั้นส่งเขาไปจัดการเรื่องนิกายจึงนับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว
หากแต่ฉู่อิงหว่านกลับมุ่นคิ้ว “เจ้าคิดจะส่งเขากลับไปหรือ ?”
“อืม จะให้นำของขวัญกลับไปด้วย” ซูเฉินเอ่ย
ในรอบแรกที่เขาไม่ได้ส่งกำลังเสริมไปเป็นเพราะหลงซางยังไม่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขต จึงส่งทหารมาไม่มาก แต่ตอนนี้เมื่อรบแพ้กลับไปเสียหายใหญ่หลวง การโจมตีคราวหน้าจะต้องรุนแรงกว่าเดิมเป็นแน่ หากนิกายไร้ขอบเขตไม่ส่งกำลังเสริมไปในครั้งนี้ ก็คงจะต้านทานไม่ไหวต่อไป
“ไม่ต้องห่วง เราได้เตรียมของขวัญชิ้นโตไว้ให้พวกเขาแล้ว ตระกูลหลินคงได้กินกันจนหนำใจ” ซูเฉินว่า ไล้นิ้วไปตามราวบันไดหิน ทิ้งร่องรอยลึกเอาไว้
ในเมื่อหลงซางกล้าสังหารกัวเหวินฉาง ก็ต้องเอาเลือดมาแลกเลือด
คืนนั้น หลินเฉ่าเซวียนก็กลับมาถึงนิกายไร้ขอบเขต
พร้อมกันนั้นข่าวการตายของเสิ่นจืออันและทหารหลวงก็เริ่มแพร่ออกไป
เสิ่นจืออันตายแล้ว ?
ทหารหลวง 3,000 นายตายสิ้น ?
ด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนและด่านสู่พิสดารนับสิบไม่มีใครกลับมาเลย ?
หายไปทั้งกองทัพ ?
จะเป็นไปได้อย่างไร ?
หากเป็นนิกายไร้ขอบเขตที่มีกำลังเต็มเปี่ยมทำได้เช่นนี้ก็คงพอเข้าใจได้ เพราะอย่างไรกำลังความแกร่งของนิกายก็ไม่ใช่ความลับใด สิ่งเดียวที่ผู้คนไม่รู้นั่นคือแกร่งมากแค่ไหนต่างหาก
แต่เขาหมื่นดาบที่แทบร้างผู้คนกลับสามารถกวาดล้างกองทัพที่นำโดยด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ เป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้ !
และความโกลาหลที่ตามมานั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้อย่างชัดเจน
กองกำลังที่สูญเสียไปไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ทหารเหล่านั้นมีกำลังมากพอจะยึดครองมณฑลขนาดใหญ่ได้ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะด่านหยั่งรู้ฟ้าดินที่นับเป็นเสาหลักของตระกูลสายเลือดชั้นสูง ตอนนี้หนึ่งในนั้นถูกสังหารไปเสียแล้ว
และแม้ว่าผู้ใช้พลังทั้ง 30 คนที่เป็นส่วนหนึ่งของทหารหลวงจะดูเหมือนผู้ใช้พลังระดับต่ำธรรมดา แต่ก็เป็นพวกที่ซื่อสัตย์กับราชวงศ์มากที่สุด เพราะพวกเขาเป็นทหารส่วนตัวขององค์รัชทายาท
แต่ตอนนี้องครักษ์เหล่านั้นกลับถูกกวาดล้างไปสิ้นแล้ว
แล้วเขาจะอธิบายให้คนอื่นฟังอย่างไร ?
นับว่าถูกตบหน้าโดยแรงจนทิ้งรอยช้ำเอาไว้โดยแท้
เรื่องนี้จำเป็นจะต้องมีการดำเนินการทันที จะได้กู้คืนศักดิ์ศรีที่เสียไปกลับคืนมา !
นิกายไร้ขอบเขตแกร่งมากเกินไปแล้ว เสาะหาความสงบย่อมดีกว่าการก่อสงคราม !
ความคิดที่แตกต่างกัน 2 อย่างได้ปรากฏขึ้น
ภายในท้องพระโรง ขุนนางจำนวนนับร้อยคนต่างถกเถียงกันและต่อสู้ในเรื่องนี้อย่างไม่หยุดหย่อน
แต่พวกที่กระหายสงครามกลับเป็นฝ่ายค่อย ๆ ได้รับชัยชนะ
เถียงจนตายอย่างไรก็คงไม่ยอม ประการแรก พวกขุนนางไม่อาจยอมรับการเสียศักดิ์ศรีและหน้าตาเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องคว้าชัยชนะกลับคืนมา ประการที่สอง การมีอยู่ของนิกายไร้ขอบเขตเป็นสิ่งขัดความเจริญของตระกูลสายเลือดชั้นสูง วิชาไร้สายเลือดของซูเฉินกำลังสั่นคลอนหลักฐานที่พวกเขาสร้างขึ้นมา และเมื่อมันสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความอดทนของพวกเขาก็ลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
หรือก็คืออย่างไรก็หลีกเลี่ยงสงครามไม่พ้น
ยามเมื่อมีขุมพลังใหม่ผงาดขึ้น ขุมพลังเก่าย่อมต้องพยายามปกป้องจุดยืนของตนเอง อย่างไรก็ต้องเกิดสงคราม !!
เหตุผลที่มันเกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลุ่มอำนาจเก่านั่นเอง
ความเห็นในเรื่องการเปิดสงครามได้รับคำผ่านอย่างรวดเร็ว คำสั่งถูกส่งลงมาให้เริ่มรวบรวมกำลังพล แต่ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ ระบบระเบียบก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
แม้ว่าหลงซางจะทรงพลังมาก แต่การรวมคนทั้งหมดและเคลื่อนทัพไปในคราวเดียวนั้นก็ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร
ในขณะที่หลงซางยังระดมคนอยู่นั้น ชายชราผู้หนึ่งและคนวัยเยาว์อีก 3 คนก็ได้มาถึงเมืองฉางผาน
“นี่ตาแก่ เดินให้มันเร็วกว่านี้ได้ไหม ?”
เยี่ยเม่ยกวักมือเรียกไม่คิดรอ ถัดไปด้านหลังไม่ไกลนัก ชายชราผู้หนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอกสบายใจ คือหลินจุ้ยหลิวนั่นเอง
“คิดถึงเหลือเกิน ! คิดถึงบ้านเหลือเกิน” ชายชราพึมพำพลางเดินนวยนาดไปตามทาง “ข้าก็แค่อยากทำวิจัยสงบ ๆ แต่เจ้าเด็กซูเฉินกลับส่งข้ามาที่นี่เสียได้ เดี๋ยวพอรู้วิชาผสานสายเลือดของข้าเมื่อไหร่ก็โยนข้าทิ้ง อุกอาจนัด ข้าบอกเลย ! ไอ้คนนี้มันโอหัง !”
ชายชราพูดราวกับตนเป็นเด็กสาวถูกทิ้ง
ฉางเหอหัวเราะ “ช่างเรื่องนั้นเถอะตาเฒ่า ท่านกำลังล้อเล่นอยู่กับใคร ? พวกเราล้วนรู้ดีว่าท่านดีใจแค่ไหนที่ท่านเจ้านิกายมอบโอกาสนี้ให้ ราชาแห่งความโกลาหลไปที่ใดก็ทำเอาคลื่นลมปั่นป่วน หากครั้งนี้หาโอกาสสร้างความปั่นป่วนไม่ได้แล้วจะสมกับฉายาท่านหรือ ? ฮ่า ๆ!”
“เจ้านี่พูดมาก” เยี่ยเฟิงหานตบท้ายทอยเขาให้
เยี่ยเม่ยที่ด้านหน้าผายมือ “เร็ว ๆ หน่อย ! สาขาอารามนิรันดร์อยู่ข้างหน้านี่แล้ว”
……
แม่นาง เรายังอยู่ในที่สาธารณะนะ ! แม้จะค่ำมากแล้วไม่มีใครอยู่บนถนนอีก แต่จำเป็นจะต้องโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ ?
แม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับนิสัยเยี่ยเม่ยดีแล้ว แต่ทั้งสามก็ยังอดส่งสายตาหากันแบบพูดไม่ออกไม่ได้
“ช่างมันเถอะน่า อีกไม่นานอารามนิรันดร์ก็คงโผล่มาในที่สาธารณะได้แล้ว” เยี่ยเม่ยตอบ
“ก็คงเป็นเช่นนั้น” ในตอนนั้น คนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากตรอกและปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยเม่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา “ดีนะที่ข้าไม่เห็นด้วยกับความเห็นหมู่มาก ส่งเจ้าไปทำภารกิจแทน ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็ทำสำเร็จแล้ว !”
เยี่ยเม่ยออกตามหาซูเฉินตามคำสั่งของฉือหมิงเฟิง
ฉือหมิงเฟิงเป็นหัวเรือสำคัญที่เสนอให้เปลี่ยนอารามนิรันดร์จากกลุ่มผู้ก่อการร้ายใต้ดินให้มาดำเนินการอยู่บนดินได้อย่างเปิดเผยได้
แต่อำนาจของอาณาจักรอื่นที่มีต่ออารามนิรันดร์นั้นมีมากเกินไปจนไร้โอกาส
และเพื่อแก้ปัญหานี้ ฉือหมิงเฟิงจึงหันไปหานิกายไร้ขอบเขต เมื่อพบว่าซูเฉินจะเดินทางไปหุบเหว อารามนิรันดร์ก็หวังว่าจะสนับสนุนเขาอย่างเปิดเผยได้ เพื่อที่อารามนิรันดร์จะได้มีพื้นที่สามารถดำเนินการอย่างเปิดเผยได้บ้าง
แต่ซูเฉินกลับไม่เต็มใจล่วงเกินหลงซางเพื่ออารามนิรันดร์ ปฏิเสธกระทั่งไม่ยอมพบหน้าเยี่ยเม่ย แม้เยี่ยเม่ยจะไล่ตามทัน ซูเฉินก็ยังไม่ยอมให้คำตอบ
แต่ครั้งนี้ ในที่สุดซูเฉินก็ตอบตกลง
หลินเหวินจวิ้นลงมือกับเขาหมื่นดาบ …นั่นนับเป็นการสะบั้นไมตรีของทั้งสองฝ่ายสิ้น ซูเฉินไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก และถึงเวลาดึงคนที่สามารถดึงมาได้เข้ากลุ่มแล้ว
อารามนิรันดร์ไม่อยากหลบอยู่ในเงามืดอีกต่อไปงั้นหรือ ?
ได้ !
ซูเฉินจึงแนะนำคนคนหนึ่งให้ทันที
ก็คือหลินจุ้ยหลิว
เมื่อฉือหมิงเฟิงเห็นหลินจุ้ยหลิว ในใจก็รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมาทันที
แม้พริบตาต่อมาความรู้สึกนี้จะหายไป ฉือหมิงเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นใครและโค้งคำนับให้ “ทำความเคารพราชาแห่งความโกลาหล !”
หลินจุ้ยหลิวหัวร่อ “ดูท่าเจ้าเด็กนั่นจะติดต่อเจ้ามาแล้วสินะ ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม ครั้งนี้ข้ามาเพื่อลากตัวหลินเมิ่งเจ๋อลงจากบัลลังก์ หากอารามนิรันดร์อยากเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของมังกรแล้วไซร้ จะมอบคนให้ข้าได้สักกี่คนกันล่ะ ?”
ฉือหมิงเฟิงปาดเหงื่อออกจากคิ้ว แม้ลูกน้องเขาจะปิดล้อมถนนไว้หมดแล้ว แต่การพูดเรื่องก่อกบฏกันกลางถนนเช่นนี้เขาก็ยังทำใจให้คุ้นชินไม่ได้จริง ๆ ดังนั้นจึงได้แต่หัวเราะไปแล้วตอบว่า “เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่มาพูดคุยกันข้างในเล่า ?”
“หึ ! จะกลัวอะไร ? ข้ารู้ด้วยซ้ำว่ามีแมลงมีงูอยู่ในนี้กี่ตัว แต่เจ้าคงจะไม่รู้สถานการณ์สินะ ?”
อะไรนะ ?
ฉือหมิงเฟิงตะลึง
หลินจุ้ยหลิววาดมือ เงาร่างหนึ่งพลันแวบมาจากที่ใกล้ ๆ เข้าสู่มือหลินจุ้ยหลิว
เมื่อฉือหมิงเฟิงเห็นคน สีหน้าก็ผันเปลี่ยน “นี่ไม่ใช่คนของอารามนิรันดร์นี่”
“ก็ต้องไม่ใช่สิ แต่ดูท่าสาขาลับของเจ้าเนี่ยจะไม่ค่อยลับเท่าไหร่นะ” หลินจุ้ยหลิวหัวร่อ ก่อนจะประทับฝ่ามือลงบนหน้าผากคนผู้นั้น “คิดเสียว่าเจ้าโชคดีเถอะ ข้ากลับมาทั้งที ขาดลูกมือฝีมือเหมาะ ๆ พอดี ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เป็นหมากตัวหนึ่งของข้า”
พูดจบ พลังสายหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือเข้าสู่หน้าผากของคนผู้นั้น ร่างเขากระตุกครั้งหนึ่ง ก่อนจะดิ้นไปมาอีกสักระยะ ก่อนจะเบาลง สุดท้ายเมื่อเขาหยุดดิ้นแล้ว ก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวคำว่า “ทำความเคารพนายท่าน !”
คุมจิตงั้นหรือ ?
ฉือหมิงเฟิงไม่เคยได้ยินว่าราชาแห่งความโกลาหลมีวิชาเช่นนี้
เยี่ยเม่ยกลอกตาว่า “หึ ! ซูเฉินสร้างยาเม็ดจากสายเลือดสูงส่งตระกูลจูมาไม่มาก แต่ท่านกลับไม่เอามันมาใช้สู้ ! ทำไมถึงเอามันมาเสียกับหนอนแมลงอ่อนแอเช่นนี้ ?”
หลินจุ้ยหลิวที่พยายามสร้างภาพน่ากลัวนับว่าล้มเหลว ความอับอายจึงกลายเป็นความโกรธ “เจ้าจะไปรู้อะไร ? คนผู้นี้ปิดบังตัวตนเก่งมาก สามารถล่วงรู้ถึงจุดนัดพบของอารามนิรันดร์ได้ คงเป็นผู้แกะรอยมีความสามารถ เจ้าจะประเมินคนจากกำลังอย่างเดียวไม่ได้ ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องหาคนที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน……”
แต่เยี่ยเม่ยจากไปโดยไม่ฟังคำอธิบายเขาด้วยซ้ำ
ราชาแห่งความโกลาหลอาจจะทำเป็นสูงส่งน่ากลัวกับคนอื่นได้ แต่กลับไม่สามารถข่มเยี่ยเม่ยได้สักครา !