ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 52 สองหน้า
บทที่ 52 สองหน้า
เมื่อได้ยินคำดูถูกของหลงพั่วจวิน สีหน้าของหลินเมิ่งเจ๋อก็หมองลง “เจ้า….ตายซะเถอะ!”
พูดจบเขาก็เคลื่อนพลังอย่างเต็มความสามารถ รอบตัวของหลินเมิ่งเจ๋อเริ่มมีลมพายุโหมกระหน่ำและท้องฟ้าก็ครึ้มลงทันตา มังกรตะชาบขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ร่างยักษ์นั้นบดบังแม้กระทั่งแสงอาทิตย์ เสียงคำรามพลันดังขึ้นพร้อมกับพลังที่พรั่งพรูลงสู่พื้นดินที่เบื้องล่าง
แม้พลังนั้นจะรุนแรง แต่หลินจุ้ยหลิวก็ยังดูท่าทางใจเย็นอย่างเดิม เขารวบรวมพลังก่อนที่จะปล่อยเพลิงพิษพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
มันต่างไปจากสายเลือดมังกรตะขาบของหลินเมิ่งเจ๋อ เพราะสายเลือดผสมทั้งเจ็ดของหลิวจุ้ยหลิวแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหัวเป็นมนุษย์ มีปีกอย่างนกอินทรีย์ และร่างเป็นหมู ซึ่งแม้ว่าจะสืบสายมาจากสายเลือดมังกรตะขาบ แต่สายเลือดนี้ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างออกไป
ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น มังกรตะขาบทั้งสองที่บนท้องฟ้านั้นต่างก็ส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ ด้วยความเกรี้ยวกราดและพุ่งตัวเข้าหากันและกันโดยไม่รอช้า
ภาพของสายเลือดเหล่านี้ก่อตัวขึ้นจากพลังสายเลือดที่เข้มข้น และยังมีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับพลังระดับสูงสุดของทั้งสองคนอีกด้วย เมื่อังกรตะขาบสองตัวปะทะกัน คลื่นพลังขนาดมหึมาก็แผ่ออกบดบังแสงอาทิตย์ไปชั่วขณะ คลื่นนั้นกระจายตัวออกไปและทำให้ผืนดินสะท้านทั่วทุกทิศทาง
แม้แต่หลงพั่วจวินก็ยังกระเด็นออกไปเพราะแรงจากคลื่นนี้
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่ามังกรตะขาบทั้งสองกำลังต่อสู้กันแล้ว ที่เบื้องล่างนั้น หลินเมิ่งเจ๋อกับหลินจุ้ยหลิวก็ไม่ได้นิ่งเฉย เมฆสีทะมึนเคลื่อนที่ไปมาทั่วบริเวณขณะที่ชายทั้งสองพยายามจะทำลายกันและกัน
หลินเมิ่งเจ๋อขยับและดาบสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“ไปเลย!” เขาร้องขึ้น
ดาบสีทองเล่มนั้นกลายสภาพเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้าใส่หลินจุ้ยหลิว
แสงดาบเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลางหน้าผากของหลินจุ้ยหลิว
หลินจุ้ยหลิวรู้ดีว่าดาบนั้นทรงพลังเพียงไร เขาพลันเลือกใช้ทักษะอย่างหนึ่งและพ่นเม็ดไข่มุกออกขัดขวางแสงจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ แสงดาบที่ว่านั่นไม่สามารถทะลวงผ่านไข่มุกของหลินจุ้ยหลิวไปได้และสะท้อนกลับไปในทันที
หลินเมิ่งเจ๋อเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็ยังสงวนท่าทีอย่างเดิมและค่อย ๆ หยิบสิ่งของอีกอย่างออกมา หยกที่หลินเมิ่งเจ๋อเลือกมาใช้นั้นมีขนาดเท่ากับถ้วยชาเห็นจะได้ เขาขว้างมันออกไปใส่หลินจุ้ยหลิวโดยไม่รอช้า
ทว่าฝ่ายหลินจุ้ยหลิวกลับแผดเสียงร้องและกลายร่างเป็นลำแสงเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดที่จะขัดขวางการโจมตีด้วยหยกนั้นด้วยซ้ำ
“ดาบพิฆาตใจ กับหยกผ่าวิญญาณหรือ เจ้ายังมี ร่มฉิงลัวกรองพลัง กับ ควันมรสุม อีกไม่ใช่หรือ เอามันออกมาให้หมดสิ! ดูซิว่าสมบัติทั้งสี่ชิ้นของเจ้า หรือว่าสายเลือดทั้งเจ็ของข้าจะแข็งแกร่งกว่ากัน!” หลินจุ้ยหลิวหัวเราะลั่น
หลินเมิ่งเจ๋อกระแอมไอก่อนจะกล่าวขึ้น “ถ้าเจ้าอยากตายนัก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสงเคราะห์”
สิ้นคำของจักพรรดิ์หลินเมิ่งเจ๋อ เขาก็หยิบสมบัติอีกสองชิ้นออกมา
สมบัติที่เขาหยิบออกมานั้นเป็นร่ม โดยในทันทีที่มันถูกกางออก มือที่เป็นภาพฉายก็ปรากฏขึ้น คว้ามันไว้ และชูร่มคันนั้นขึ้นไปในอากาศ ดูเหมือนว่ามันจะหยุดรังสีแห่งความโอหังของหลินจุ้ยหลิวไว้ได้อย่างง่ายดาย และไม่เพียงเท่านั้น มวลอากาศโดยรอบก็เริ่มที่จะเคลื่อนที่หมุนไปจนเกิดเป็นกระแสอากาศวนขึ้น
เพลิงลุกโชนที่หลินจุ้ยหลิวสร้างขึ้นค่อย ๆ ถูกกระแสอากาศที่หมุนวนนั้นดูดเข้าไป จนกระทั่งมันหายไปในที่สุด
สมบัติชิ้นนี้ก็คือร่มฉิงลังกรองพลังนั่นเอง มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการโจมตีและการป้องกัน เพราะร่มนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับการโจมตีใด ๆ ก็ตามนั่นเอง
ในขณะเดียวกันนั้น ควันสีครามก็พุ่งออกมาจากร่างของหลินเมิ่งเจ๋อด้วย
ควันสีอึมครึมนั้นไหลทะลักออกมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ และจู่ ๆ ฝนก็เริ่มเทลงมาจากท้องฟ้า
ฝนนั้นควรจะมีต้นเหตุมาจากเมฆของหลินเมิ่งเจ๋อ ทว่าเมฆเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคนคนหนึ่ง…ซึ่งหากมันถูกจำกัดไว้ไม่ให้หลั่งเป็นน้ำฝนลงมา ก็จะไม่มีทางเลยที่ฝนจะตกได้ แต่ ณ วินาทีนี้ ฝนที่กำลังสาดลงมากลับเป็นน้ำฝนที่มาจากท้องฟ้าเบื้องบน…
น้ำฝนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่มาที่ไปยังคงพรั่งพรูลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนและเป็นอุปสรรคต่อทัศนวิสัยของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
ฝนที่ตกลงมาเปลี่ยนให้บรรยากาศแห่งวันวาน ราวกับว่าชายทั้งสองได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่พวกเขายังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศและมีพลังเช่นนี้
จากนั้นความรู้สึกอันแสนเศร้าก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
การโจมตีของหลิวจุ้ยหลิวเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่หลงพั่วจวินก็ยังสัมผัสได้ว่าความเกลียดชังที่แผ่รังสีจากฝ่ายหลินเมิ่งเจ๋อก็ยังลดลงเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
นี่คือผลจากอิทธิฤทธิ์ของควันมรสุมนั่นเอง
ฝนที่กำลังเทลงมานั้นมีผลเช่นนี้ก็เพราะควันมรสุม
ควันนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายโดยตรง ซึ่งต่างไปจากดาบพิฆาตใจหรือหยกผ่าวิญญาณ มันเป็นเพียงกลุ่มควันและสายฝน ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อเจตจำนงในการต่อสู้ของผู้คนได้
ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความทุกข์ระทม และความสิ้นหวังทั้งหมดที่มีจะมลายหายไป ทำให้คนคนนั้นไม่มีความปรารถนาที่จะต่อสู้อีกต่อไป
เจตจำนงแห่งการต่อสู้!
เป็นเจตจำนงที่ลึกลับและแนวความคิดที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็มีอยู่จริง…
ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของคนที่มีเจตจำนงแห่งการต่อสู้อันแน่วแน่กับผู้ที่มีเจตจำนงไม่ชัดเจนนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
ควันมรสุมแสดงประสิทธิภาพของมันอย่างเงียบเชียบ ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ควันและฝนนี้ก็จะค่อย ๆ สูญเสียความปรารถนาที่จะต่อสู้ไปเรื่อย ๆ และการโจมตีของผู้นั้นก็จะอ่อนกำลังลง
หลินเมิ่งเจ๋อเป็นถึงจักรพรรดิ์ นอกจากเขาจะมีพลังที่ไร้เทียมทานแล้ว แต่เขายังมั่งคั่งอย่างมากอีกด้วย ไม่แปลกเลยที่จักรพรรดิ์ผู้นี้จะมีเครื่องมือต้นกำเนิดที่ดีที่สุดเช่นนี้
เครื่องมือต้นกำเนิดทั้งสี่ที่เขาใช้นั้นล้วนเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับหนึ่งทั้งสิ้น และแต่ละชิ้นก็ทรงอานุภาพอย่าน่าเหลือเชื่อ
หลายคนไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้สิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่หลินเมิ่งเจ๋อกลับมีสมบัติที่ล้ำค่าพวกนี้ถึงสี่ชิ้น และยังนำมันออกมาใช้พร้อม ๆ กันอีกด้วย ซึ่งจะยิ่งช่วยเสริมพลังให้สมบัติแต่ละชิ้นอีกด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว ฝ่ายหลินจุ้ยหลิวนั้นด้อยกว่ามากทีเดียว นอกจาก ไข่มุกตรึงดาว ที่เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับหนึ่งที่หยุดแสงดาบสีทองไว้แล้ว…เขาก้ไม่มีสมบัติอื่นใดอีก
แต่ถึงกระนั้น หากหลินเมิ่งเจ๋อคาดว่าตัวเองจะชนะได้โดยพึ่งพาสมบัติทั้งสี่ชิ้น ก็คงจะเป็นการฉลองที่ไวไปหน่อย…
เมื่อหลินจุ้ยหลิวเห็นว่าหลินเมิ่งเจ๋อนำสมบัติทั้งสี่ชิ้นออกมาใช้ เขาก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอแสดงอานุภาพของสายเลือดผสมสักหน่อยแล้วกัน!”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว
สิ้นเสียงนั้นควันสีโลหิตก็พรั่งพรูออกมาจากร่างมังกรตะขาบ
ควันสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่ามันจะกระจายตัวไปทางใด สิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นก็จะถูกกัดกร่อนไปในทันใด!
กรงเล็บมังกรตะขาบของหลินเมิ่งเจ๋อที่เพิ่งจะถูกกางออกมาโดนกัดกร่อนไปแทบจะในทันที แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นด้วยพลังสายเลือด แต่ความแข็งแกร่งของหลินเมิ่งเจ๋อก็ดูเหมือนจะลดลงไปเสียแล้ว
และที่น่าตกใจที่สุดก็คือฤทธิ์ของควันมรสุมสลายไปแทบจะหมดสิ้นเพราะควันสีโลหิตของหลินจุ้ยหลิว
หลินเมิ่งเจ๋อเห็งดันนั้นก็ตะลึง เขาต้องพึ่งพาร่มฉิงลัวกรองพลังที่ตอนนี้กำลังเปล่งแสงแรงกล้ามากขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถหยุดควันสีแดงจากฝ่ายตรงข้ามได้
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ชอบใช่ไหม นี่คือผลของการผสานสายเลือดวายุกรรโชกเข้ากับสายเลือดมังกรตะขาบ— ได้เป็น ฝุ่นเสมือน อย่างไรล่ะ มันสามารถหยุดการโจมตีได้สารพัดแบบ รวมถึงควันมรสุมของเจ้าด้วย!” หลินจุ้ยหลิวประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่โอหังนัก
“ข้ายังไม่เห็นอะไรเลย” หลินเมิ่งเจ๋อกระแอมไออีกครั้งขณะที่ชี้นิ้วออกไปหลายครั้งด้วยกัน เขาใช้การโจมตีที่ว่องไวควบคู่ไปกับร่มพิเศษคันนั้นเพื่อผลักให้ฝุ่นเสมือนถอยห่างออกไป
หลินจุ้ยหลิวไม่ได้สนใจการต้านทานของฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด มังกรตะขาบที่เบื้องหลังนั้นกำลังชูคอและคำรามอีกครั้งพร้อมกับพ่นไอหมอกออกมามากมาย
อันที่จริงแล้วร่างของมันเริ่มจะมีประกายแสงสีแดงปรากฏขึ้นและส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทางพร้อมกับส่งแรงกดดันกระจายออกไป
“นี่มัน…” ม่านตาของหลินเมิ่งเจ๋อหดตัวลงจากความตกตะลึง
“อาทิตย์วิหคทองคำ!” หลินจุ้ยหลิวคำรามขึ้พร้อมกับปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงอานุภาพออกไป ดวงอาทิตย์สีอำไพขนาดมหึมาปรากฏบนท้องฟ้าและเคลื่อนลงมาโดยไม่รอช้า มันพุ่งเข้าปะทะกับหยกผ่าวิญญาณของหลินเมิ่งเจ๋อทันที
หยกของหลินเมิ่งเจ๋อเองก็ร้ายกาจยิ่งนัก มันสามารถทำลายพลังจิตของคนคนหนึ่งได้เพียงผู้นั้นหันไปมองมันแค่แวบเดียว
ทว่าอาทิตย์วิหคอำไพของหลินจุ้ยหลิวได้ผสานเข้ากับพลังแห่งสายเลือดวิหคทองคำ
สายเลือดวิหคทองคำนั้นเป็นสายเลือดของตระกูลเฉิงแห่งอาณาจักรนกฮูก ดวงอาทิตย์ที่ปรากฏนั้นก็อัดแน่นไปด้วยรังสีความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ์ ซึ่งสามารถต้านทานธรรมชาติอันโหดร้ายของหยกผ่าวิญญาณได้โดยง่าย
หลินจุ้ยหลิวกับหลินเมิ่งเจ๋อเคยปะทะกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นหลินจุ้ยหลิวจึงรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามมีสมบัติอะไรในครอบครองบ้าง…และเขาเองก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับพวกมันไว้แล้ว
ฝุ่นเสมือนทำหน้าที่ของมันและจัดการกับควันมรสุม ในขณะที่สายเลือดวิหคทองคำก็ลบล้างอิทธิฤทธิ์ของหยกผ่าวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลินเมิ่งเจ๋อไม่กล้าที่จะใช้หยกผ่าวิญญาณต่อไปอีกแล้ว และกำลังรีบเก็บมันกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว
แต่แล้วอานุภาพพลังของหลินจุ้ยหลิวก็กำลังลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
หลินเมิ่งเจ๋อปล่อยฝ่ามือจำนวนหนึ่งออกไปเป็นแนวกั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วฝ่ามือเหล่านั้นก็ร่วมตัวกันเป็นฝ่ามือใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่ดันเอาวิหคทองคำให้ถอยกลับออกไป
ทั้งสองฝ่ายคำรามขึ้นพร้อมกัน สีหน้าของหลินเมิ่งเจ๋อดูซีดลงขณะที่หลินจุ้ยหลินกำลังส่งเสียงโหยหวน…….วิหคทองคำอาจรับมือกับหยกผ่าวิญญาณได้ก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถต้านทานอานุภาพของมังกรตะขาบได้
ไม่ช้า อาบพิฆาตใจก็ปรากฏอีกครั้ง คราวนี้หลินจุ้ยหลิวตอบสนองด้วยการเรียนสายน้ำขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง
สายเลือดทั้งเจ็ดของเขายังไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ถึงแม้จะยังมีช่องว่าง ก็ถือได้ว่าหลินจุ้ยหลิวได้ทำสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง
ทุกครั้งที่เขาโจมตี หลินจุ้ยหลิวจะหล่อเลี้ยงมันด้วยพลังจากเทพอสูรสองตนด้วยกัน แต่หนึ่งในนั้นก็จะต้องเป็นมังกรตะขาบ…เพราะอย่างไรแล้วมันก็คือสายเลือดดั้งเดิมของเขา
ดังนั้นหลินจุ้ยหลิวจึงสร้างการผสานสายเลือดขึ้นได้ถึงหกแบบ ซึ่งทำให้เขาสามารถปลดปล่อยทักษะอันทรงพลังได้ถึงหกชนิด
ฝุ่นเสมือนของเขาเกิดจากการผสานกันของสายเลือดวายุกรรโชกและสายเลือดมังกรตะขาบ ในขณะที่ อาทิตย์วิหคทองคำนั่นเกิดขึ้นจากผนวกรวมของสายเลือดวิหคทองคำกับสายเลือดมังกรตะขาบ ซึ่งคราวนี้ หลินจุ้ยหลิวก็กำลังผสานลั่วโหยวกับมังกรตะขาบเข้าด้วยกัน
กล่าวกันว่ามังกรตะขาบนั้นมีมือจำนวนหลายพันข้าง นอกจากความสามารถในการใช้และต้านทานพิษที่มีมาโดยกำเนิดแล้วนั้น มือจำนวนมหาศาลก็ยังทำให้มันสามารถปลดล่อยการโจมตีหลายครั้งได้ในเวลาเดียวกัน โดยมันสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดได้ถึงหลายสิบ หรือแม้กระทั่งหลายร้อยชนิดพร้อม ๆ กันอีกด้วย แต่กระนั้น การทำเช่นนี้ก็เป็นการใช้พลังต้นกำเนิดในปริมาณที่สัมพันธ์กันด้วย และผู้ใช้งานเองก็จะต้องมีความสามารถที่จะใช้ทักษะต้นกำเนิดหลายอย่างพร้อมกัน
อย่างไรก็แล้วแต่ พลังในการทำลายล้างของมังกรตะขาบก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย
และมันคือสิ่งที่หลินเมิ่งเจ๋อเพิ่งจะแสดงให้เห็นไปเมื่อครู่นี้ เขาใช้ทักษะต้นกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อม ๆ กันและผสานทั้งหมดนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งสำหรับในทวีปต้นกำเนิดแล้ว มันเทียบได้กับฝ่ามืออรหันต์เลยทีเดียว
หลินจุ้ยหลิวก็กำลังใช้ลักษณ์ของสายเลือดให้เป็นประโยชน์เช่นกัน
มือมากมายของมังกรตะขาบกับการควบคุมสายน้ำของลั่วโหยวรวมเข้าด้วยกันและก่อตัวเป็นสายน้ำจำนวนหลายร้อยสาย แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่สายน้ำแต่ละสายนั้นล้วนมีทักษะต้นกำเนิดในรูปแบบที่แตกต่างกันไปทิ้งสิ้น
หลินจุ้ยหลิวเองก็ใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทน้ำนับพันชนิดไปพร้อม ๆ กันด้วย และซ้อนพวกมันเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันตัวเองจากดาบพิฆาตใจ
ความสามารถในการโจมตีของดาบพิฆาตใจก็น่าประทับใจเช่นกัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทักษะต้นกำเนิดนับพันชนิดที่เข้ามาขัดขวาง ดาบที่ว่าทรงพลังก็ไม่สามารถทะลวงไปได้เช่นกัน
ทันทีที่พลังทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกัน ดาบพิฆาตใจก็เด้งออกไปอีกทางหนึ่ง และมวลน้ำของหลินจุ้ยหลิวก็สลายหายไป
สีหน้าของทั้งสองฝ่ายพลันหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งคู่ก็ไม่หยุดพักและโจมตีต่อโดยไม่รอช้า
ในด้านของความแข็งแกร่งแล้ว การวิจัยสายเลือดผสมของหลินจุ้ยหลิวนั้นเรียกได้ว่าสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง ในขณะที่พลังของหลินเมิ่งเจ๋อกำลังเสื่อมลงเพราะฝันร้ายจากคำสาป อีกทั้งหลินจุ้ยก็ยังทำให้บาดเจ็บมาแล้วก่อนหน้านี้จากการซุ่มโจมตี ดังนั้นแล้วเขาจึงเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่าอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นหลินเมิ่งเจ๋อก็ยังมีสมบัติหลายชิ้นอยู่กับตัว นอกจากเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสูงทั้งสี่แล้ว จักรพรรดิ์หลินเมิ่งเจ๋อก็ยังมีสมบัติอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ทั้งยา ค่ายกลต่าง ๆ และสมบัติใช้แล้วทิ้งทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่ายิ่ง และขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไปนั้น หลินเมิ่งเจ๋อก็จะเอาของเหล่านั้นออกมาใช้อยู่เรื่อย ๆ
นั่นจึงทำให้การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างเท่าเทียมกัน
ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปแล้ว การต่อสู้ในลักษณะนี้มักกินเวลานานหลายวันกว่าที่จะตัดสินผู้ชนะและผู้แพ้ได้
ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันนั้นมีพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาล และการที่มันจะถูกผลาญไปจนหมดในเวลาอันสั้นก็เป็นไปได้ยาก
ทว่าหลงพั่วจวินก็อยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย
เขายังไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปะทะครั้งนี้ ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ หลินเมิ่งเจ๋อ อยู่ดี
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่หลงพั่วจวินค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงจังหวะของมันและเริ่มที่จะเห็นช่องว่างในการโจมตีของทั้งสองฝ่าย เมื่อเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มขยับเข้าไปให้ใกล้ตำแหน่งของหลินเมิ่งเจ๋อทีละน้อย
และเพราะร่างกายที่กำยำ หลงพั่วจวินจึงมักต่อสู้ด้วยการบุกแบบซึ่ง ๆ หน้า และแทบจะไม่ซุ่มโจมตีใครเลย
ทว่าวันนี้ เพื่อเห็นแก่ตัวเอง และหญิงสาวที่สละชีวิตเพื่อเขาแล้ว หลงพั่วจวินก็จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น
หลงพั่วจวินพลันเห็นโอกาสและเคลื่อนไหวทันทีโดยไม่รอช้า เขาปล่อยหมัดเข้าใส่หลังของหลินเมิ่งเจ๋ออย่างแรง “ตายซะเถอะหลินเมิ่งเจ๋อ!”
สีหน้าของหลินจุ้ยหลิวเปลี่ยนไปทันที “อย่านะ!”
หลงพั่วจวินมองดูด้วยความตกตะลึงขณะที่หลินเมิ่งเจ๋อหัวเราะและเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขา
นั่นเขากำลังหัวเราะอยู่อย่างนั้นหรือ
เดี๋ยว!
เมื่อกี้นี้หลินเมิ่งเจ๋อหันหลังให้กับเขาไม่ใช่หรอกหรือ
แล้วทำไมจู่ ๆ เขาถึงหัวเราะออกมาแบบนั้น
นั่นหน้าเขาอย่างนั้นหรือ…
หลงพั่วจวินต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าใบหน้าที่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังนั้นคือหน้าของหลินเมิ่งเจ๋อ
ใบหน้านั้น…ปรากฏที่ด้านหลังศีรษะของหลินเมิ่งเจ๋อ
ไม่ช้าภาพตรงหน้าของหลงพั่วจวินก็มืดลง…ร่างของเขากำลังลอยออกไปในอากาศ