ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 53 อำลา
บทที่ 53 อำลา
“ฟ่ออ!”
ขณะที่ร่างของชายหนุ่มลอยออกไป สายตาของเขายังคงมองเห็นใบหน้าของหลินเมิ่งเจ๋อที่กำลังยิ้มยิงฟันให้กับเขา…รังสีแห่งความชั่วร้ายจากยิ้มนั้นแผ่ไปทั่วร่างของ หลงพั่วจวิน
ในตอนนั้นเอง หลินจุ้ยหลิวก็โจมตีเช่นเดียวกัน……ลำแสงมากมายกำลังพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน
เมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็จะเห็นว่าลำแสงเหล่สยั้ยแท้จริงแล้วเป็นใบมีดที่คมกริบจำนวนมาก คมมีดเหล่านั้นพร้อมที่จะตัดผ่านทุกอย่างที่ขวางหน้ามันอย่างไร้ปราณี
มันคือการผสานระหว่างสายเลือดเขี้ยวขาวกับสายเลือดมังกรตะขาบนั่นเอง ตัวใบมีดนั้นมีพลังในการทำลายล้างอยู่แล้ว แต่เพราะมังกรตะขาบ หลินจุ้ยหลิงจึงสามารถปล่อยใบมีดจำนวนนับพันออกไปได้ในคราวเดียว
แน่นอนว่าด้วยใบมีดจำนวนมากมายที่โจมตีพร้อมกันนั้นย่อมมีอานุภาพเหนือกว่าการใช้ใบมีดเพียงหนึ่งเดียวอยู่แล้ว แม้ว่าใบมีดเหล่านั้นจะมีพลังเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของใบมีดปกติ แต่การโจมตีเช่นนี้ก็ถือเป็นการเพิ่มพลังให้กับมันถึงสิบเท่าเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้ว เพราะหลินจุ้ยหลิวนั้นเชี่ยวชาญในทักษะของเขายิ่งนัก พลังของใบมีดทั้งหลายจึงเหนือกว่าตัวอย่างที่ได้กล่าวมากอีกหลายขุม!
แต่ละใบมีดที่ถูกส่งออกไปนั้นอัดแน่นไปด้วยรังสีแห่งความชั่วร้าย……ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือการโจมตีอย่างเต็มกำลังของหลินจุ้ยหลิว
ในขณะที่กำลังโจมตีอยู่นั้น หลินเมิ่งเจ๋อก็พลันหันหน้ามา
ใบหน้าที่ด้านหลังนั้นกำลังขู่ฟ่อใส่หลินจุ้นหลิว ใบมีดมากมายที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าพลันหยุดนิ่งและไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก……
หลินเมิ่งเจ๋อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อถอยหนี พร้อมกับสร้างมือขนาดใหญ่ขึ้นและคว้าร่างของหลงพั่วจวินเอาไว้ แม้กระทั่งตอนนี้….เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวหลงพั่วจวินให้หลุดมือไปได้
ทว่าวินาทีที่มืดนั้นกำลังจับคว้าร่างของชายหนุ่มไว้ได้ หลงพั่วจวินก็คำรามขึ้นและแสงสีโลหิตก็ส่องสว่างขึ้นจากร่างของเขา
เสียงคำรามอันดุร้ายเรียกพลังทั้งหมดในกายของหลงพั่วจวินออกมา มวลอากาศหมุนวนสีแดงฉานขนาดยักษ์พุ่งเข้าปะทะกับมือของหลินเมิ่งเจ๋ออย่างแรงจนทำให้เขาต้องร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและกระเด็นออกไปจากตรงนั้น
“อย่าได้คิดที่จะหนีเชียว!” หลงพั่วจวินรู้ได้ทันทีว่าหลินเมิ่งเจ๋อกำลังคิดจะหนี เขาจึงตะโกนออกไป
ฝ่ายหลินเมิ่งเจ๋อกล่าวตอบ “ถ้าข้าคิดจะไป แล้วใครกันจะหยุดข้าได้ หลงพั่วจวิน ข้าจะกลับมาเอาชีวิตเจ้าทีหลังก็แล้วกัน”
“ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นหรอก” หลินจุ้ยหลิวกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วออกไป
อินทรีย์ยักษ์ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้า
มันพุ่งตัวลงมาและพร้อมโจมตีด้วยจงอยปากที่แหลมคมนั้นทันที!
นี่คือสายเลือดอินทรีย์เย้ยเมฆาของตระกูลตู้นั่นเอง แต่มันคราวนี้มันไม่ได้ถูกผสานเข้ากับสายเลือดมังกรตะขาบอย่างสายเลือดอื่น ๆ เพราะการทำเช่นนั้นทำให้หลินจุ้ยหลิวต้องใช้พลังจนร่างกายอ่อนล้า ซึ่งแม้ว่าเขาจะเก่งกาจนัก แต่ก็ไม่สามารถผสานสายเลือดติดต่อกันได้ภายในเวลาอันสั้น
แต่กระนั้น เพียงนิ้วมือที่ชี้ออกไปก็มีความสามารถในการทิ่มแทงที่น่าเหลือเชื่อ มันพุ่งเข้าใส่หลังของหลินเมิ่งเจ๋อ และทำให้เขาต้องร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ร่างของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่กระเด็นไกลออกไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสจะได้หันกลับมามองได้ด้วยซ้ำ
หลินจุ้ยหลิวไม่เสียเวลาตามไปด้วย เขาเพียงมองดูร่างนั้นลอยไกลออกไปเท่านั้น
“ทำไมไม่ตามไปเล่า” หลงพั่วจวินถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ
หลินจุ้ยหลิวส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์หรอก ข้ารู้จักเขาดีที่สุด หลินเมิ่งเจ๋อน่ะระมัดระวังตัวอย่างที่สุดเสมอ แล้วก็มีหลายวิธีเหลือเกินที่จะช่วยให้เขาหนีไปได้ แทนที่จะสังหารเขา…ข้าคิดว่าการทำลายพลังบางส่วนของเจ้านั่นน่าจะดีเสียกว่า”
พูดจบหลินจุ้ยหลิวก็เหลือบมองดาบพิฆาตใจกับร่มฉิงลัวกรองพลัง
ดาบนั้นยังคงต่อกรอยู่กับไข่มุกตรึงดาว ในขณะที่ร่มฉิงลัวกรองพลังก็ยังคงตอบโต้กับวิชามังกรตะขาบของหลินจุ้ยหลิวอย่างไม่หยุดหย่อน
เขาไม่ได้ตามร่างของหลินเมิ่งเจ๋อที่ลอยไกลออกไปตามแรงปะทะก็เพราะหลินจุ้ยหลิวต้องการที่จะเพ่งพลังเพื่อกดร่มคันนั้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้หลินเมิ่งเจ๋อเรียกร่มกลับไปได้นั่นเอง ตอนนี้เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แรงต้านทานของร่มจึงลดลงไปมาก จนในที่สุดมันก็หุบลงและร่วงจากท้องฟ้าลงมาสู่มือของหลินจุ้ยหลิว
ดาบพิฆาตใจก็เช่นเดียวกัน
ส่วนหยกผ่าวิญญาณกับควันมรสุมนั้น หลินเมิ่งเจ๋อได้เก็บพวกมันกลับไปแล้ว อย่างไรแล้วมันก็เป็นของเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรก การเรียกกลับคืนจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
หลินจุ้ยหลิวไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขาหัวเราะและกล่าวต่อไป “ด้วยสมบัติสองชิ้นนี่ หลินเมิ่งเจ๋อคงไม่มีโอกาสอีกแล้วละ ฮ่า ๆๆๆ!”
“ข้าว่าเราพลาดโอกาสในการสังหารเขาไปแล้วนะ!” หลงพั่วจวินกล่าวพร้อมกับกอดอก “เขายังคงโดยฝันร้ายพวกนั้นโจมตีอยู่เรื่อย ๆ เขาจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ได้หรอก”
“แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองเวลา” หลินจุ้ยหลิวตอบและหันไปมองหลงพั่วจวินด้วยความประหลาดใจ
หลงพั่วจวินกระแอมไอก่อนจะพูดต่อไป “เขาฆ่าเหยาเหยา ข้าจะปล่อยให้เขาหนีไปแบบนั้นได้อย่างไรกัน”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้ายินดีที่จะทรยศต่ออาณาจักรของตัวเองเพราะเห็นแก่ผู้หญิงอย่างนั้นหรือ ความจงรักภักดีของเจ้าหายไปไหนหมด” หลินจุ้ยหลิวถอนใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น หลงพั่วจวิน ก็ไม่พอใจ “พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
“หมายความว่าอย่างไรหรือ” หลินจุ้ยหลิวหัวเราะลั่น “ข้าไม่เหมือนเจ้าหรอกนะ เป้าหมายของข้าก็คือการเป็นผู้ปกครองอาณาจักรหลงซาง ส่วนการจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรนั้นข้าไม่สนใจหรอก และหากข้าได้เป็นจักรพรรดิ์ ข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่อยู่ใต้บัญชาจะต้องเชื่อฟังข้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อข้าอย่างที่คิดไว้เสียแล้วสิ”
สิ้นคำนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าร่างของหลงพั่วจวินทันที
“นี่!” หลงพั่วจวินไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลินจุ้ยหลิวจะโจมตีเขา “ข้าเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับกองทัพกำลังสวรรค์ ถ้าเจ้าทำอย่างนี้ ซูเฉินจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่”
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเขาหรือ” คราวนี้สีหน้าของหลินจุ้ยหลิวดูจริงจังทีเดียว
หลินจุ้ยหลิวเป็นคนที่มีเป้าหมายของตัวเองในการได้ปกครองโลกใบนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่พยายามอย่างหนักถึงเพียงนี้ที่จะผสานสายเลือดทั้งเจ็ดเข้าด้วยกัน ความร่วมมือของเขากับซูเฉินนั้นเกิดขึ้นเพราะมีประโยชน์บางอย่าง และไม่ได้บ่งชี้เลยว่าเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของซูเฉิน ไม่อย่างนั้นแล้วเยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอก็คงไม่ต้องการทำการใด ๆ “ในนาม” ของหลินจุ้ยหลิว
ทว่าเมื่อหลินจุ้ยหลิวนึกถึงผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนนับหมื่นคนของนิกายไร้ขอบเขต หัวใจของเขาก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
หลินจุ้ยหลิวเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านมหาราชัยที่สามารถผสานสายเลือดอันทรงพลังเข้าด้วยกันได้ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลับมากมาย เขากำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้อยู่แล้วด้วยซ้ำ
แต่กระนั้น หลินจุ้ยหลิวกลับไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารมากถึงหลายหมื่นคนพร้อมกันได้หรือไม่
หลินจุ้ยหลิวจึงกล่าวเสริมอีกว่า “ต่อให้ข้าสังหารเจ้าเสียตรงนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอก ข้าจะไปโทษหลินเมิ่งเจ๋อเอาก็ยังได้”
หลงพั่วจวินมองทะลุปรุโปร่งและรู้แล้วว่าหลินจุ้ยหลิวก็ยังระวังตัวกับซูเฉินอยู่เหมือนกัน “เจ้าคงลืมไปว่าซูเฉินมีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ไม่มีความลับใดในโลกนี้หรอกที่จะสามารถหลุดรอดไปจากสายตาของเขาได้”
หลินจุ้ยหลิวขมวดคิ้ว
จริงอยู่ที่ว่าความลับเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่จะหลุดรอดจากการรับรู้ของซูเฉินไปได้ ตราบใดที่เขายังมีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอยู่ในครอบครอง
หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง “ข้าก็แค่พูดติดตลกกับเจ้าเท่านั่นละ ไม่จำเป็นต้องคิดจริงจังกับคำพูดของข้านักหรอก แม่ทัพหลง ตอนนี้ข้าเริ่มมีอำนาจมากขึ้นแล้ว และก็ต้องการผู้นำทัพอย่างเจ้า ข้าเองยังไม่มีโอกาสได้ใช้บริการเจ้าเลย ข้าจะสังหารเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลงพั่วจวินจ้องเขม็ง “ข้าไม่มีทางเชื่อคำพูดพวกนั้นหรอก แต่เจ้าก็พูดถูกอย่างเรื่องหนึ่ง นั่นคือความภักดีของข้าคงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ถ้าเจ้าต้องการสุนัขที่ซื่อสัตย์ ก็ไปหาเอาเองสิ ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการหรอก”
หลินจุ้ยหลิวหรี่ตามองฝ่ายตรงข้าม “เจ้าหมายความว่า……”
“จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไปในทางของเจ้า และข้าก็จะไปในทางของข้า ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะร่วมมือกัน และในอนาคตเราก็จะไม่พบกันอีก” หลงพั่วจวินกล่าว
“อย่างนั้นหรือ” หลินจุ้ยหลิวมองด้วยสายตาเยือกเย็น เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ภูติดูดวิญญาณ ของหลินเมิ่งเจ๋อคำสาปนี้จะกัดกินเจ้าและทำลายร่างกายของเจ้าไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีข้าคอยช่วย…เจ้าจะตายภายในครึ่งชั่วยาม”
หลงพั่วจวินยิ้มเล็ก ๆ เมื่อได้ยินดังนั้น “อย่างนั้นสินะ ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าข้าคงต้องไปยังน้ำพุอำพันโดยปราศจากความช่วยเหลือของเจ้า มันควรจะเป็นอย่างนั้นละ ข้าน่าจะตายไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ แล้วในตอนนี้ความปรารถนาของข้าที่จะได้พบกับเหยาเหยาอีกครั้งก็กำลังจะเป็นจริง น่าเสียดายที่ข้าจะไม่ได้เห็นหลินเมิ่งเจ๋อตายด้วยตาของตัวเอง แต่เรื่องนั้นก็คงไม่มีความหมายอะไรหรอก อย่างไรเขาก็ต้องตายอยู่ดี ไม่ว่าข้าจะได้เห็นมันกับตาหรือไม่ ชะตาของหลินเมิ่งเจ๋อก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนนี้ข้ายินดีเหลือเกินที่จะรับความตาย”
สิ้นคำนั้นหลินจุ้ยหลิวก็เหาะออกไป
เมื่อเห็นดังนั้นหลินจุ้ยหลิวก็ผงะ “เอาละ ช่างเถอะ ถึงแม้เจ้าจะจองหองและดื้อด้านนัก แต่เจ้าก็สนิทสนมกับนิกายไร้ขอบเขต เพราะเห็นว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับซูเฉิน ข้าจะช่วยสักหน่อยก็แล้วกัน”
เขาเอื้อมมือออกไปและนิ้วมือหนึ่งสัมผัสที่หลังของหลงพั่วจวิน พลังสีดำที่เริ่มกระจายตัวไปบนบหน้าของชายหนุ่มเริ่มจางลงเล็กน้อย
เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ก็ประกบมือทั้งสองและโค้งตัวลงคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณ
หลินจุ้ยหลิวพูดขึ้น “ภูติดูดวิญญาณของหลินเมิ่งเจ๋อน่ะน่ารำคาญนักละ ถ้าข้าอยากจะช่วยชีวิตเข้า ข้าก็ต้องจ่ายแพงทีเดียว ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าควบคุมไม่ให้มันแพร่ออกไปเท่านั้น จะได้มีชีวิตต่อไปได้อีกหน่อย ถ้าเจ้าต้องการให้ข้ารักษาจริง ๆ ข้าก็จะต้องเสียสละรากฐานการฝึกตนของข้าไปด้วย ถ้าเจ้ายอมมาเป็นสุนัขที่ภักดีของข้า ข้าก็ทำให้เจ้าได้ แต่ถ้าเข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้าก็คงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ และข้าก็ไม่คิดว่าซูเฉินจะทำอะไรได้มากนักกับเรื่องนี้”
“เท่านี้ก็พอแล้ว” หลงพั่วจวินตอบและเหาะออกไป
เขามุ่งหน้าออกไปอย่างไรเป้าหมาย
ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย เขาก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าตัวเองจะมุ่งหน้าไปที่ไหน อย่างไรแล้วเขาก็ทำภารกิจที่ปราการลุ่มน้ำทองลุล่วงไปแล้ว และหนี้ที่ติดค้างระหว่างเขากับหลินเมิ่งเจ๋อก็ถูกชำระเรียบร้อย เมื่อไม่มีพันธอะไรในใจอีกต่อไป หลงพั่วจวินก็เริ่มผ่อนคลายและออกเดินทางไปทั่ว เมื่อมองไปยังโลกที่สวยงามรอบตัว ชายหนุ่มก็พบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเขาละเลยหลายสิ่งหลายอย่างที่แสนงดงามมาตลอด
หลงพั่วจวินเหาะไปหลายแห่งตามที่ใจต้องหารในหลายวันนี้ ในขณะเดียวกันนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และแม้แต่กระดูกปีศาจโลหิตก็ไม่สามารถรักษาร่างกายนั้นไว้ได้
หลงพั่วจวินรู้ว่าสาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้นั้นก็เพราะภูติดูดวิญญาณที่กำลังกัดกินพลังจิตและสูบเอาพลังชีวิตของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เขาเหาะไปบนยอดเขาที่มีทิวทัศน์อันงดงามราวกับภาพวาดรอทักทายอยู่
หลงพั่วจวินกำลังชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบขณะที่เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “แม่ทัพหลง! แม่ทัพหลง!”
หลงพั่วจวินเหลือบมองไปด้านข้างและอดหัวเราะขึ้นไม่ได้ “แม่ทัพหลิ่ว”
ชื่อของแม่ทัพหลงก็คือ หลิ่วซือถง ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในทหารจำนวนมากที่ทำหน้าที่รับใช้หลงพั่วจวินมาก่อน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลิ่วซือถงหนีออกมาได้สำเร็จ และในวันนี้ทั้งสองก็บังเอิญได้มาพบกัน
เมื่อหลิ่วซือถงเห็นหลงพั่วจวิน เขาก็รีบตรงเข้ามาทักทายด้วยความดีใจ “แม่ทัพหลงนั่นเอง! ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านไม่เป็นไร”
หลงพั่วจวินยิ้มและเล่าถึงเหตุการณ์ที่หลินจุ้ยหลิวช่วยชีวิตเขา
สีหน้าของหลิ่วซือถงเปลี่ยนไปทันทีด้วยความเสียใจ “ถ้าข้าไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้….ตอนที่ข้าเห็นจักรพรรดิ์นั่น ความคิดเพียงอย่างเดียวในหัวข้าก็คือข้าต้องเอาชีวิตรอด”
หลงพั่วจวินตอบกลับอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก จักรพรรดิ์คนนั้นน่ะมีวิชาพลังจิตที่ประหลาดนัก ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะไม่อยากสู้กับเขา”
นอกจากแรงกดดันที่หลินเมิ่งเจ๋อส่งไปครอบงำพวกเขาแล้ว อีกสาเหตุสำคัญที่ทุกคนพากันหนีไปนั้นก็คือความสามารถในการกดเจตจำนงในการต่อสู้ของเหล่าทหารนั่นเอง ดังนั้นเมื่อหลงพั่วจวินออกคำสั่งให้ทหารทั้งหลายหนีไป พวกเขาจึงทำตามทันทีโดยไม่ลังเล
ทว่าหลังจากหนีไปจากสถานการณ์นั้นได้แล้ว หลายคนก็เริ่มได้สติกลับมาและรู้ตัวว่าตัวเองละทิ้งความเกรงกลัวต่อความตายไปนานแล้ว…แต่ทำไมพวกเขาถึงได้หนีมาอย่างนี้ล่ะ
เหล่ามหารกล้าพากันกลับไปที่เกิดเหตุทันทีอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
โชคไม่ดีนักที่เมื่อไปถึง…ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
แม่ทัพหลิ่วเป็นหนึ่งในทหารที่มุ่งหน้ากลับไปที่นั่น เขาคิดว่าหลงพั่วจวินคงถูกสังหารไปแล้วและกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทว่าเขากลับได้มาพบกับหลงพั่วจวินที่นี่เสียอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น……หลิ่วซือถงก็ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้ว หลงพั่วจวิน ก็จะต้องตายอยู่ดี
ชายทั้งสองนั่งลงดื่มเหล้าและพูดคุยกันที่บนยอดเขาแห่งนั้น
หลงพั่วจวินแทบไม่พูดอะไรเลย แต่เขาใช้เวลานี้ในการเล่าความลับของตัวเองให้กับหลิ่วซือถง
เขาบอกกับหลิ่วซือถงถึงเรื่องกระดูกปีศาจโลหิตเรื่องเหยาเหยา เรื่องการเดินทางของเขากับเพลิงทมิฬ และเรื่องที่เขาได้พบกับซูเฉิน
“ข้ากำลังจะตาย” หลงพั่วจวินกล่าว
หลิ่วซือถงมองดู หลงพั่วจวิน ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย
หลงพั่วจวินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับอดีตลูกน้องว่า “ไม่ว่าช้าหรือเร็วความตายก็ต้องมาเยือนอยู่ดี จะกังวลไปเพื่ออะไรกัน การที่ข้าได้มีคนที่ไว้ใจที่สุดอยู่ข้าง ๆ ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตนั้นก็มากเกินพอแล้วละ”
“ท่านแม่ทัพ!!!” หลิ่วซือถงร้องไห้โฮ
หลงพั่วจวินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว “ข้าเกรงว่าจะยังมีบางอย่างที่ข้ายังหาคำตอบไม่ได้…ซือถงเจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหม”
“บอกข้ามาเถอะ ท่านแม่ทัพ ต่อให้ต้องสละชีวิตข้าก็ยอม!”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่หลังจากข้าตายไป เอากระดูกปีศาจโลหิตออกไปจากตัวข้าและดูแลมัน จากนั้น…..ไปที่หุบเหว มอบมันให้กับซูเฉิน นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะทำให้กับนิกายไร้ขอบเขต…ให้กองทัพกำลังสวรรค์ได้”
เสียงของหลงพั่วจวินค่อย ๆ เบาลงขณะที่เขาหลับตาลง