ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 54 ศึกชี้ชะตากำลังใกล้เข้ามา
บทที่ 54 ศึกชี้ชะตากำลังใกล้เข้ามา
ที่บนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
ในพระราชวังของนิกายไร้ขอบเขต
ซูเฉินมองไปในกล่องยาวและพบว่ามีกระดูกชิ้นหนึ่งอยู่ในนั้น มันกำลังเปล่งประกายสีแดงสด
กระดูกโลหิตปีศาจนั่นเอง
หลังจากพินิจพิเคราะห์ต่ออีกหน่อยแล้วซูเฉินก็ถอนใจ “ขอบคุณมากแม่ทัพหลิ่ว ที่ท่านพยายามอย่างหนัก”
แม่ทัพหลิ่วตอบ “เจ้านิกายซู กระดูกโลหิตปีศาจนี้ถูกแยกส่วนออกไปแล้วเล็กน้อย”
“หือ ?” ซูเฉินหันไปมองหลิ่วซือถง
หลิ่วซือถงอธิบายต่อทันที “ส่วนที่หายไปนั้นถูกส่งไปยังหลินเมิ่งเจ๋อ”
ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็ผงะ “ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นล่ะ”
“ก็เพื่อจะได้มีชีวิตต่อไปอย่างไรล่ะ” หลิ่วซือถงตอบ “หลินจุ้ยหลิวนั่งดูแม่ทัพหลงตายโดยไม่ช่วยเหลือใด ๆ เลย เป้าหมายของเขาก็คือการที่จะได้พลังจากหลินเมิ่งเจ๋อมาได้ง่ายดายมากขึ้นหลังจากที่เขาตาย… แต่ข้าจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน”
ผู้ที่หลิ่วซือถงเกลียดเหลือเกินที่ทำให้หลงพั่วจวินต้องตายนั้นไม่ใช่หลินเมิ่งเจ๋อ ! และความเคียดแค้นนั่นก็หยั่งรากลึกลงในใจของเขาเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น หลิ่วซือถงก็ขุ่นเคืองอยู่เหมือนกันที่หลินจุ้ยหลิวยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูหลงพั่วจวินตายโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
ดังนั้นไม่นานหลังจากที่หลงพั่วจวินสิ้นใจ หลิ่วซือถงจึงช่วยให้หลินเมิ่งเจ๋อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหน่อยด้วย
เขาต้องการสร้างปัญหาให้กับหลินจุ้ยหลิว หรืออย่างน้อยก็ทำให้หลินจุ้ยหลิวไม่สามารถมีอำนาจควบคุมอาณาจักรหลงซางได้โดยง่าย
ซูเฉินที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่แม่ทัพหลิ่วทำก็ถึงกับพูดไม่ออก
“แต่ถ้าทำแบบนั้น หลินเมิ่งเจ๋อก็จะมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี”
หลิ่วซือถงตอบ “เจ้านิกายซู หากปล่อยให้หลินเมิ่งเจ๋อตายไปอย่างนั้น มันก็ดูเหมือนจะเป็นการลงโทษที่เบาไปหน่อยสำหรับเขา พวกเราทั้งหลายที่รับใช้แม่ทัพหลง ต่างก็หวังจะได้เห็นอาณาจักรของเขาเสื่อมลงขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ และโค่นเขาลงจากบัลลังก์เสีย จากนั้นจึงฉีกร่างของจักรพรรดินั่นเป็นชิ้น ๆ เพื่อแก้แค้นให้กับแม่ทัพหลง แต่พวกข้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอจะทำเช่นนั้นได้……”
ซูเฉินเข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายดี “ก็เลยอยากให้ข้าทำให้อย่างนั้นหรือ ?”
หลิ่วซือถงก้มหน้า “แม่ทัพหลงบอกข้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิกายไร้ขอบเขต ตอนนี้เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อก็ได้ยั่วโมโหนิกายของท่านแล้ว ไม่ช้าไม่นานพวกท่านก็จะต้องตอบโต้เขา”
ซูเฉินคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปเพียงว่า “ข้าเข้าใจ”
“ท่านเจ้านิกาย !” หลิ่วซือถงร้องขึ้น
ซูเฉินไม่สนใจคำร้องขอและกล่าวต่อไปด้วยเสียงแผ่วเบา “หากนิกายไร้ขอบเขตต้องการจะแข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้ พวกเราก็ยังต้องการพลังจากผู้ฝึกตนที่เก่งกาจอีกหลายชีวิต”
หลิ่วซือถงเข้าใจทันที “ซือถงยินดีที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขต หากเจ้านิกายต้องการ ข้าจะกลับไปยังอาณาจักรหลงซางและรวมพลอดีตลูกน้องของข้าด้วย”
ซูเฉินไม่ตอบอะไรอีกและส่งสัญญาณให้หลิ่วซือถงกลับออกไป
…หลังจากหลิ่วซือถงถอยกลับออกไป ในห้องโถงหลักก็พลันเหลือซูเฉินอยู่เพียงคนเดียว
ซูเฉินเพ่งมองกระดูกโลหิตปีศาจในที่บรรจุของมันอยู่นานท่ามกลางความเงียบงัน
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็พลันร้องเรียกขึ้น “คนใช้ !”
หนึ่งในศิษย์นิกายไร้ขอบเขตรีบรุดเข้ามาในโถงแห่งนั้น “ขอรับท่านเจ้านิกาย !”
“ส่งข่าวไปยังเขาหมื่นดาบ บอกให้หลินเฉ่าเซวียนทราบว่า…หลงพั่วจวินถูกสังหารในการต่อสู้”
ในพริบตาเดียว… เวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสามปี
พวกเขาอยู่ในหุบเหวนี้มานานห้าปีแล้ว
ในช่วงเวลาห้าปีนี้ กองเรือได้ผ่านการต่อสู้และการปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ มามากมาย อีกทั้งยังสังหารอสูรทะเลไปจำนวนนับไม่ถ้วน
อันที่จริงแล้วพวกเขายังได้สร้างเส้นทางการค้าเส้นใหม่จากหุบเหวไปยังแผ่นดินใหญ่อีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้
ในระหว่างนี้ การเปลี่ยนแปลงมากมายก็ได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ เขตแดนของทวีปต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน
อย่างแรกสุดเลยก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าคนเถื่อน
ตานปาเป็นฝ่ายชนะ
เมื่อปีก่อนนั้น ตานปาได้นำทัพของเขามุ่งหน้าไปยังปราการกู่หลานและสังหารราชาผู้บ้าคลั่งด้วยตัวเอง รวมถึงยึดเอาวังเค่อเท่อหลู่ไว้ในครอบครอง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปกครองเผ่าคนเถื่อนของชนเผ่าเพลิงที่กินเวลายาวนานนับพันปีก็สิ้นสุดลง และชนเผ่ากิ้งก่ากรวดก็ขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจแทน
สงครามกลางเมืองยังคุกรุ่นอยู่ในอาณาจักรหลงซาง
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นยังเกิดผลที่เหนือความคาดหมายอีกด้วย
เดิมทีหลินเมิ่งเจ๋อนั้นเข้าใกล้ความตายเต็มที แต่การแก้แค้นของหลิ่วซือถงกลับมอบโอกาสให้หลินเมิ่งเจ๋อได้โจมตีหลินจุ้ยหลิวอีกครั้ง
หลินจุ้ยหลิวเฝ้ารอที่จะได้ยินข่าวการตายของหลินเมิ่งเจ๋อมานานเหลือเกินแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นสักที เขาจึงพลาดโอกาสและหลินเมิ่งเจ๋อก็ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อสั่งสอนบทเรียนครั้งใหญ่ให้กับหลินจุ้ยหลิว ณ ที่ราบธารน้ำเซียน
กองทัพขนาดใหญ่ที่หลินจุ้ยหลิวสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นพ่ายแพ้กองทัพของจักรพรรดิอย่างราบคาบ และในขณะที่พวกเขากำลังจะโจมตีด้วยพลังทำลายล้างนั้นเอง นิกายไร้ขอบเขตก็พลันเข้ามาโจมตีจากด้านหลังซึ่งทำให้หลินเมิ่งเจ๋อตกใจไม่น้อย จนสุดท้ายเหตุการณ์นี้ก็จบลงด้วยการเปิดโอกาสให้หลินจุ้ยหลิวได้หนีไปอีกครั้ง
หลินเมิ่งเจ๋อโกรธจัด และเพ่งความสนใจไปยังเขาหมื่นดาบทันที
หลืนเฉ่าเซวียนนำศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไปยังที่ซ่อนตัว
ทั้งสองฝ่ายต้องตกอยู่ในสงครามเช่นนั้นเป็นเวลานานถึงกว่าครึ่งปี
เมื่อราวสองปีก่อน หลินเมิ่งเจ๋อได้ซุ่มโจมตีศิษย์ระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตด้วยตัวเอง ขณะกำลังจะกำจัดคู่ต่อสู้อยู่นั้น ทหารที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ซึ่งหลังจากที่โจมตีทัพของอาณาจักรหลงซางและทำให้พรรคพวกของหลินเมิ่งเจ๋อสับสนได้แล้ว… ทหารกลุ่มนั้นก็หายไป
หลินเมิ่งเจ๋อออกค้นหาไปทั่วแต่ก็ไม่พบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับทหารกลุ่มนี้เลย
เรื่องนี้ถูกเก็บเอาไว้นานถึงสองปี และข่าวที่ว่านิกายไร้ขอบเขตมีกองทัพลับก็เริ่มแพร่ออกไป
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับทหารกลุ่มนี้อีก
แม้ว่าทัพของอาณาจักรหลงซางจะถูกขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ยังกลับมามีอำนาจได้เรื่อย ๆ ด้วยการหนุนหลังจากราชวงศ์ แต่สำหรับทัพกบฏ การพ่ายแพ้อย่างราบคาบเพียงครั้งเดียวก็สามารถหยุดพวกเขาได้แล้วอย่างถาวร
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ความละโมบของหลินจุ้ยหลิวทำให้หลินเมิ่งเจ๋อได้โอกาสที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เขาอีกครั้ง ความได้เปรียบพลันตกเป็นของหลินเมิ่งเจ๋อเสียเฉย ๆ และสถานการณ์ก็ดำเนินต่อไปเช่นนั้น
ในช่วงปีสุดท้าย หลินจุ้ยหลิวถูกหลินเมิ่งเจ๋อไล่ล่าแทบจะตลอดเวลา
หลินเฉ่าเซวียนขุ่นเคืองใจกับหลินจุ้ยหลิวเหลือเกินกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลงพั่วจวิน ในตอนแรกเขาช่วยหลินจุ้ยหลิวไว้ก็เพราะความจำเป็น แต่คราวนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องปราณีคนคนนี้อีกต่อไป
เพราะเขารู้ดีว่าในไม่ช้า ชายแก่คนนี้ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ในโลกใบนี้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปครบห้าปี ในที่สุดหลินจุ้ยหลิวก็ต้องจนมุมเพราะการไล่ล่าของหลินเมิ่งเจ๋อ
เขาส่งจดหมายมากมายไปยังนิกายไร้ขอบเขตเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หลินเฉ่าเซวียนก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นพวกมันและขอรับชมการแสดงอยู่ที่ตรงนั้น
หลินจุ้ยหลิวสบถด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้าวันนี้ข้าต้องลงหลุม นิกายไร้ขอบเขตก็จะเป็นรายต่อไป !”
สีหน้าของหลินเฉ่าเซวียนยังคงสงบนิ่ง “ถ้าลองคำนวณเวลาดู…นี่ก็น่าจะได้เวลาที่พวกเขาจะลงมือแล้วละ…”
หวูดดดด !
เสียงทุ้มต่ำของแตรสังข์ดังขึ้นอีกครั้ง
ทั้งกองเรือพากันรวมพลโดยไม่รอช้า และแม้ว่าจะรวมพลกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในห้าปีที่ผ่านมานี้ ทว่าคราวนี้กลับมีบางอย่างแตกต่างออกไป
พระราชวังขนาดมหึมาลอยไปในอากาศ ขนาบข้างด้วยเรือมังกรแปดลำด้วยกัน
เรือใบฝีจักรและเรือรบจำนวนนับไม่ถ้วนลอยโคลงไปมาอยู่ในน้ำ ขณะที่ทหารทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
วันนี้คือวันที่พวกเขารอมานาน
สามวันก่อนหน้านี้ ทหารทั้งหลายได้รับการเตือนแล้วว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น
ซูเฉินยืนอยู่ที่หน้าพระราชวังและมองดูผู้คนที่เบื้องล่าง เสียงของเขาพลันดังลั่นขึ้นราวกับฟ้าถล่มและสะท้อนก้องกังวานไปในโสตประสาทของทหารทุกคน
“เรารวมตัวกันมาได้ห้าปีแล้ว หลังจากผ่านเวลาห้าปีแห่งสงครามและการนองเลือด เวลาห้าปีแห่งการวิจัย เวลาห้าปีแห่งการรอคอย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ใช่แล้ว พวกเรากำลังมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเหวเพื่อทำลายอสูรทะเลพวกนั้นและกำจัดฝันร้ายที่หลอกหลอนชาวสมุทรมานานหลายหมื่นปีให้สิ้นซาก”
“การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องดุเดือดและเต็มไปด้วยการหลั่งเลือด !”
“จริงอยู่ที่ข้าค้นพบและแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างจากการวิจัยในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่ายังมีปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เรากำลังทำสงคราม และเราจะมัวรอให้ทุกอย่างลงตัวก่อนที่จะโจมตีนั้นไม่ได้ นอกจากยุทธวิธีและการเตรียมการของเราแล้ว กองทัพก็ยังต้องการพลัง ความศรัทธา ความกล้าหาญ และจิตวิญญาณที่พร้อมจะเสียสละอีกด้วย”
“ข้าขอบคุณจริง ๆ ที่วันนี้ข้าไม่เห็นความกลัวปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้ว่าพวกเราจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังแค่ไหน และไม่รู้เลยว่าเราจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าจะชนะ”
“นี่คือพันธมิตรของเรา ! ทุกคนคือผู้ฝึกตนของเรา !”
“สิ่งที่ข้าเห็นในตัวทุกคนนั้นไม่ใช่เพียงอำนาจและความแข็งแกร่ง แต่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ”
ซูเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง
เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อไป “ได้เวลาที่ข้าจะบอกทุกคนแล้วละว่าพวกเรามีพลังอะไร และเราจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร”
“จักรพรรดิอสูรทะเลในหุบเหวแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็เพราะพวกมันพึ่งพาท้องสมุทรโศกา แต่วันนี้ ข้าค้นพบหนทางในการทำลายพลังนั่นแล้ว สิ่งที่ข้าได้เตรียมไว้ในหุบเหวกำลังจะมีผลในไม่ช้า และวันนี้ก็ได้เวลาที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของเรา ข้าวิจัยตัวยาที่จะสามารถทำให้จักรพรรดิอสูรทะเลอ่อนแอลง และจากนั้นเราก็จะสามารถฆ่ามันได้ แต่เราก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา”
ซูเฉินยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ครึ่งชั่วยาม ! เรามีเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น เมื่อครบครึ่งชั่วยามแล้ว จักรพรรดิอสูรทะเลก็จะฟื้นคืนพลังกลับมาอีกครั้ง”
“ดังนั้นก็อย่างที่ข้าบอก แม้ว่าเราจะมียาที่ช่วยกดพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่กุญแจสำคัญสู่ชัยชนะก็ยังคงเป็นความกล้าหาญของพวกเรา !”
“ความกล้าหาญเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ความกล้าหาญเท่านั้นที่จะพาพวกเราสู้ต่อไปได้อย่างไม่ลดละ และความกล้าหาญเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราหัวเราะเยาะต่อความตายได้”
“วันนี้ เราจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรทะเลที่อยู่ในหุบเหว !!”
“วันนี้ พวกเราจะทำลายหุบเหวให้สิ้นซาก และเปลี่ยนมันให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น !!!”
“วันนี้ พวกเราจะสร้างปาฏิหาริย์ให้กับมวลมนุษยชาติ !!!!”
ซูเฉินคำราม
“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”
“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”
“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”
เหล่าทหารกล้าพร้อมใจกันส่งเสียง
“ไปเลย !”
หวูดดด !!!
แตรสังข์ดังขึ้นอีกครั้งและกองเรือก็เริ่มออกมุ่งหน้าไปยังกระแสน้ำวนของหุบเหว
นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ว่าศัตรูของพวกเขาจะถูกกำจัดไปได้หรือไม่ก็ตาม
แต่อย่างที่ซูเฉินกล่าว… ทัพเรือนั้นไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
สถานการณ์เดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับอสูร และในวันนี้ ปาฏิหาริย์ก็กำลังจะเกิดขึ้น !!!