ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 80 การต่อรอง
บทที่ 80 การต่อรอง
การต่อสู้ที่ด่านสระก้าวหน้านั้นเป็นชัยชนะที่ได้มากอย่างง่ายดายของนิกายไร้ขอบเขต ทหารทัพทรายทองถึงห้าหมื่นคนนั้นถูกสังหาร และหลินชิงหลิวก็ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่ออาณาจักร
เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปก็ทำให้ทั้งอาณาจักรอยู่ไม่สุขกันทันที
ไม่ว่านิกายไร้ขอบเขตจะยึดอาณาจักรหลงซางหรือไม่นั้นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นเมื่อไรเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้น แค่เพราะนิกายไร้ขอบเขตสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยึดดินแดนมนุษย์ทั้งหมดไว้ในครอบครองได้
หลังจากการต่อสู้นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีทหารกลุ่มใดอีกแล้วที่สามารถขวางทางนิกายไร้ขอบเขตได้
หลินเมิ่งเจ๋อเลือกที่จะเก็บกองทัพที่เหลือเอาไว้กับตัวเองและค่อย ๆ โต้ตอบเมืองฉางผาน
การขยายอาณาเขตของนิกายไร้ขอบเขตเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่ช้าพวกเขาก็กวาดล้างไปทั่วทั้งอาณาจักรหลงซาง
สามวันหลังจากนั้น นิกายไร้ขอบเขตก็เดินทางไปถึงยังเมืองฉางผาน หลังจากกลืนกินทั้งอาณาจักรหลงซางได้สำเร็จ
ณ จุดนี้ มีเพียงเมืองฉางผานเท่านั้นที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของหลินเมิ่งเจ๋อ
แต่ตราบใดที่เมืองฉางผานยังอยู่ตรงนั้น อาณาจักรหลงซางก็ยังอยู่ในกำมือขอตระกูลหลินเหมือนเดิมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขตแดนอื่นนั้นถือว่าอยู่ภายใต้ “การยึดอำนาจชั่วคราว” เท่านั้น
ตระกูลหลินต้องถูกกำจัดเท่านั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการยึดอาณาจักรได้อย่างเต็มรูปแบบ
ในวันนี้นิกายไร้ขอบเขตจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จและแต่งตั้งตัวเองให้เป็นหนึ่งในกองกำลังในบรรดาอาณาจักรทั้งเจ็ด
เมื่อรู้ว่าในไม่ช้าพวกเขาจะกลายเป็นผู้นำแห่งทั้งอาณาจักรนี้ ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างก็ปลาบปลื้มเหลือเกิน
ไกลออกไป เรือรบทั้งแปดลำและพระราชวังลอยฟ้าก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบไปด้วยเรือเคลื่อนเมฆาจำนวนนับไม่ถ้วน
กองทัพโดยทั่วไปมักผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารและระดับสูงกว่านั้นแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นเรือเคลื่อนเมฆาจึงไม่ค่อยเป็นที่พบเห็นเท่าไรนัก และนี่คือสาเหตุที่พวกเขามักเดินทางด้วยเท้าอยู่เสมอ โดยผู้ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ก็จะได้รับหน้าที่ในการสังเกตการณ์โดยรวม และทั้งทัพก็จะมุ่งหน้าไปอย่างเชื่องช้าปานเต่าล้านปี ในทางกลับกัน นิกายไร้ขอบเขตนั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกคนมากมายที่สามารถเหาะได้ และผู้ที่เหาะไม่ได้ก็จะนั่งไปในเรือเคลื่อนเมฆา ดังนั้นการเคลื่อนทัพของนิกายนี้จึงถือว่าน่าทึ่งทีเดียว
กองทัพตามขนบเดิมนั้นไม่สามารถเทียบได้กับนิกายไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน ไม่แปลกเลยที่ทัพของนิกายจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เมื่อทหารที่คุ้มกันเมืองฉางผานเห็นว่าบนฟ้าเต็มไปด้วยเรือรบ และผู้ฝึกตนก็อดรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาไม่ได้
ทหารทั้งกองทัพจะสามารถเหาะได้อย่างไรกัน… นี่มันกองทัพสวรรค์ชัด ๆ
แล้วพวกเขาจะรับมือและป้องกันตัวจากทัพฟ้าเช่นนี้ได้หรือ
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหยุดทัพลงไม่ไกลจากเมืองฉางผาน ตอนนี้เกราะป้องกันของเมืองกำลังทำงานแล้ว และทหารทั้งหลายก็เรียงแถวกันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตี
เมืองฉางผานมีอยู่มานานถึงหลายพันปีและเคยถูกรุกรานมาแล้วหลายครั้ง ประสบการณ์จากการรับมือกับเหตุการณ์ในอดีตทำให้การป้องกันของที่นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าปราการลุ่มน้ำทองเลย
เมืองฉางผานเคยยืนหยัดต้านการโจมตีของเผ่าคนเถื่อนจำนวนสามแสนคน คลื่นอสูรขนาดยักษ์ และกองทัพกบฏกับโจรสลัดที่แข็งแกร่งถึงแปดพันคน การนองเลือดทุกครั้งเป็นเหมือนการประกาศถึงความสามารถและความแข็งแกร่งของเมืองนี้ แม้ว่ามันจะเคยล่มสลายมาแล้ว แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งภายในเท่านั้น
การรุกรานจากภายนอกไม่เคยทำลายกำแพงของเมืองนี้ได้สำเร็จเลยสักครั้ง
แต่กระนั้นทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันปราการกลับไม่ได้มีความมั่นใจใด ๆ เลยเมื่อเห็นการจัดทัพของนิกายไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นต่อหน้า
แต่อย่างไรแล้วพวกเขาก็จำเป็นต้องบังคับให้ตัวเองมั่นใจให้ได้อยู่ดี
เพราะไม่ได้มีการเตรียมแผนสำรองเอาไว้
คนกลุ่มหนึ่งเหาะออกไปจากเมืองและมุ่งหน้าไปหาทัพนิกายไร้ขอบเขต
ผู้ที่นำหน้าไปนั้นก็คือหลี่หวู่อี้นั่นเอง
การที่จักรพรรดิของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยมาปรากฏกายที่นี่ก็แสดงถึงความหมายของสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ซูเฉินก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับใครอีกคนที่อยู่ถัดไปจากหลี่อวู่อี้ด้วย… เขาคือฉู่เจียงอวี้นั่นเอง
ซูเฉินจำไม่ได้ว่าอีกคนเป็นใคร แต่ดูจากรังสีพลังและสายเลือดแล้ว ค่อนข้างชัดเจนทีเดียวว่าเขาจะต้องเป็นผู้นำทางการเมืองที่สำคัญคนหนึ่งของอาณาจักรอย่างแน่นอน
“อาณาจักรอื่น ๆ ไม่สามารถนิ่งเฉยกันได้แล้วสินะ” ซูเฉินหัวเราะ
แม้ว่าอาณาจักรทั้งเจ็ดจะปะทะกันเองบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดยปกติแล้วพวกเขาก็มักจะเป็นพันธมิตรกันเสียมากกว่า และแต่ละฝ่ายนั้นก็ล้วนมีศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งสิ้น ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ทุกอาณาจักรก็จะร่วมมือกันรับมือเสมอ
การกบฏของหลินจุ้ยหลิวถูกปราบปรามลงด้วยการร่วมมือของทั้งหกอาณาจักรที่ส่งความช่วยเหลือมายังหลินเมิ่งเจ๋อ
ตอนนี้เมื่อนิกายไร้ขอบเขตกำลังกดดันเมืองฉางผาน อีกหกอาณาจักรจึงมาปรากฏกายที่นี่ด้วยเช่นกัน
สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาใช้เวลาเนิ่นนานเหลือเกินกว่าที่จะมาถึงที่นี่นั้นก็เพราะมันไม่ได้อยู่ในแผนการตั้งแต่แรก นิกายไร้ขอบเขตเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้มาก
ราชการนั้นมักดำเนินการด้วยความไม่เร่งรีบอยู่แล้ว ในอดีตนั้นพวกเขาใช้เวลาถึงเกือบสองเดือนในการตกลงถึงแผนการระหว่างทั้งสามอาณาจักรที่จะโจมตีเผ่าปักษา ซึ่งนิกายไร้ขอบเขตใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นในการกวาดล้างทั้งอาณาจักรหลงซาง
ดังนั้นในขณะที่อีกหกอาณาจักรกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป พวกเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่านิกายไร้ขอบเขตจ่ออยู่ที่คอหอยของหลินเมิ่งเจ๋อเสียแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
เมื่อรู้ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงรีบส่งตัวแทนมายังอาณาจักรหลงซางทันที ซึ่งหากมาช้ากว่านี้เพียงเล็กน้อย… ก็คงไม่จำเป็นต้องหารือใด ๆ กันอีกแล้ว
ซูเฉินไม่แปลกใจเลยกับการที่หกอาณาจักรได้ส่งคนมาให้ความร่วมมือเช่นนี้ แต่เขากลับประหลาดใจเมื่อเห็นว่าหลี่หวู่อี้เลือกที่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
ขณะที่มองดูหลี่อวู่อี้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ซูเฉินก็ประกบมือทักทาย “ซูเฉินขอคารวะท่านจักรพรรดิหลี่”
หลี่หวู่อี้หัวเราะ “สวัสดีเจ้านิกายซู ข้าไม่คิดเลยว่านิกายไร้ขอบเขตจะใหญ่โตได้เช่นนี้ภายในเวลาไม่กี่ปี เป็นโชคดีของมนุษยชาติจริง ๆ”
“น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปยังเผ่าพันธุ์อื่น แต่กลับเป็นพวกเรากันเอง โศกนาฏกรรมชัด ๆ” ชายชราที่ยืนอยู่ถัดไปกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ซูเฉินหันไปมองทันที “ท่านเป็นใครกัน”
ชายชราตอบกลับมา “ข้าคือหมอมือหนึ่งของอาณาจักรวายุโหมนามว่า โหยวเทียนเสียง”
“ข้าว่าท่านน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น โหยวเทียนเซีย*[1] ดีกว่านะ” ซูเฉินตอบกลับไปอย่างหยาบคาย
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ชายชราฉุนทันที
“ก็นอกจากท่านจะตาบอดแล้ว ก็ยังเป็นไอ้งั่งด้วยน่ะสิ ! ถ้าเฟิงจู่อิ่งส่งท่านมาพยายามเกลี้ยกล่อมข้า แปลว่าเขากำลังจะฆ่าหลินเมิ่งเจ๋อ… ไม่ใช่ช่วยชีวิตหรอกนะ” ซูเฉินจ้องเขม็งด้วยสายตาเย็นชา
ทุกคนรู้ดีว่าความโกรธแค้นที่นิกายไร้ขอบเขตมีต่อหลินเมิ่งเจ๋อนั้นเป็นเพราะอะไร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลินเมิ่งเจ๋อรังแกนิกายไร้ขอบเขตสารพัด ตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตจึงได้เวลาแก้เผ็ดเสียบ้าง แต่ชายชราคนนี้กลับวิจารณ์ซูเฉินอย่างเปิดเผยว่ากำลังทรยศต่อมนุษย์ด้วยกัน แทนที่จะโจมตีเผ่าพันธุ์อื่น เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีอคติกับนิกายไร้ขอบเขต
แต่แม้ว่าจะคิดอคติ แต่การพูดจาเช่นนี้ก็ถือว่าหยาบคายยิ่งนัก แม้แต่ซูเฉินก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเฟิงจู่อิ่งถึงได้ส่งคนโง่เช่นนี้มาต่อรองกับเขา
หลี่หวู่อี้หัวเราะ “เขาไม่ใช่คนที่เฟิงจู่อิ่งส่งมาหรอก คนคนนั้นบังเอิญเจออุบัติเหตุระหว่างทางและไม่สามารถมาที่นี่ได้ หมอคนนี้ก็แค่อยู่ในอาณาจักรหลงซางพอดี ก็เลยให้เขามาแทน ดูเหมือนว่าจะเป็นความผิดพลาดเสียแล้วสิ เขาหยาบคายและไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก แถมยังทำให้เจ้านิกายซูต้องไม่พอใจอีกด้วย ข้าคิดว่าเรากำจัดเขาเสียตอนนี้เลยน่าาจะดี”
โหยวเทียนส่งเสียงตกใจ “จักรพรรดิหลี่…”
อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ใช่ไอ้งั่งเสียทีเดียว แต่พลังของชายคนนี้ทำให้เขาจองหองเกินไปหน่อย โหยวเทียนเสียง จินตนาการไว้ว่าซูเฉินคงจะไว้หน้าเหล่าตัวแทนมากกว่านี้ จึงทำให้ชายชรามั่นใจที่จะแสดงออกอย่างโอหังเช่นนี้ ฝ่ายซูเฉินรู้สึกว่าโหยวเทียนเสียงนั้นไร้มารยาท แต่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าโหยวเทียนเสียงคิดว่าตัวเองสุภาพมากเลย
ราคาของการแสดงออกอย่างโอหังผิดเวลาเช่นนี้สูงทีเดียว
ทันใดนั้นหลี่หวู่อี้ก็ชูมือขึ้นและฟาดมันเข้าใส่หัวของโหยวเทียนเสียงอย่างแรง
ฝ่ามือนั้นไม่ได้บรรจุพลังที่แรงกล้าใด ๆ เลย แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หมอชราตาเหลือกได้เสียแล้ว… ร่างของชายแก่ร่วงลงไปจากท้องฟ้าทันที
ซูเฉินกล่าวขึ้น “เขาเป็นคนของอาณาจักรวายุโหม คงไม่เหมาะนักที่จักรพรรดิหลี่จะสังหารเขา จริงไหม ?”
หลี่หวู่อี้ตอบกลับอย่างใจเย็น “เผ่ามนุษย์ไม่ต้องการความแตกแยก และอาณาจักรทั้งเจ็ดก็เป็นครอบครัวเดียวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว น้องเฟิงจะต้องขอบคุณข้าที่ช่วยกำจัดลูกน้องที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ให้กับเขา”
คำพูดนั้นมีความหมายแฝงอยู่อย่างแน่นอน แต่เขากลับสื่อมันออกมาได้อย่างสง่างามทีเดียว
ซูเฉินเผยยิ้มบาง ๆ “ถ้าเช่นนั้น… กรุณาตามข้ามาทางนี้”
ที่ในพระราชวังของนิกายไร้ขอบเขต
หลี่หวู่อี้และทุกคนนั่งอยู่ในโถงหลัก ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตได้นำน้ำชามาบริการให้กับทุกคนแล้ว แต่น้ำชาที่ว่านี้มีสีเขียวแก่ดูชั่วร้ายยิ่งนัก
ซูเฉินกล่าว “นี่คือชาอวตาร เชิญทุกท่านดื่มตามสบาย”
ชื่อ ‘ชาอวตาร’ นั้นฟังดูราวกับว่าชานี้กำลังเชื้อเชิญให้พวกเขาก้าวข้ามไปสู่ชีวิตในชาติหน้าอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งรูปลักษณ์ที่น่าขนลุกนั้นด้วยแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่แขกทั้งหลายจะมองหน้ากันด้วยความไม่มั่นใจ และไม่อยากจะดื่มชานั้นเท่าไรนัก
ฉู่เจียงอวี้ที่เข้าใจซูเฉินค่อนข้างดีกว่าใครนั้นรู้ดีว่าซูเฉินคงไม่ใช่วิธีการธรรมดา ๆ เช่นนี้ในการสังหารพวกเขาแน่ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเป็นคนแรกที่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียว
เมื่อชานั้นผ่านเข้าไปในท้อง เขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่ายกายจนต้องถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ
เมื่อเห็นท่าทางที่ประหลาดนั้นแล้ว แขกคนอื่น ๆ ก็ยิ่งกลัวที่จะดื่มชาของซูเฉินมากขึ้นไปอีก
หลี่หวู่อี้จิบชาเข้าไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น “ชานี่ทำจากอะไรหรือ”
ซูเฉินตอบ “ชานี้เป็นใบไม้ที่เก็บมาจากต้นไม้ที่ข้าปลูกไว้ในเขาหมื่นดาบ”
ใบไม้อย่างนั้นหรือ ?
หลี่หวู่อี้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ “ใบไม้หรือ… เจ้าปลูกต้นอะไรกันล่ะ”
“อ้อ ก็ไม่ได้พิเศษอะไรหรอก” ซูเฉินตอบอย่างสบาย ๆ “ท่านอาจรู้จักมันในชื่อท้องสมุทรโศกาน่ะ”
ทุกคนในโถงแห่งนั้นรู้สึกราวกับว่าสมองของตัวเองกำลังจะระเบิดออกมา
ใครบางคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท้องสมุทรโศกาหรือ เจ้าหมายถึงสิ่งที่สามารถยกระดับสิ่งมีชีวิตได้และเพิ่มพื้นฐานในการฝึกได้…”
ซูเฉินพยักหน้า
หลี่หวู่อี้หรี่ตามอง “มันยังไม่ถูกทำลายไปอีกหรือ”
“ยังขอรับ” ซูเฉินตอบ “ข้านำมันกลับมาที่เขาหมื่นดาบด้วย และปรับปรุงอะไรนิดหน่อย ทุกวันนี้มันก็ยังอยู่บนเขานั่น และเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งของพวกเรา ข้าเอาใบของมันมาด้วยในครั้งนี้ เพื่อนำมาทำเป็นชา…”
ได้ยินดังนั้นแขกที่เหลือก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพากันจิบชาทันที
แม้แต่หลี่หวู่อี้ก็ยังอดถอนใจไม่ได้ “วิถีและความกล้าหาญของเจ้านี่น่าประทับใจเสมอเลยนะเจ้านิกายซู”
วิถีที่ว่านั้นก็คือการที่ซูเฉินยินดีที่จะใช้ใบไม้จากท้องสมุทรโศกาเพื่อรับแขก ส่วนความกล้าหาญที่หลี่หวู่อี้หมายถึงก็คือการที่ซูเฉินเปิดเผยความลับนี้ให้ทุกคนทราบนั่นเอง
ซูเฉินยิ้ม “ไม่มีความลับใดหรอกที่จะบอกกันไม่ได้”
“เจ้านิกายซูไม่กลัวว่าการเผิดเผยถึงการครอบครองของสำคัญของท้องสมุทรโศกาจะทำให้คนอื่นสมคบคิดกันต่อต้านท่านเพื่อแย่งชิงมันมาหรือ” ฉู่เจียงอวี้อดถามคำถามนี้ไม่ได้
ซูเฉินตอบกลับอย่างสบาย ๆ อีกเช่นเคย “จะสมคบคิดกันอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาเถอะ ข้าจะจัดการกับพวกนั้นด้วยตัวเอง อย่างไรแล้ว ‘คนอื่น’ ที่ว่านั่นก็คิดต่อต้านข้าตั้งแต่ที่ข้ายังไม่เคยพูดถึงท้องสมุทรโศกาอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ และหากข้าไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของพวกท่านในวันนี้ ข้าก็จะต้องรับมือกับพวกท่านอยู่ดีถูกไหม”
หลี่หวู่อี้เข้าใจคำพูดของซูเฉินทันที
เขารู้แล้วว่าทำไมซูเฉินถึงได้บริการทุกคนด้วยชานี้
คิดจะใช้พันธมิตรของอาณาจักทั้งเจ็ดเพื่อขู่ข้าอย่างนั้นหรือ
ถ้าข้าไม่ตกลงตามเงื่อนไขและถอนทัพ… เจ้าคิดจะร่วมมือกันจัดการกับข้าสินะ
ก็ได้… ถ้าอย่างนั้นก็ขอมอบของสมนาคุณให้หน่อยก็แล้วกัน
เห็นไหมล่ะ สมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้นั้นอยู่ในครอบครองของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว
เจ้าพร้อมไหมล่ะ
ถ้าเจ้าพร้อม เราก็มาร่วมโจมตีไปพร้อมกันเลย
ซูเฉินใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อบอกให้คนอื่น ๆ รู้ว่า นอกจากเขาจะไม่ได้เกรงกลัวพันธมิตรอาณาจักรทั้งเจ็ดแล้ว แต่ก็ยังยินดีต้อนรับทุกฝ่ายอีกด้วย
หากทุกคนวางแผนต่อต้านข้า ข้าเองก็จะวางแผนต่อต้านทุกคนด้วยเช่นกัน
ดูซิว่าจะยังกล้ากันอยู่ไหม !
หลี่หวู่อี้เข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่งในทันที
ไม่มีอะไรที่จะต้องต่อรองกันอีกแล้ว ซูเฉินไม่ยินยอมที่จะถอยหลังแม้แต่น้อย !
อันที่จริงแล้วหลี่หวู่อี้เองยังต้องคิดหาวิธีการในการระงับความละดมบของอาณาจักรอื่น ๆ ด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องพบจุดจบอย่างหลินเมิ่งเจ๋อ
[1]. ซูเฉินเปลี่ยนจาก “祥” ที่มีความหมายว่าเป็นมงคล ให้เป็น “瞎” ที่แปลว่าตาบอด