ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 81 เงื่อนไข
บทที่ 81 เงื่อนไข
ต้องกล่าวว่าการตัดสินใจของซูเฉินนั้นทั้งบ้าบิ่นและอวดดียิ่งนัก
แต่ซูเฉินก็มีสิทธิ์อวดดี และจำเป็นต้องอวดดีด้วย
ความลับเช่นท้องสมุทรโศกาซึ่งนำมาปลูกไว้บนเขา และเป็นแหล่งน้ำให้คนนับหมื่นได้ใช้ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้ตลอดไป
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ซูเฉินต้องประกาศมันให้ได้รู้ ทุกคนจะได้รู้ทั่วกันว่าท้องสมุทรโศกาอยู่ในกำมือเขา
อย่างน้อยนี่ก็จะทำให้ชายหนุ่มสามารถเตรียมพร้อมรับแขกได้
นิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้ไม่ได้ด้อยกว่าอาณาจักรใดเลย ในอดีตอาจยังขาดผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีซูเฉิน กู่ชิงลั่ว และม้าน้ำพลังสูญอยู่ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
แต่หากเจ็ดอาณาจักรร่วมมือกันแล้ว อย่างไรก็แข็งแกร่งกว่านิกายไร้ขอบเขตแน่
กระนั้นเจ็ดอาณาจักรก็ไม่มีทางส่งกองกำลังทั้งหมดมาจัดการซูเฉิน เพราะแต่ละแห่งก็มีเรื่องภายในของตนที่ต้องดูแล
อาณาจักรเมฆาเคลื่อนถูกพวกสัตว์อสูรโจมตีอยู่ตลอด แค่รั้งไม่ให้อาณาจักรล่มก็ตึงมือพอแล้ว แม้จะส่งกองกำลังมาเข้าร่วมศึก แต่ก็ทำเพื่อแสดงสัญลักษณ์เท่านั้น ตระกูลฉู่ยอมเชื่อฟังเพราะซูเฉินควบคุมสามคำสาปได้ ดังนั้นจึงเข้าร่วมแค่เพื่อแสดงความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเจ็ดอาณาจักรที่เหลือเท่านั้น อาณาจักรประกายวารีเองก็สามารถช่วยเหลือนิกายไร้ขอบเขตได้แล้ว เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องเผ่าสมุทร แต่กลุ่มสยบทะเลก็ยังอยู่ในอำนาจสั่งการของเจียงซีสุ่ย ไม่มีทางที่เจียงซีสุ่ยจะยอมสละอำนาจให้ตอนนี้แน่
แล้วหลงซาง ? ขออภัยด้วย แต่พวกเขานั้นถูกจัดการราบคาบ กำลังของพวกนั้นเป็นของซูเฉินไปแล้ว
ดังนั้นหากจะสู้กันจริง ก็มีเพียงอาณาจักรวายุโหมและอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยที่จะสามารถรวบรวมกำลังต่อสู้ได้
แต่กระทั่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยก็ยังต้องห่วงเรื่องเผ่าปักษา
หยงเยี่ยหลิวกวงยังต้องการให้ซูเฉินทำตามข้อตกลง นำวิญญาณอำมฤตกลับมาให้เขา หากซูเฉินขอความช่วยเหลือในการต่อสู้กับอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย หยงเยี่ยหลิวกวงย่อมเข้าร่วมด้วยแน่
อย่างไรก็ดี เจ็ดอาณาจักรอาจมีเจตนาเดียวกัน แต่ไม่มีอาณาจักรใดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ได้
เว้นเสียแต่ว่าตั้งใจจะส่งกองกำลังทั้งหมดมาโจมตีนิกายไร้ขอบเขต ผู้ซึ่งกำจัดกองทัพหลงซางเสียราบคาบมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้พวกเขาจำเป็นต้องข่มขู่ซูเฉินเลย
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ต้องกลัวอะไร
ใช่ ข้าเอาท้องสมุทรโศกามาใช้ส่วนตัว หากมีความสามารถ ก็ลองมาชิงไปสิ !
แต่ถ้าไร้ฝีมือ ก็ไสหัวไปเสีย
ส่วนหลงซางน่ะหรือ ขออภัย มันเป็นของข้าแล้ว เหมือนกับท้องสมุทรโศกานั่นอย่างไรเล่า
ของที่กินไปแล้ว จะให้คายออกมาก็ใช่เรื่อง หลงซางกับท้องสมุทรโศกาก็เช่นกัน
หลี่หวู่อี้รู้ในทันทีว่าไม่สามารถต่อรองได้อีกต่อไป
เขาถอนหายใจ “ท่านเจ้านิกายซู ความกล้าหาญของท่านช่างน่าประหลาดใจเสียจริง เจ็ดอาณาจักรเป็นเสมือนกิ่งไม้ที่แตกออกมาจากไม้ใหญ่ต้นเดียวกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะต้องตัดออกสักกิ่งแล้ว”
“ไม่จำเป็นหรอก”
เกินคาดที่ซูเฉินกลับเปลี่ยนเรื่อง
หลี่หวู่อี้ชะงักไป “ท่านเจ้านิกายหมายความว่า…”
ซูเฉินเอ่ย “อย่างไร ก็ฟังเงื่อนไขท่านก่อนดีกว่า”
ฉู่เจียงอวี๋จึงใช้โอกาสนี้พูดขึ้น “เป็นความผิดของหลินเมิ่งเจ๋อที่โจมตีนิกายไร้ขอบเขตก่อน แต่พวกเขาก็ยังเป็นลูกหลานสายเลือดเทพอสูร ต่อไปยังมีความสำคัญกับ…”
เขาอยากขอให้ซูเฉินรักษาสายเลือดเทพอสูรไว้เพื่ออนาคตเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ดูจากผู้เชี่ยวชาญที่นิกายไร้ขอบเขตสามารถผลิตออกมาได้แล้ว ต่อไปมนุษย์ก็คงหลุดพ้นจากสายเลือดได้ ดังนั้นจะให้เขาพูดไปก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ จึงเปลี่ยนคำเล็กน้อย “หวังว่าท่านเจ้านิกายจะมอบโอกาสให้ตระกูลหลิน พวกเราเต็มใจมอบเมืองกลืนธาราตะวันตกให้ท่านเจ้านิกาย…”
“ให้เท่านั้นเองหรือ ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคิดว่าจะได้บางอย่างจากหกอาณาจักรด้วยเสียอีก”
หลี่หวู่อี้เข้าใจสิ่งที่ซูเฉินจะสื่อ
ในสายตาซูเฉิน หลงซางเป็นของเขาอยู่แล้ว เขาไม่สนใจส่วนแบ่งที่เป็นของหลงซาง แต่อยากรู้ว่าหกอาณาจักรจะมอบอะไรแก่เขามากกว่า
เดี๋ยวก่อน เช่นนี้ไม่โลภไปหน่อยหรือ ?
แต่ซูเฉินกลับเอ่ย “เจ็ดสายเลือดเทพอสูรครองอำนาจมากว่าสามพันปี แม้ว่าเจตจำนงเดียวของข้าคือการสร้างวิชาไร้สายเลือดขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นสร้างศัตรูกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงโดยไม่รู้ตัว กระนั้นพวกเขาก็เป็นกระดูกสันหลังของเผ่ามนุษย์ในการต่อสู้กับเผ่าอื่น แต่ถ้าพวกท่านอยากให้ตระกูลหลินรอดพ้น ก็ต้องมีราคาจ่าย อย่าพยายามใช้ของที่เป็นของหลงซางอยู่แล้วมาลวงข้า เพราะหลงซางมันเป็นของข้าอยู่แล้ว”
เขายกมือขึ้น “ถ้าหากมีสมบัติล้ำค่า ก็ไปรวบรวมมาทั้งหมด แล้วข้าจะยอมรับ แน่นอนว่าไม่ได้เอาเปล่า แต่จะขายยาที่กลั่นมาจากท้องสมุทรโศกาในราคาที่ต่ำที่สุดให้ด้วย ฟังดูเป็นอย่างไร ?”
เป็นเช่นนี้นี่เอง
ทำให้เรื่องราวน่าสนใจขึ้นไม่น้อย
หลี่หวู่อี้และคนอื่น ๆ สบสายตากัน ก่อนหลี่หวู่อี้จะคลี่ยิ้ม “เรื่องนั้นไม่ยาก สมบัติของอาณาจักรข้าคือหมึกหยกเบญจมาศ หากท่านเจ้านิกายชอบ ข้าก็เต็มใจมอบให้”
ฉู่เจียงอวี๋ว่า “ท่านเจ้านิกายในตอนนี้ไม่ขาดเทียนไขชีวิต แต่พวกข้ามีฟันวานรโลหิตที่เต็มใจจะมอบให้ท่านเจ้านิกาย”
“อาณาจักรเมฆาเคลื่อนขอมอบน้ำลายพันอสูร”
“อาณาจักรนกฮูกขอมอบปีศาจไร้คำ”
“อาณาจักรวายุโหมขอมอบหินสลักลม”
“อาณาจักรประกายวารีขอมอบกุหลาบน้ำแข็ง”
เป็นไปดังคาด ทั้งหกอาณาจักรมีสมบัติน่าสนใจอยู่กับตัวไม่น้อย
ซูเฉินได้ยินแล้วก็พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ดีมาก ดียิ่ง ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้”
หลี่หวู่อี้ถาม “เช่นนั้นท่านเจ้านิกายซูจะรับมือตระกูลหลินอย่างไร ?”
ซูเฉินตอบทันที “จริง ๆ แล้วข้าเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญพลังไม่ควรสนใจเรื่องเล็กน้อยให้มากความ หนทางแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นยาวไกล ไม่ควรเร่งรีบจนเกินเหตุ สนใจเรื่องทางโลกมากเกินไปมีแต่จะทำให้การบ่มเพาะพลังเชื่องช้าลง นิกายไร้ขอบเขตมีเสาหลักคือการบ่มเพาะพลัง ไม่ใส่ใจกับเรื่องทางโลกมากเกินควร ยิ่งไม่ต้องการตั้งอาณาจักร ดังนั้นสถานที่นี้อย่างไรก็ยังเป็นของตระกูลหลิน”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” หลี่หวู่อี้หัวเราะ
เขาเข้าใจซูเฉินดีพอสมควร จึงยังไม่ปักใจเชื่อ กลั้นใจรอคำพูดต่อไปของอีกฝ่ายมากกว่า
นิกายไร้ขอบเขตต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อมาถึงเมืองฉางผาน ไม่ใช่เพื่อสั่งสอนหลินเมิ่งเจ๋อก่อนจากเท่านั้น
และซูเฉินก็ว่าต่อ “แต่แน่นอนว่ายังต้องเปลี่ยนกฎบางอย่าง”
หลี่หวู่อี้ “ท่านเจ้านิกายโปรดเอ่ย”
ซูเฉินจึงเริ่มออกคำสั่ง
แต่เมื่อได้ยินคำของเขาแล้ว หลี่หวู่อี้และคนอื่น ๆ ก็อดส่งเสียงร้องประหลาดใจไม่ได้
เจ้าบอกว่าไม่ได้คิดจะกำจัดอีกฝ่าย แต่คำสั่งก็ไม่ต่างกับการกำจัดอีกฝ่ายเลย
จำนวนคำขอทั้งหมดไม่ได้มากมาย มีเพียงดังที่กล่าวตามนี้
ข้อแรกคือให้นิกายไร้ขอบเขตเป็นสถาบันประจำอาณาจักร ให้มีเขตแดนกว้างขวางมากกว่าปัจจุบันสามเท่า
ก็นับว่าธรรมดา
ข้อสองคือ จากนี้ต่อไป ขุนนางระดับสามขึ้นไปของหลงซาง จะดำรงตำแหน่งอยู่ได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากนิกายไร้ขอบเขตเท่านั้น
หรือก็คือหากไม่ได้รับการรับรองจากนิกายไร้ขอบเขต ก็จะนับว่าขุนนางสำคัญทั้งหลายทำผิดกฎหมาย
ผู้นำอาณาจักรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ซูเฉินได้สร้างมงกุฎขึ้นมา และมอบหน้าที่สำคัญให้มัน มีเพียงผู้ที่สวมใส่มันเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ปกครองอาณาจักรหลงซางได้อย่างถูกต้อง
และในฐานะสถาบันหลักของอาณาจักร นิกายไร้ขอบเขตจะเป็นผู้มอบมงกุฎนี้ ใครที่ไม่ได้ถือครองมันจะไม่สามารถขึ้นปกครองได้
หรือก็คือแม้แต่จักรพรรดิก็ยังต้องได้รับการรับรองจากนิกายไร้ขอบเขต มีมงกุฎไว้ก็เพื่อให้ดูสวยงามยามบันทึกเป็นเอกสารเท่านั้น
ข้อสามคือหลงซางต้องจ่ายภาษีให้นิกายไร้ขอบเขต 30 ใน 100 ส่วนทุกปี
ก็เหมือนกับเรื่องมงกุฎ ซูเฉินเลือกใช้คำที่ฟังดูไม่เป็นคำสั่งมากมายอะไร ซึ่งนั่นคือการส่งมอบ
แม้หลงซางจะได้กำไรจากการเก็บภาษีพอสมควร แต่ก็มีรายจ่ายมากเช่นกัน การที่ต้องจ่ายให้นิกายอีกเช่นนี้หมายความว่าพวกเขาแทบไม่เหลืออะไรเลย
ข้อสี่คือ ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจะได้รับตราคำสั่งพิเศษ ทำให้สามารถมีอำนาจเหนือขุนนางและทหารระดับเดียวกันได้
นี่เป็นการแย่งชิงอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง ซูเฉินพยายามหาคำที่ดีกว่านี้มาใช้ ดังนั้นจึงเขียนไว้ว่าเป็นเพียงสิทธิพิเศษของศิษย์ในนิกายที่ควรมี
โดยข้อแม้เหล่านี้สรุปได้โดยย่อคือ นิกายไร้ขอบเขตเป็นเจ้าของอาณาจักร มีอาณาจักรไว้ก็เพื่อรับใช้และทำงานให้นิกายไร้ขอบเขต
กระทั่งหลี่หวู่อี้ได้ยินแล้วยังอึ้งไป
เขาไม่ได้จะฆ่าล้างตระกูลหลิน แต่จะเปลี่ยนให้เป็นทาสเขานี่!
หลี่หวู่อี้กระแอมเล็กน้อย “ท่านเจ้านิกายซู ข้อแม้พวกนี้ไม่ฟังดู… เกินไปหน่อยหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “เกินไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับตระกูลหลินไม่ใช่หรือ ไม่ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจเล่า ?”
ไร้สาระ ! คนโง่ยังรู้เลยว่าเป็นทาสก็ยังดีกว่าเป็นศพ
หลี่หวู่อี้หน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย “หากทำเช่นนี้ ก็คงเป็นการยากที่หกอาณาจักรจะรักษาหน้าไว้ได้”
ซูเฉินคำราม “ก็ดีกว่าล้างตระกูลหลินสิ้นทั้งตระกูลไม่ใช่หรือ ? ข้ารู้ว่าพวกท่านคงทำใจรับลำบากไปสักหน่อย แต่หากเรื่องเท่านี้ยังไม่เต็มใจยอมรับ แล้วจะเรียกว่าการต่อรองมอบผลประโยชน์ได้หรือ ? ข้อยกประโยชน์ใดที่ท่านว่าไว้คงได้กลืนยากลำบากเต็มทน”
หลี่หวู่อี้กระแอม “ท่านเจ้านิกายซูช่างสง่างามโดยแท้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ข้าจะนำไปแจ้งหลินเมิ่งเจ๋อ เรื่องเกี่ยวข้องกับเขาก็ควรเป็นเขาที่ตัดสินใจ”
เกินคาดที่ซูเฉินส่ายหน้า “เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องตัดสินใจ”
“อะไรนะ ?” ทุกคนตะลึงลานไป
ซูเฉินตอบ “ข้าเต็มใจรักษาตระกูลหลินไว้ ไม่ได้หมายความว่าจะไว้ชีวิตหลินเมิ่งเจ๋อ แหวนของข้าไม่มีที่เหลือให้หลินเมิ่งเจ๋อ หลินเหวินจวิ้น หลินเสี้ยวฉู่ หลินซือหลาง หลินเยว่ซิน หลินหลิวเชิ่ง หลินไป๋ซี……”
ซูเฉินร่ายชื่อยาวหลากหลายชื่อ ซึ่งก็เกือบจะทั้งตระกูลหลิน เป็นพวกที่มีอำนาจอยู่ในมือไม่น้อย
เว้นไว้เพียงคนหนึ่งเท่านั้น
หลินเฉินหยวน
องค์ชายหนุ่มที่ทำข้อตกลงไว้กับซูเฉินเมื่อก่อนหน้า
หลี่หวู่อี้พลันเข้าใจ
ซูเฉินไว้ชีวิตตระกูลหลินได้ แต่ไว้ชีวิตหลินเมิ่งเจ๋อไม่ได้
เขาคิดจะเหลือสายเลือดตระกูลหลินจากหลินเฉินหยวนไว้เพียงหนึ่งสายเท่านั้น
แม้จะตกลงว่าไม่ฆ่าล้างตระกูลหลิน แต่ก็นับได้ว่าถอนรากถอนโคนโดยแท้
หลี่หวู่อี้จ้องซูเฉินด้วยความตกใจ “ท่านจะสังหารคนมากเช่นนั้นเลยหรือ ?”
ซูเฉินกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้าสังหาร เป็นพวกท่านสิ”
“พวกเราหรือ ?” หลี่หวู่อี้อึ้งไป
“ถูกต้อง เป็นพวกท่าน ไม่ใช่ว่าท่านจะเป็นคนแจ้งการตัดสินใจของข้าให้หลินเมิ่งเจ๋อรู้หรอกหรือ ? ข้าคิดว่าเขายอมตายดีกว่ายอมเป็นทาส ท่านโน้มน้าวเขาไม่ได้หรอก เช่นนั้นแล้ว เหตุใดไม่ประหารเขาเสีย จะได้จบ ๆ เรื่องไปเลยเล่า ? เช่นนั้นดีกว่ามากนัก”
คนหนึ่งเอ่ยเสียงไม่พอใจ “ท่านเจ้านิกายซู ท่านทำเกินไปแล้วกระมัง พวกเรามาเพื่อเป็นคนกลางแทนหลงซาง ไม่ใช่มาเป็นนักฆ่าให้ท่าน”
ซูเฉินเอ่ยต่อเสียงสงบ “นับจากนี้ไป ข้าคือหลงซาง หลงซางคือข้า ท่านพูดถูกที่ว่ามาเพื่อช่วยหลงซาง แต่ท่านไม่ได้ช่วยข้า ท่านช่วยเหลือตนเองต่างหาก”
“ช่วยเหลือตนเองหรือ ?”
“ใช่” ซูเฉินพยักหน้ามั่นใจ “หากท่านเป็นคนโจมตี ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเสียหน้า เพราะมันจะไม่ใช่ความต้องการของข้า แต่เป็นของท่าน… ท่านทิ้งตระกูลหลินมาผูกไมตรีกับนิกายไร้ขอบเขตเพื่อตัวท่านเอง ข้าจึงต้องยินดีกับความจริงใจนั้นแล้วเป็นพันธมิตรกับพวกท่าน เป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลองยินดีใช่หรือไม่?”
พูดแล้วก็เหลือบมองฉู่เจียงอวี๋
ฉู่เจียงอวี๋เข้าใจ “ท่านเจ้านิกายซูพูดไม่ผิด”
สองชั่วยามต่อมา
ทั้งหกอาณาจักรไม่สามารถโน้มน้าวหลินเมิ่งเจ๋อให้ยอมจำนนได้ จึงประหารเขาเสียตรงนั้น
และแต่งตั้งหลินเฉินหยวนเป็นผู้สืบทอดต่อไป…