ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 83 เป้าหมาย
บทที่ 83 เป้าหมาย
ด้วยความที่ฟ้ามืดมาก ทหารอาณาจักรนกฮูกจึงมองได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหญ่เหินร่างผ่านฟากฟ้าไปเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ รู้เพียงว่ามากันมากจนเหมือนเมฆใหญ่ลอยเข้ามาทีเดียว
กลิ่นอายดุดันหนักหน่วงของพวกเขาสร้างแรงกดดันให้ทหารด้านล่าง
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบินอยู่ด้านบน เหลือบตาลงมามองคนด้านล่าง
แค่สายตาเท่านั้นก็ทำให้เหล่าทหารรู้สึกราวกับถูกอสูรร้ายจ้องมองก็มิปาน
“เหลือเชื่อจริง ผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกลับมีพลังจิตมากมายเช่นนั้นได้” แม้ทหารผู้นั้นจะอ่อนแอ แต่ก็มีประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ด้วยเคยต่อสู้กับเผ่าวิญญาณมาก่อนจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับพลังจิตดี
“ก้มหัวแล้วหุบปากเสีย !” อีกคนหนึ่งไม่ไกลเอ็ดเขาเสียงเบา
แม้จะไม่รู้ว่าพวกที่บินข้ามศีรษะตนไปเป็นใครกันแน่ แต่ด้วยจำนวนนับไม่ถ้วนก็เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถต่อกรได้เป็นแน่
ผู้เชี่ยวชาญแค่คนเดียวก็สามารถสังหารพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว
ที่สำคัญคือมีผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นพากันบินมาเป็นโขยงทีเดียว
มีด่านสู่พิสดารอยู่กี่คนกันแน่ละนั่น ?
ทำไมถึงมากันไม่หมดไม่สิ้นสักที ?
ทหารแหงนหน้ามองจากด้านล่าง พากันตื่นตะลึงไป
หรือจะเป็นวิชามายา ?
ไม่เคยเห็นผู้เชี่ยวชาญทรงพลังรวมตัวกันมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย มากันมากมายเช่นนี้ ยังเรียกว่าแข็งแกร่งได้อีกหรือ ต้องเรียกว่ากลายเป็นธรรมดาได้แล้วกระมัง
กองทัพผู้เชี่ยวชาญยังเคลื่อนพลต่อไป พวกทหารได้แต่ตื่นตะลึงตกใจจนไม่สามารถตกใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว
พวกเขาไม่ใช่แค่คนธรรมดา แต่คือหัวผักกาดต่างหาก !
สุดท้าย ‘หัวผักกาด’ ทั้งหมดก็บินผ่านไป
ความสงบกลับคืนสู่ยามค่ำคืน แต่เหล่าทหารยังคงตะลึงงัน
ผ่านไปนาน คนเป็นหัวหน้าจึงเอ่ยขึ้น “กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว !”
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะหัวหน้า ?” คนหนึ่งถามขึ้นเสียงตื่นเต้น
หัวหน้าตวัดสายตามอง “ทำอย่างไรงั้นหรือ ? คิดว่าพวกเราจะทำอะไรได้ ? ได้แต่กินนอนวนไปน่ะสิ !”
“ผ่านแท่นบูชาลมปีศาจไปจะเป็นรังกาเฒ่า ถัดออกไปเป็นเขตอสนีกระหน่ำ” หลินเฉ่าเซวียนกล่าวกับซูเฉิน
เขตอสนีกระหน่ำเป็นดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน มีสายฟ้าฟาดลงมาอยู่ตลอด เกิดเป็นเปลวเพลิงลุกโหมทุกเวลา กลายเป็นอาณาเขตแห่งความตาย กระทั่งด่านมหาราชันเดินทางผ่านยังต้องคอยระวัง
“สถานที่นั้นอันตรายเกินกว่าจะเดินทางผ่านได้ เราจึงเหลือทางเลือกเพียงสองทาง ทางแรกคืออ้อมไป ใช้เวลามากขึ้นหลายวัน ทางที่สองคือไปทางใต้ดิน แต่มีทางเข้าแตกต่างกันมากถึงสิบแปดทาง อีกทั้งยังมีบึงอยู่หลายแห่ง แต่ก็ยังอันตรายพอสมควร อีกทั้งใต้ที่นั่นยังมีเผ่าวิญญาณหลบซ่อน พวกเราอาจไม่ทันระวังตัว ท่านเจ้านิกาย เราควรจะ……” หลินเฉ่าเซวียนหันไปหาซูเฉิน
ซูเฉินโบกมือสบาย ๆ “พวกเรามาสังหารเผ่าวิญญาณ เช่นนั้นก็บุกเข้าไปตรง ๆ เลยเถอะ”
“นี่ เรามาเอาวิญญาณอำมฤตไม่ใช่หรือ” หลินเฉ่าเซวียนเตือน
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว เมื่อกวาดล้างเผ่าวิญญาณแล้ว วิญญาณอำมฤตก็ย่อมตกอยู่ในกำมือของพวกเรา”
ไม่เหมือนกับเผ่าสมุทร ซูเฉินมีความคิดเดียวต่อเผ่าวิญญาณ นั่นคือสังหารให้สิ้น !
ความแค้นต่อเผ่าวิญญาณนั้น ส่วนหนึ่งมาจากร่างกายที่แตกต่างเป็นอย่างมาก เผ่าวิญญาณยอมทิ้งกายเนื้อด้วยการใช้เครื่องมือสกัดจิต ทำให้ตนเองกลายเป็นเหมือนแก่นวิญญาณ เป็นการละทิ้งเลือดและเนื้อ มองอีกอย่างก็คือแตกต่างมากกว่าที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อสูรเสียอีก
ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่ยอมรับเผ่าวิญญาณให้เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ
แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะเผ่าวิญญาณมีจุดมุ่งหมายหนักแน่นมาก พวกเขาหลบซ่อนในความมืด ใช้ความสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อทำตามแผนการ ดังนั้นจึงเป็นมือมืดหลังม่านมาโดยตลอด
ปกติแล้วคนส่วนมากจึงมองเผ่าวิญญาณด้วยสายตาที่หวาดกลัว
คล้ายกับเป็นฝันร้ายหรือเป็นภูตผีที่มักหลบอยู่ในเงามืดของจิตใจคน
ซูเฉินเคยพบเผ่าวิญญาณทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกเป็นที่เมืองธารน้ำใส เขาได้พบกับมนุษย์ที่ถูกเผ่าวิญญาณทำให้เป็นทาส ครั้งที่สองเป็นบนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล ที่ซึ่งเผ่าวิญญาณแทรกซึมเข้ามาในนิกายไร้ขอบเขตและคิดก่อเรื่อง ครั้งที่สามเป็นตอนที่ได้พบกับถีเข่อซือ ถีเข่อซือเองก็เอ่ยคำลวงต่อหน้าเขาหลายครั้ง อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินไม่มีความรู้สึกเชิงบวกกับเผ่าวิญญาณเลย
ที่สำคัญไปกว่านั้น นิกายไร้ขอบเขตทรงพลังมากจนไม่คิดใช้การต่อรองให้ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
อยากได้วิญญาณอำมฤตหรือ ?
ไม่ยาก
ก็แค่สังหารเผ่าวิญญาณให้หมดแล้วชิงมาเท่านั้น
นี่คือความคิดและความบ้าบิ่นของซูเฉิน ที่สำคัญคือ มีเพียงเขาที่ทำเช่นนั้นได้จริง
ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขต แต่เป็นเพราะความสามารถในการวิจัยของซูเฉินต่างหาก เขามีจุดได้เปรียบตรงที่สามารถพัฒนาวิชาที่สามารถมุ่งโจมตีจุดอ่อนของศัตรูขึ้นมาได้
ทำไมเผ่าสมุทรถึงได้ไว้ใจซูเฉินขนาดนั้น ? นั่นก็เป็นเพราะมั่นใจว่าซูเฉินจะสามารถพัฒนาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถเอาชนะท้องสมุทรโศกาได้อย่างไรเล่า และซูเฉินก็ทำเช่นนั้นได้ ด้วยการใช้ยาพิเศษนั่นเอง ไม่เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตก็คงไม่สามารถต้านรับการโจมตีจากอสูรทะเลนับร้อยได้
และในตอนนี้ที่ซูเฉินคิดจะจัดการกับเผ่าวิญญาณ จึงไม่แปลกที่เขาจะพัฒนาของบางอย่างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับศัตรูโดยเฉพาะ
แท้จริงแล้ว ซูเฉินถึงกับสร้างตัวต้นแบบขึ้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลแล้ว เผ่าวิญญาณใดที่เข้าใกล้ฐานที่มั่นจะถูกพบตัวตนในทันที แต่เพราะความสนใจหลักของเขาในตอนนั้นอยู่ที่ท้องสมุทรโศกา จึงยังไม่เห็นว่าเผ่าวิญญาณเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง
แต่หลังจากทำลายหุบเหวได้แล้ว เป้าหมายในคราวนี้ก็ถึงเวลาของเผ่าวิญญาณ
วิชาที่น่ากลัวที่สุดของเผ่าวิญญาณคือวิชาบงการจิตทาส ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตมีมันสมองทั้งหลายได้เกือบทุกอย่าง และสั่งให้ทำอะไรได้ตามใจชอบ
ทว่าโอกาสสำเร็จของวิชาบงการจิตทาสขึ้นอยู่กับพลังจิตของเป้าหมาย พลังจิตของซูเฉินแข็งแกร่งมากจนไม่อาจถูกวิชาได้ จูเซียนเหยาและคนอื่นที่เชี่ยวชาญวิชาในเชิงเดียวกันก็ไม่สามารถใช้วิชานี้กับพวกเขาได้เช่นกัน
กระนั้นเผ่าวิญญาณก็ยังมีเป้าหมายให้เลือกอีกมาก สำหรับคนส่วนมากแล้ว อย่างไรก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัว
ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกทำการวิจัยในด้านนี้
สิ่งแรกที่เขาลงมือทำคือการแจกจ่ายเคล็ดวิชาจิตแท้ให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทุกคนได้นำไปฝึกฝน พลังจิตจะได้สูงขึ้น แต่แน่นอนว่าเมื่อไม่มีเนตรมองโลกจุลภาคเช่นซูเฉิน ความเร็วในการฝึกฝนวิชาจึงน้อยกว่ามาก
ต่อจากนั้น ซูเฉินก็เริ่มแจกจ่ายวิชากำแพงใจ ซึ่งสามารถใช้ต้านวิชาบงการจิตทาสได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่จะเรียนวิชานี้ได้ต้องมีพลังจิตอยู่ในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือจะต้องใช้ยามมีสติ และใช้ป้องกันเฉพาะการโจมตีจิตที่กำลังจะเข้ามาได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้ต้านวิชาที่ถูกไปแล้วได้ หากเผ่าวิญญาณซุ่มโจมตี กำแพงใจก็ช่วยอะไรไม่ได้
ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายแรกของซูเฉินคือการพัฒนาวิชาดังกล่าว ความเชี่ยวชาญด้านพลังจิตของเขาอยู่ในขั้นสิบแล้ว เมื่อได้สายเลือดนิมิตลาวัณย์มาเสริม การวิจัยจึงเริ่มออกดอกออกผลอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้ซูเฉินกล้าเข้าโจมตีเผ่าวิญญาณ สามารถทำสิ่งที่หลายคนเคยพยายามแต่ไม่อาจทำได้สำเร็จให้สำเร็จเสร็จสิ้นได้
ในตอนนี้ ซูเฉินกำลังคุยแผนการรบกับหลินเฉ่าเซวียนและคนอื่น ๆ ฉับพลันเกิดเปลวไฟขึ้น ณ ที่ไกล ๆ
เมื่อเห็นสัญญาณ ซูเฉินก็นัยน์ตาเต้นระริก “พูดถึงก็มาเชียว !”
ว่าแล้วงาร่างก็กะพริบหายไปในพริบตา
เขาวางร่างแยกเอาไว้ในหมู่ทหาร ชั่วอึดใจต่อมา เขาก็กลับมาปรากฏตัวใกล้กับจุดที่เปลวไฟวาบขึ้น ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ใกล้จับอาวุธในมือไว้อย่างประหม่า สอดส่องสายตามองโดยรอบ ด้านหน้ามีคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น นัยน์ตาปิดสนิท ไม่ได้สติอีกต่อไป
ซูเฉินเหลือบมองคนไม่ได้สติผู้นั้น “เข้าสู่สภาพกึ่งไม่ได้สติแล้วงั้นหรือ ? รู้เรื่องเมื่อไหร่ ?”
“เมื่อครู่นี้ขอรับ ยังมีอีกสองคนด้วยขอรับ” ศิษย์นิกายคนหนึ่งตอบเสียงดัง
ซูเฉินเห็นร่างไร้สติอีกสองร่างยามมองตามทางที่ศิษย์คนนั้นชี้ไป มีคนกลุ่มใหญ่ล้อมวงไว้ คอยคุ้มกันอยู่เช่นกัน
ซูเฉินยกยิ้มเย็น “ประหลาดใจนัก ยังอุตส่าห์ลองอีกตั้งสองครา”
สภาวะกึ่งไร้สติคือวิชาจิตที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นมาเพื่อปกป้องศิษย์ของเขาจากวิชาบงการจิตทาส
มันไม่เหมือนกับกำแพงใจที่จะต้องใช้พลังจิตสูง และต้องใช้ยามมีสติ แต่สภาวะกึ่งไร้สตินี้เป็นผลมาจากวิชาอาร์คาน่าที่จะเปิดใช้เองเมื่อผู้ใช้ตกอยู่ในอันตราย
การทำงานของมันไม่ซับซ้อน เมื่อมีพลังจากภายนอกพยายามเข้าคุมร่างผู้ใช้ จิตของผู้ใช้วิชาจะถูกผนึกไว้ชั่วคราว เพิ่มความสามารถในการป้องกันการบุกรุกจิต ทำให้วิชาบงการจิตทาสไร้ผล
และทันทีที่วิชาถูกเปิดใช้แล้ว ความสามารถในการป้องกันที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้ใช้วิชารับมือกับวิชาจิตที่โจมตีรุกล้ำเข้ามาได้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ใช้วิชาก็จะไม่สามารถควบคุมร่างได้ หรือก็คืออยู่ในสภาวะไร้สตินั่นเอง
ดังนั้นหากเป็นการสู้กับเผ่าวิญญาณตัวต่อตัว ใช้วิชานี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย มันเป็นวิชาที่มีผลข้างเคียงร้ายแรง เพราะทำให้ไม่อาจปกป้องตนเองจากการโจมตีของศัตรูได้เลย
แต่ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ มันทรงคุณค่ากว่ามาก
ถ้าหากมีสหายคอยปกป้องร่างกายให้ สถานการณ์ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทหารกลุ่มนี้กำลังเหินร่างอยู่ด้วยกัน เมื่อพบว่าหนึ่งในสหายร่วมศึกหมดสติและร่วงลงมา
ทุกคนจึงรู้ทันทีว่าสหายตนเองถูกเผ่าวิญญาณที่หลบอยู่ในเงามืดซุ่มโจมตี พยายามจะครองร่างของเขา
วิชาบงการจิตทาสเป็นวิชาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ คนคนหนึ่งอาจถูกบงการจิตได้โดยที่อีกคนหนึ่งไม่ทันสังเกตเลยสักนิด ดังนั้นมันจึงเป็นวิชาที่น่ากลัวนัก
หากแต่ในตอนนี้ หลังจากที่ทหารทั้ง 3 คนหมดสติไป ก็เป็นการเตือนภัยให้กับสหายร่วมทาง ทหารโดยรอบทั้งหมดจึงจุดไฟเตือนในพลัน
แท้จริงแล้ว หลังจากที่เผ่าวิญญาณลงมือโจมตี เวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น ซูเฉินก็มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว
ดังนั้นซูเฉินจึงเหลือบมองรอบกาย ก่อนจะเอ่ยเสียงมั่นใจขึ้นว่า “เขายังอยู่ที่นี่”
พูดจบก็คำรามต่ำในลำคอ
เสียงคำรามต่ำครั้งนี้ แผ่คลื่นพลังจิตอันทรงพลังออกไปทั่วทิศทาง ศิษย์นิกายทั้งหลายไม่เป็นอะไร แต่เผ่าวิญญาณที่หลบอยู่ในความมืดพลันรู้สึกถึงความน่าผวาที่ส่งผ่านเข้ามา บีบให้เขาต้องหนีออกมาจากจุดที่หลบซ่อนตัวทันใด
และทันทีที่ออกมาจากที่ซ่อน ซูเฉินก็สัมผัสถึงเขาได้
เงาร่างเลือนรางแอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครเห็นจนกระทั่งถึงตอนนี้
เผ่าวิญญาณผู้นั้นจึงรู้ว่าตนแย่แล้ว รีบถอยออกมาทันที
ซูเฉินส่งเสียงขู่ขึ้นอีกครั้ง “คิดจะไปไหน ?”
จากนั้นก็ส่งพลังจิตแหลมดั่งคมเข็มพุ่งออกไป
ไม่มีใครมองเห็นมัน ทว่าเผ่าวิญญาณผู้นั้นกลับเห็นมันเด่นชัด มันส่องสว่างราวกับลูกไฟในอุโมงค์มืด
เมื่อผ่าวิญญาณรู้ว่าศัตรูใช้วิชาจิตต่อสู้ เขาจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที
เผ่าวิญญาณมีพลังจิตเป็นอาวุธทรงพลังที่สุด หากมนุษย์คิดใช้พลังจิตสู้กับเขาแล้ว เรื่องเช่นนี้ก็นับว่าน่าขันมาก
เผ่าวิญญาณผู้นั้นไม่คิดปัดป้อง กลับใช้ร่างวิญญาณต้านการโจมตีเอาไว้แทน
แต่ทันทีที่เข็มพลังจิตแทงเข้าร่าง เผ่าวิญญาณก็รู้สึกถึงความเจ็บที่สะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย
เจ็บปวดยิ่งนัก !
หลังจากกลายเป็นเผ่าวิญญาณ เขาก็ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดได้ขนาดนี้มาก่อน
เขายังมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่หรือนี่ ?
แต่ไม่นานเขาก็ยอมแพ้ต่อความเจ็บปวดที่ยังตามมาอีกหลายรอบ
สติสุดท้ายของเผ่าวิญญาณผู้นั้นคือ ‘มันเป็นใครกันแน่ ? ทำไมถึงได้มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเผ่าวิญญาณได้กัน ?’