ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 86 ช่องแคบวายุเงียบ
บทที่ 86 ช่องแคบวายุเงียบ
เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั่วเหมิงข่าตัวก็ล่มสลาย
เผ่าวิญญาณจำนวนห้าร้อยชีวิตตายในการต่อสู้ทั้งหมด
ความพ่ายแพ้ของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ใช่แค่เพราะยาของซูเฉิน แต่ที่สาเหตุสำคัญไปกว่านั้นก็คือพลังของตัวเองเอง
เผ่าวิญญาณกลุ่มนั้นไม่คาดคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนหลายหมื่นคนเช่นนี้
ในประวัติศาสตร์ของเผ่าวิญญาณนั้นปรากฏเป็นเรื่องปกติทีเดียว ที่พวกเขาจะชนะการต่อสู้แม้ว่าจะมีจำนวนคนที่น้อยกว่า
ด้วยอุบายต่าง ๆ แล้ว ชาวเผ่าวิญญาณจึงสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งมาได้หลายต่อหลายครั้ง
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเก่งกาจเพียงไรในการต่อสู้ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า ประสบการณ์ในด้านนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ไม่มีทางเลยที่เผ่าวิญญาณราวห้าร้อยคนนั้นจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนด่านสู้พิสดารถึงสองหมื่นเจ็ดพันคนได้ ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายเพียงอย่างเดียวก็ทำให้มั่นใจได้แล้วว่า เผ่าวิญญาณจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากทั่วเหมิงข่าตัวสิ้นสุดลง นิกายไร้ขอบเขตก็เคลื่อนทัพมุ่งหน้าต่อไปทันที
ถัดไปจากทั่วเหมิงข่าตัวก็คือ ช่องแคบวายุเงียบ
ช่องแคบวายุเงียบ เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ก้อนหินที่กองทัพกันนั้นก่อตัวสูงขึ้นไปเสียดฟ้า พายุหมุนลูกใหญ่ได้ทำลายหุบเขาแห่งนี้ และทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้น
อันที่จริงแล้วพายุหมุนนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ลมกรรโชก แต่มันยังเป็นพลังต้นกำเนิดอีกด้วย
พลังต้นกำเนิดในช่องแคบวายุเงียบนั้นรุนแรงและว่องไวเหลือเกินจนเกิดเป็นเขตแดนที่เต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดแปรปรวน ดังนั้นแล้วการควบคุมพลังต้นกำเนิดในหุบเขาแห่งนี้จึงยากกว่าปกติไม่น้อย
สาเหตุหลักของปรากฏการณ์นี้ก็คือช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่กึ่งกลางของหุบเขา ซึ่งช่องว่างนี้เองที่เป็นช่องแคบวายุเงียบที่แท้จริง
ช่องแคบวายุเงียบเป็นรอยแยกพลังสูญที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง มันเชื่อมต่อกับแดนพลังสูญ แต่ก็ไม่ได้เชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ จึงส่งผลให้เกิดเป็นกระแสพลังต้นกำเนิดที่แปรปรวนขึ้น ด้วยความที่หุบเขาแห่งนั้นมีศิลาดาวอสูรอยู่ด้วย ซึ่งมีอิทธิพลต่อกระแสพลังต้นกำเนิดดังกล่าว จึงเป็นธรรมดาที่สถานที่แห่งนี้จะอันตรายเป็นพิเศษ มีเพียงชาวเผ่าวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนใดก็ตามที่ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ก็จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทั้งพลังต้นกำเนิดที่แปรปรวนและกระแสพลังสูญนั้นล้วนอันตรายทั้งสิ้น
ช่องแคบวายุเงียบยังเป็นหนึ่งในสี่ตำแหน่งที่มีการป้องกันดีที่สุดของอาณาจักรหมองหม่นอีกด้วย
พื้นที่ทั้งสี่นี้อันตรายอย่างถึงที่สุด และทำหน้าที่เป็นเขตป้องกันตามธรรมชาติให้กับเผ่าวิญญาณ
และเพราะเผ่าวิญญาณนั้นขาดความแข็งแกร่งในการขับไล่การโจมตี พวกเขาจึงเลือกสร้างอาณาจักรในสถานที่ที่อันตรายตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด โดยมีถ้ำว่านไหล พระราชวังยมทูต ป่าแห่งฝันร้าย และช่องแคบวายุเงียบ เป็นสี่แห่งที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดนั่นเอง
สภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ถือเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติที่ดีที่สุดก็ว่าได้ กองทัพใดก็ตามที่กล้าพอจะโจมตีผ่านทางพวกนี้ก็จะต้องรับมือกับสภาพแวดล้อมที่อันตรายนั้นเป็นอย่างแรก และก็จะต้องรับมือกับชาวเผ่าวิญญาณที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ลาดชันและสูงต่ำในบริเวณนั้นเพื่อซุ่มโจมตี
เพราะเหตุนี้เอง อาณาจักรหมองหม่นจึงคงอยู่มาได้นานหลายหมื่นปีโดยไม่ล่มสลาย
“ช่องแคบวายุเงียบอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว เขตแดนนี้กว้างขวางนัก และพลังต้นกำเนิดที่รุนแรงก็มีอยู่ทุกหนแห่ง เราต้องระวังเป็นพิเศษ” หลี่ฉงซานกล่าวพร้อมกลับชี้ออกไป
ซูเฉินมองเห็นรอยแยกพลังสูญพาดผ่านท้องฟ้าอยู่ไกลออกไป ซึ่งก็คือช่องแคบวายุเงียบ ด้วยการรับรู้ถึงพลังสูญของเขา ซูเฉินจึงสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยจากรอยแยกนั้น
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ช่องแคบวายุเงียบ เป็นดินแดนที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แล้วตามธรรมชาติใช่ไหม แต่ไม่ใช่สำหรับข้าหรอก สั่งให้ทัพโจมตี และข้าจะจัดการกับรอยแยกพลังสูญนั่นเอง”
สิ้นคำนั้นซูเฉินก็เหาะออกไปยังรอยแยกทันที
หลี่ฉงซานออกคำสั่ง และศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ส่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับเคลื่อนทัพมุ่งหน้าไปทันที
อันตรายของรอยแยกพลังสูญมีถึงสามต่อ ทั้งจากพลังต้นกำเนิดแปรปรวน จากชาวเผ่าวิญญาณ และลมที่พัดผ่านรอยแยกพลังสูญ พลังต้นกำเนิดแปรปรวนและเผ่าวิญญาณทำงานด้วยกัน เพราะว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเดียวที่เผ่าวิญญาณกำลังต้องเผชิญหน้า พลังต้นกำเนิดแปรปรวนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้น่ากลัวเท่าไรนักสำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
ลมที่พัดผ่านรอยแยกพลังสูญนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ลมที่พัดผ่านรอยแยกนั้นพาเอาพลังทำลายล้างของแดนพลังสูญมากับมันด้วย
แม้ว่าลมนี้จะไม่ได้น่ากลัวเท่ากับแดนพลังสูญ แต่มันก็สามารถทำลายล้างทุกสิ่งมีชีวิตในหุบเขาแห่งนั้นได้ มีเพียงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะต้านทานพลังสูญได้ แต่ก็แทบจะไม่ไหวด้วยซ้ำ
ซูเฉินพลันพุ่งตัวเข้าหารอยแยกนั้นด้วยความเร็วสูง
ขณะที่กำลังเหาะไปในอากาศนั้น พลังจิตจำนวนหนึ่งพุ่งเข้าหาเขา ซูเฉินกระแอมไอเล็กน้อยและพลังนั้นก็สะท้อนกลับไปหาผู้โจมตีในทันที จากนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นไกลออกไปพร้อมกับที่เผ่าวิญญาณคนหนึ่งที่เหาะหนีไป
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายยังมีชีวิต ซูเฉินก็อดถอนหายใจด้วยความนับถือ เผ่าวิญญาณเหล่านี้แข็งแกร่งจริง ๆ เป้าหมายเมื่อกี้นี้สามารถต้านทานอานุภาพของซูเฉิน ซึ่งเทียบได้กับจักรพรรดิอสูรทะเลแล้ว ณ จุดนี้ แน่นอนว่าเขาแค่โจมตีแบบขอไปทีเท่านั้นและไม่ได้จริงจังอยู่แล้วตั้งแต่แรก
ซูเฉินยังคงมุ่งหน้าต่อไปขณะที่สายลมสีเขียวจาง ๆ ก็มุ่งหน้าเข้าหาเขาเช่นกัน
ยังมีเผ่าวิญญาณอีกคนที่พยายามจะพาซูเฉินเข้าไปในแดนลวงตา เพื่อที่จะได้ใช้เจตจำนงของมันเพื่อต่อกรกับซูเฉิน
ทว่าซูเฉินฟื้นคืนกลับมาจากแดนลวงตาได้เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นราวกับว่าเขาไม่ได้หลุดเข้าไปในนั้นด้วยซ้ำ เผ่าวิญญาณที่พยายามจะลากซูเฉินเข้าไปในนั้นถูกสังหารและสิ้นใจลงที่ตรงนั้นก่อนจะกลายสภาพเป็นฝุ่นผงและสลายหายไป
ชายหนุ่มมุ่งหน้าต่อไปและทันใดนั้น มวลทักษะต้นกำเนิดขนาดใหญ่ก็พุ่งตรงเข้ามาหาเขา
เผ่าวิญญาณราวเจ็ดถึงแปดคนกำลังตรงเข้ามาโจมตีซูเฉินพร้อมกัน
“หือ ที่จริงแล้วก็ใช้กำลังพลกันเป็นเหมือนกันนี่” ซูเฉินหัวเราะ
เขายังยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่ปีกบนหลังนั้นถูกกางออกแล้วและปล่อยสายฟ้าที่ทรงพลังออกไปในทุกทิศทาง
พายุฝนพลันโหมกระหน่ำเข้าใส่ชาวเผ่าวิญญาณในทันใด
สายฟ้านั้นมีอานุภาพในการต้านทานกับเผ่าวิญญาณได้เป็นอย่างดีทีเดียว มนุษย์เรียนรู้เรื่องนี้มานานแล้วในระหว่างการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งกับชนเผ่านี้
ซูเฉินเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสิบ ดังนั้นสายฟ้าและพายุที่ชายหนุ่มใช้จึงมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษ
แม้ว่าพายุนี้จะไม่ได้มีพลังทำลายล้างทั้งโลกได้ แต่มันก็ทรงพลังมากพอที่จะทำลายทั้งเขตแดนหนึ่งได้ และยิ่งเผ่าวิญญาณที่อาศัยอยู่ในเขตแดนนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ขณะที่พายุกำลังโหมกระหน่ำอยู่นั้น ชาวเผ่าวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีของมันก็ถูกสังหารในทันที
“ไม่เลวเลย” ซูเฉินหัวเราะกับตัวเองและมุ่งหน้าต่อไป
สายฟ้าของชายหนุ่มยังสาปเผ่าวิญญาณคนอื่น ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดให้ตัวแข็งทื่ออีกด้วย
วิชาอาร์คาน่าระดับสิบนี้แสดงให้ศัตรูได้เห็นแล้วว่าพวกเขากำลังต่อกรอยู่กับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสิบอยู่
ผู้ฝึกตนส่วนมากนั้นไม่สามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับสิบได้เพราะกระแสพลังต้นกำเนิดที่ไม่เป็นระเบียบในสถานที่แห่งนี้
ยังไม่เคยมีใครที่สามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับเก้าที่เบื้องหน้าช่องแคบวายุเงียบได้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ทว่าในตอนนี้ซูเฉินกลับปล่อยการโจมตีอันทรงพลังอย่างสบาย ๆ โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เสียอย่างนั้น แม้แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานก็คงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ !
แล้วศัตรูผู้นี้คือใครกัน
เป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานอีกอย่างนั้นหรือ
ชาวเผ่าวิญญาณไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนแบบนั้นอยู่ด้วย
พลังที่ใช้โจมตีอย่างกะทันหันเมื่อครู่นี้ทำให้เผ่าวิญญาณต่างต้องตกตะลึง และความสามารถของพวกเขาในด้านสภาพจิตใจก็ถูกทำให้ลดน้อยลงไปด้วย
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นี่พวกเขากำลังเห็นภาพลวงอยู่หรือเปล่า
เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงแน่ ๆ ใช่ไหม
ผู้เชี่ยวชาญภาพลวงต่างไม่มั่นใจในสภาวะจิตของตัวเองในตอนนี้เสียแล้ว พวกเขาพลันต้องสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเป็นพวกเขาเองหรือเปล่าที่ตกเป็นเหยื่อของภาพลวง !
เมื่อหันไปมองยังซูเฉินอีกครั้ง ชาวเผ่าวิญญาณก็พบว่าชายคนนั้นกำลังค่อย ๆ เดินตรงเข้าไปในรอยแยกพลังสูญอย่างใจเย็น
เขาก้าวเดินไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ทุกก้าวนั้นกลับสามารถย่นระยะระหว่างตัวเขากับรอยแยกนั้นได้ไม่น้อยเลย อันที่จริงแล้วเขาได้เข้าไปในเขตแดนที่ได้รับผลกระทบจากลมพลังสูญมากที่สุดแล้วด้วย
ลมทำลายล้างนั้นทรงพลังจนแม้แต่ชาวเผ่าวิญญาณก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ แต่ซูเฉินผู้นี้กลับไม่สนใจในความน่าเกรงขามของมันเลยสักนิด
เขากำลังจะทำอะไรกันแน่
คิดจะฆ่าตัวตายหรืออย่างไรกัน
เผ่าวิญญาณไม่เข้าใจศัตรูผู้นี้เลยจริง ๆ
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าชายคนนั้นกำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่ แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากการรับรู้ถึงภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามา
ความรู้สึกถึงอันตรายที่ว่านี้บดบังแม้กระทั่งเสียงโห่ร้องของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่กำลังไล่ตามมาที่ด้านหลัง
เผ่าวิญญาณระดับสูงคนหนึ่งเหาะขึ้นไปในอากาศ “เจ้าเป็นใครกัน ข้าคือ แม่ทัพฮาลี่เท่อ แห่งช่องแคบวายุเงียบ และเป็นสมาชิกของผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณ ข้า…”
ซูเฉินยกมือขึ้น “ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าท่านเป็นใคร หลบไปให้พ้นทางข้าเสียเถอะ”
สิ้นคำนั้นชายหนุ่มก็โบกมือและร่างของเผ่าวิญญาณคนนั้นก็กระเด็นออกไปราวกับว่าเขาเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ
อันที่จริงแล้วซูเฉินตั้งใจจะสังหารเผ่าวิญญาณคนนั้นด้วยการโจมตีนี้ แต่เผ่าวิญญาณระดับสูงนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ร่างของชายคนนั้นสะท้านไปด้วยพลังจากการโจมตี และชายชราก็ตกใจไม่น้อย สถานการณ์บังคับให้เขาต้องใช้ไพ่ตายเพื่อป้องกันตัว ซึ่งสิ่งนั้นก็คือเกราะพลังสูญต้องห้าม แต่ถึงอย่างนั้นการโจมตีของซูเฉินก็ยังสามารถทำลายมันลงได้อยู่ดี
และแม้ว่าซูเฉินจะไม่สามารถสังหารเผ่าวิญญาณผู้นั้นได้ แต่คราวนี้เขาก็จริงจังมากขึ้นแล้ว ดังนั้นพลังที่หลงเหลืออยู่จึงปะทะเข้ากับร่างของชายชราคนนั้นและทำให้เขาล้มหน้าทิ่มลงกับพื้น
เผ่าวิญญาณระดับสูงคนนั้นไม่เคยต้องประสบกับความอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เขากล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลทันที “ไอ้บัดซบ !”
ทว่าในไม่ช้าเขาก็เห็นว่าซูเฉินเริ่มมุ่งหน้าสวนลมพายุพลังสูญเข้าไปแล้ว
พลังทำลายล้างที่น่าเกรงขามของพายุพลังสูญนั้นสามารถฉีกเนื้อออกจากกระดูกได้สบาย ๆ มีเพียงฮาลี่เท่อเท่านั้นที่กล้าจะเดินทางเข้ามาในที่แห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นที่ที่เขาสร้างเกราะพลังสูญต้องห้ามขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าซูเฉินก้าวเข้ามา แม่ทัพฮาก็คิดทันทีว่าชายคนนี้กำลังพาตัวเองเข้าไปตายชัด ๆ !
ฮาลี่เท่อเริ่มออกตามซูเฉินไปอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะหาโอกาสสังหารชายหนุ่ม
เขาปลดปล่อยพลังของเกราะพลังสูญต้องห้ามทันทีที่ก้าวเข้าไปในเขตแดนนั้นเช่นกัน ซึ่งมันช่วยให้ตนนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากลมพายุพลังสูญนั่นเอง
ฮาลี่เท่อทำได้เพียงแค่สังเกตการณ์ขณะที่ซูเฉินค่อย ๆ มุ่งหน้าต่อไปยังรอยแยก
ทว่าก็ต้องตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลมพลังสูญจะไม่มีผลใด ๆ กับซูเฉินด้วย แต่เมื่อเห็นว่าซูเฉินยังมุ่งหน้าเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็คลายกังวลลงชั่วขณะ
เพราะยิ่งเข้าไปลึกมากขึ้น ลมพลังสูญก็จะยิ่งรุนแรงและมีอานุภาพมากขึ้นด้วย อย่างไรแล้วพลังสูญก็ทรงพลังในการทำลายล้าง และยังมีความสามารถในการฉีกทึ้งร่างของทุกสิ่งมีชีวิตอีกด้วย
ไม่มีทางเลยที่ศัตรูคนนี้ของเขาจะรอดชีวิตจากสภาพเช่นนั้นได้
เขาติดตามซูเฉินต่อไปก็เพื่อจะได้เห็นกับตาว่ามนุษย์ผู้นี้เสียชีวิตที่นั่น เมื่อคิดดังนั้นแล้วคนเป็นแม่ทัพก็ขบกรามแน่นและมุ่งหน้าตามซูเฉินลึกเข้าไปมากขึ้น
ยิ่งเข้าไปไกลลมที่ด้านในนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แม้แต่ฮาลี่เท่อเองก็เริ่มรู้สึกว่าการจะต้านทานกับพลังที่รุนแรงนั้นยากเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะใช้งานเกราะพลังสูญต้องห้ามอยู่ก็ตาม
ความแข็งแกร่งของเขามากพอที่จะเดินไปมาที่รอบนอกของเขตแดนนี้ และเขาก็ไม่เคยกล้าที่จะคิดเข้าไปไกลกว่านั้น ทว่าชายคนนี้ที่ตรงหน้ากลับดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านใด ๆ ต่อลมพลังสูญเลย
ฮาลี่เท่อสิ้นหวังเหลือเกิน
ตอนนี้แม่ทัพฮารู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก และมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากทีเดียวที่ ช่องแคบวายุเงียบจะถูกทำลายลง
ตอนนี้เขาก็ยังคงนึกถึงช่องแคบวายุเงียบเท่านั้น แต่ไม่ได้นึกไปถึงเรื่องที่ว่าชาวเผ่าวิญญาณกำลังจะสิ้นลงเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อไม่สามารถต้านทานพายุพลังสูญได้อีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ถอยกลับไปเท่านั้น
“จะไปแล้วหรือ” ซูเฉินร้องถามขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าจะตามข้าไปได้อีกสักหน่อยเสียอีก น่าเสียดาย”
ฮาลี่เท่อตกใจ เขามองดูชายหนุ่มที่เบื้องหน้ากำลังเดินตรงเข้ามาและคว้าร่างของเขาไว้
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือพายุพลังสูญนั้นไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ กับฮาลี่เท่อได้อีกแล้วในทันทีที่ซูเฉินสัมผัสร่างของเขา
ซูเฉินคว้าร่างนั้นไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังรอยแยก
“รอยแยกนี่มหึมาจริง ๆ ในทุก ๆ วินาทีมันสามารถผลาญทั้งผืนดินและทรัพยากรของทวีปต้นกำเนิดอยู่อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่พลังต้นกำเนิดของมันก็ยัง…” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองก่อนจะยื่นมือออกไปและสัมผัสลงบนรอยแยกนั้น
ภาพที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
รอยแยกกำลังค่อย ๆ ผสานเข้าหากันด้วยตัวของมันเอง…
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่มีทาง เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้แน่ !” ฮาลี่เท่อร้องลั่น
หากรอยแยกนั้นประสานเข้าหากัน ช่องแคบวายุเงียบก็จะหายไป และอาณาจักรหมองหม่นก็จะต้องสูญเสียหนึ่งในพื้นที่ป้องกันในทางยุทธศาสตร์ทั้งสี่ไป
“ข้าไม่ได้พาเจ้ามาเพื่อฟังเจ้าบ่นหรอกนะ” ซูเฉินตอบ
เขาคว้าร่างฮาลี่เท่อก่อนที่ร่างของตัวเองจะหายวับไป คราวนี้ร่างของชายหนุ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งในแดนพลังสูญ และในขณะเดียวกันก็ปลดเปลื้องการป้องกันตัวของฮาลี่เท่อด้วย
แดนพลังสูญแทบจะกลืนกินร่างของ ฮาลี่เท่อ เข้าไปในทันใด
ใต้พลังทำลายล้างที่รุนแรงของแดนพลังสูญนั้น แม่ทัพฮากลายสภาพเป็นผลึกที่มีลักษณะแตกต่างไปจากจักรพรรดิอสูรทะเลอย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินทำลายผลึกแก้วนั้นลงอย่างง่ายดาย และวัตถุเปล่งแสงบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม
“นี่คือ ผลึกพลังสูญ สินะ ! เป็นผลผลิตจากพลังจิตที่ถูกทำลายนี่เอง นี่มันแตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆ ไปอีกด้วย”
ซูเฉินเริ่มรู้สึกตื่นเต้น
เผ่าวิญญาณพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น !