ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 90 บรรลุ
บทที่ 90 บรรลุ
“ดูนั่น ดูสิ ! ลำดับผลงานเปลี่ยนไปแล้วล่ะ !”
ที่ในค่ายพักแรมหลักของนิกายไร้ขอบเขต ฉากผลึกแก้วขนาดยักษ์กำลังแสดงรายชื่อตามลำดับ
ลำดับคะแนนผลงานของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่มีเพียงศิษย์ในหนึ่งร้อยลำดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ในการมีชื่อปรากฏในรายนามนี้ได้
ในทุก ๆ วัน ณ เวลาเดียวกันนี้ ศิษย์ทั้งหลายก็จะรวมตัวกันด้วยความสนอกสนใจ
“เยี่ยเฟิงหานมีคะแนนทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยยี่สิบเอ็ดคะแนน และเป็นอันดับหนึ่ง !” ฉางเหอกล่าวขึ้นพร้อมกับตบบ่าของเยี่ยเฟิงหาน
“เจ้าเองก็ไม่เลวเลย ลำดับที่เจ็ดก็เหมาะสมกับเจ้าทีเดียว” เยี่ยเฟิงหานตอบ
ศิษย์คนอื่น ๆ สังเกตเห็นผลคะแนนด้วยเช่นกัน
“ได้รับคะแนนผลงานหนึ่งหมื่นคะแนนเชียวหรือ”
“ทำไมถึงให้คะแนนมากนักนะ”
“พวกนั้นคงต้องทำประโยชน์ให้ไม่น้อยเลย !”
“ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่ามีการให้คะแนนผลงานถึงหนึ่งหมื่นคะแนนด้วย”
“คราวนี้สองคนนั้นทำคะแนนได้มหาศาลเลยนะ”
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ศิษย์ในนิกายจะได้รับคะแนนผลงานจากการทำภารกิจต่าง ๆ และตัวเลขที่ปรากฏนั้นก็คือจำนวนที่เหลือจากการนำคะแนนไปใช้จ่ายแล้ว
คะแนนผลงานของนิกายไร้ขอบเขตเป็นสิ่งมีค่าเสมอมาและยากนักที่จะได้มาครอบครอง บ่อยครั้งพวกเขามักจะต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดราวสองถึงสามครั้งกว่าที่จะได้รับหนึ่งพันคะแนน
เยี่ยเฟิงหานอยู่ในลำดับต้น ๆ มาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีคะแนนรวมราวสองพันคะแนนเท่านั้น ตอนนี้เมื่อซูเฉินมอบคะแนนถึงหนึ่งหมื่นคะแนนให้เช่นนี้ คนอื่น ๆ จึงอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ ศิษย์ทั้งหลายพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าเยี่ยเฟิงหานได้ทำคุณความดีอะไรใหักับนิกายถึงได้รับรางวัลชิ้นใหญ่เช่นนี้
อันที่จริงแล้วทั้งกองทหารนั้นต่างก็ได้รับรางวัลอย่างงามด้วยกันทั้งสิ้น ฉางเหอเองก็ได้รับไปถึงสามพันคะแนนด้วย นั่นทำให้ชื่อของเขาทะยานขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกทันที
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอวิญญาณนั้น จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะได้รับคะแนนผลงานเป็นรางวัลตอบแทนอย่างมากมายถึงเพียงนี้
หลังจากนั้นเยี่ยเฟิงหานก็ได้ค้นพบว่า อันที่จริงแล้วเผ่าวิญญาณกำลังวางแผนตั้งค่ายกลขนาดมหึมาขึ้นในที่ราบเส้นทางวงแหวน ซึ่งค่ายกลนี้ก็มีเป้าหมายเป็นชาวนิกายไร้ขอบเขต
ค่ายกลที่ว่านี้น่าหวาดหวั่นทีเดียว ทันทีที่มันถูกใช้งาน ทั้งที่ราบเส้นทางวงแหวนก็จะอยู่ภายในวงล้อมของมันและถูกกีดกันไว้ด้วยแนวป้องกันขนาดยักษ์
ไม่ว่านิกายไร้ขอบเขตจะแข็งแกร่งเพียงใด หากต้องติดอยู่ในค่ายกลนี้ พวกเขาก็จะต้องเสียหายอย่างสาหัสแน่นอน
แต่เพราะเหตุนี้เองที่ค่ายกลดังกล่าวก็จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายที่แพงลิ่วในการใช้งานมันเช่นกัน และเผ่าวิญญาณได้ไม่มั่งคั่งถึงขนาดที่จะทำให้ค่ายกลนี้อยู่ในสภาวะพร้อมใช้งานตลอดเวลา
ในสถานการณ์ปกติทั่วไป ค่ายกลจะถูกฝังไว้อย่างแน่นหนาที่ใต้พื้นดินในสภาวะที่นิ่งสนิท การเปิดใช้งานมันจึงจำเป็นมีการขุดดินและเตรียมการทีละน้อย
ดังนั้นแล้วขั้นตอนในการเริ่มต้นใช้งานค่ายกลนี้จึงค่อนข้างใช้เวลาและยุ่งยากพอสมควร
เยี่ยเฟิงหานค้นพบแผนการนี้ของเผ่าวิญญาณเข้าขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างเปิดใช้งานค่ายกลพอดี
และการกระทำของชายหนุ่มก็ส่งผลต่อค่ายกลขนาดยักษ์นั้นด้วย ไม่นานจากนั้น เมื่อกองทัพนิกายไร้ขอบเขตเดินทางมาถึงยังที่เกิดเหตุ และทำลายอักขระค่ายกลในบริเวณนั้น พวกเขาจึงรอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด
ครั้งนี้ชาวนิกายไร้ขอบเขตโชคดียิ่งนัก
หลายคนเชื่อว่าเผ่าวิญญาณได้ซ่อนไพ่ตายขั้นสุดยอดเอาไว้ที่ถ้ำว่านไหล และไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้ในระหว่างการเดินทางในที่ราบเส้นทางวงแหวน
ซูเฉิน หลี่ฉงซาน และทุก ๆ คนต่างเหงื่อแตกพลั่ก เมื่อคิดว่าอะไรอาจเกิดขึ้นบ้าง หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเฟิงหานไปพบเหตุการณ์นั้นพอดี และตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยวทันท่วงที มิฉะนั้นผลที่ตามมาอาจแย่กว่านี้หลายเท่าก็ได้
เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชายหนุ่มได้ทำให้กับนิกายแล้ว คะแนนผลงานหนึ่งหมื่นคะแนนก็ไม่ได้ถือว่ามากเกินไปเลย
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“เยี่ยเฟิงหาน เจ้านิกายต้องการพบเจ้า” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวกับเขาขณะเดินตรงเข้ามา
เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็หันไปมองเยี่ยเฟิงหานด้วยความอิจฉาทันที
ชายหนุ่มกำลังจะได้รับรางวัลอีกแล้วสินะ
ผู้ส่งสาส์นนำเยี่ยเฟิงหายไปยังพระราชวัง ทั้งสองเดินต่อไปจนพบกับอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่ง ศิษย์ผู้ส่งสาส์นหยุดอยู่ที่ด้านนอกและพูดขึ้น “ท่านเจ้านิกาย คนที่ท่านอยากพบได้มาที่นี่แล้วขอรับ”
“เข้ามาสิ” เสียงของซูเฉินดังขึ้น
เยี่ยเฟิงหานเดินเข้าไปและพบซูเฉินที่ยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะหินขนาดใหญ่และโดยมีกังเหยียนอยู่ข้าง ๆ
ที่บนโต๊ะหินนั้นมีร่างเงาที่ส่องแสงวูบวาบก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ… แต่เงานั่นก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้ และทำได้เพียงแค่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
เยี่ยเฟิงหายสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ตรึงร่างเงานั้นเอาไว้
วิชาสุเมรุสูญนั่นเอง
เยี่ยเฟิงหานคาดเดาได้อย่างแม่นยำ
แต่ถึงอย่างนั้น วิชาสุเมรุสูญโดยเจ้านิกายนั้นก็แตกต่างไปจากสุเมรุสูญที่ฉางเหอใช้ ร่างเงานั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อก็จริง แต่มันกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้เลยเมื่อต้องเผชิญกับอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของซูเฉิน
“มาแล้วหรือ” ซูเฉินส่งสัญญาณเรียกเยี่ยเฟิงหานเข้าไป “มาดูนี่สิ”
เยี่ยเฟิงหานก้าวเข้าไปยืนข้างซูเฉิน
ซูเฉินถามขึ้น “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเจ้านี่บ้างล่ะ”
เยี่ยเฟิงหานหยุดคิดก่อนจะตอบกลับไป “ข้ารู้เพียงว่าเงานี่น่าจะเป็นการรวมร่างของเผ่าวิญญาณหกตนด้วยกัน นอกจากนั้น… ข้าก็ไม่รู้อะไรอีกแล้วละ”
“อืม…” ซูเฉินครุ่นคิดและกล่าวต่อไป “เผ่าวิญญาณน่ะเรียกได้ว่าเป็นอมตะในแง่ของเวลา และเพื่อที่จะต่ออายุขัยหรือฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรอาร์คาน่า เผ่าวิญญาณแทบทุกคนจึงเลือกที่จะเลือกเส้นทางแบบเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมีวิชาการฝึกอย่างหนึ่งที่ทำให้เผ่าวิญญาณสามารถรวมร่างเข้าด้วยกันได้ ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก แต่ถึงอย่างนั้น… การรวมร่างครั้งนี้ก็ถือว่าผิดไปจากปกติอยู่เหมือนกัน”
เยี่ยเฟิงหานกล่าว “เจ้านิกายกำลังจะบอกว่านี่เป็นการรวมกันระหว่างพลังงานความมืดและแสงสว่างหรือ”
แสงสว่างที่ส่องขึ้นสลับไปมากับความมืดมิดนั้นยากยิ่งนักที่จะอธิบายหรือทำความเข้าใจได้ นอกจากองค์ประกอบของร่างกายนั้นจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่มันส่องสว่างขึ้น วิชาอาร์คาน่าที่เผ่าวิญญาณสามารถปล่อยออกมานั้นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ถ้าร่างเงานั้นมีวิชาอาร์คาน่าเพียงแค่สองวิชาก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ปัญหาหลักก็คือ ร่างนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถสลับสับเปลี่ยนวิชาทั้งสองนั้นได้ตามใจ
แสงสว่างที่เงานั้นส่องขึ้นมาชั่วขณะจะเปลี่ยนกลับไปเป็นความมืดได้ในทันทีก่อนที่มันจะโจมตีอีกครั้ง และความมืดนั้นก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน มันสามารถเปลี่ยนไปเป็นแสงสว่างเมื่อไรก็ได้
การใช้วิชาเช่นนี้ไม่ต่างไปจากการจู่โจมถึงสองครั้งในเวลาเดียวกัน และมันยังเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของร่างเงานี้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
เป็นธรรมดาที่ซูเฉินไม่คิดอยากจะปล่อยตัวอย่างที่สำคัญอย่างนี้ไป และเขาก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำการวิจัยตัวอย่างนี้ด้วย
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยเฟิงหาน ซูเฉินก็หัวเราะขึ้น “ถูกต้องแล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด ค่ายกลที่ใต้ที่ราบเส้นทางวงแหวนนั่นจะต้องถูกออกแบบมาสำหรับการระเบิดที่ทรงพลังมากแน่ วิธีการนี้ทั้งสามารถช่วยให้ค่ายกลสร้างความเสียหายได้สูงสุด พร้อมกันกับลดค่าเสียหายในการใช้งานค่ายกลไปด้วยในตัว การโจมตีของเจ้าคงทำให้ส่วนหนึ่งของค่ายกลมีพลังหลั่งไหลอย่างท่วมท้นเกินไป และเพราะอานุภาพของมันร้ายแรงถึงชีวิต เผ่าวิญญาณทั้งหกก็เลยเลือกที่จะรวมร่างเข้าด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันนั้น พลังจากค่ายกลส่วนหนึ่งก็เข้าไปในร่างนั้นด้วย ในสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว พวกเขาควรจะตายในทันที แต่เพราะว่ายังอยู่ในค่ายกล และค่ายกลต้นกำเนิดเองก็สามารถปรับพลังงานสองชนิดตรงกันข้ามให้เข้ากันได้ ส่วนประกอบทั้งสามอย่างนั้นจึงสร้างเป็นร่างประหลาดนี้ขึ้นมาอย่างไรล่ะ”
แม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาของตัวเอง แต่เขาก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“อย่างนี้นี่เอง” เยี่ยเฟิงหานเข้าใจทันที และเมื่อคิดทบทวนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าการคาดเดาของซูเฉินมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว
“เผ่าวิญญาณนั่นสามารถผสานแสงสว่างกับความมืดเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกนั้นรวมพลังทั้งสองชนิดที่ตรงข้ามกันได้… ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก !” ซูเฉินกล่าวชื่นชมด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เยี่ยเฟิงหานไม่ได้รู้จักซูเฉินดีขนาดนั้น และเขาก็ไม่ได้ตั้งตัวกับการแสดงออกเช่นนั้นของซูเฉิน ชายหนุ่มจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “มันสำคัญมากเลยหรือท่านเจ้านิกาย”
“ใช่แล้ว สำคัญมากเลยล่ะ !” ซูเฉินตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ความมืดและแสงสว่างที่รวมตัวกันเช่นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับหยินและหยางในระบบการฝึกตนของมนุษย์อย่างมากแน่นอน และหยินกับหยางก็…”
“ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน !” เยี่ยเฟิงหานร้องขึ้น
เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ผู้ฝึกจำเป็นจะต้องเปิดหยินและหยางก่อน พลังที่หลั่งไหลนั้นเกี่ยวข้องกับขั้นตอนส่วนนี้ เพียงแต่มันไม่ต้องรุนแรงมากเหมือนกับที่เกิดขึ้นในค่ายกลต้นกำเนิดก็เท่านั้น
“แต่ท่านเจ้านิกายก็มีวิธีที่จะฝึกคนที่ไร้สายเลือดให้บรรลุถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้แล้วไม่ใช่หรือ” เยี่ยเฟิงหานถามด้วยความไม่เข้าใจ
ซูเฉินหัวเราะ “อย่างแรกเลยนะ ข้ายังแก่ปัญหาเรื่องการบรรลุสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินโดยไร้สายเลือดได้ไม่สำเร็จหรอก สิ่งที่ข้าทำก็เพียงแค่สร้างยาชนิดหนึ่งที่สามารถแทนที่สายเลือดได้และทำให้ข้าบรรลุได้ก็เท่านั้น และอย่างที่สอง การผนวกรวมกันของความมืดและแสงสว่างในร่างเงาของเผ่าวิญญาณนี่ก็ล้ำหน้าไปไกลกว่าด่านหยั่งรู้ฟ้าดินมากทีเดียว ถ้าข้าหาหลักการพื้นฐานเจอและซึมซับมันได้ นอกจากข้าจะสามารถสร้างชั้นพลังทั้งหกที่แท้จริงของวิชาสู่อมตะได้แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้น ข้าก็จะสามารถยกระดับด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้อีกด้วย”
ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับการที่พลังหยินและหยางของผู้นั้นจะทับซ้อนกัน
ทว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินระดับสูงสุดที่แทบจะเข้าสู่ด่านมหาราชันแล้วก็ ยังไม่สามารถประสานพลังสองอย่างที่ตรงข้ามกัน และปรับสมดุลระหว่างกันได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัญหาหลักในการที่แก่นพลังของพวกเขาจะปะทะกัน
หากซูเฉินสามารถใช้พลังที่เกิดจากการผนวกรวมความมืดกับแสงสว่างนี้กับการบรรลุสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ ก็จะเป็นการเพิ่มอานุภาพให้กับพลังของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้อย่างมากเลยทีเดียว
หากระบบการฝึกตนของมนุษย์เป็นเหมือนกับอาคารที่มีหลายชั้น แผนการของซูเฉินก็คือการเพิ่มความสุงของตึกชั้นที่หก แทนที่จะเป็นการสร้างตึกเพิ่มอีกเป็นเจ็ดชั้น
เรื่องนี้เป็นข่าวที่สำคัญทีเดียว และแม้แต่เยี่ยเฟิงหานก็ยังตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้จากซูเฉิน
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “มันคงไม่ง่ายแน่ ๆ ใช่หรือไม่ท่าน…”
ทว่าคำตอบของซูเฉินกลับทำให้ผู้ถามต้องตกใจ “อันที่จริง ข้าทำมันสำเร็จแล้วล่ะ”
ทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ
ใช่แล้ว !
เขาทำสำเร็จแล้ว
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยด้วยซ้ำ
ร่างเงานั้นเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ และความลับทั้งหมดของมันก็ยังอยู่ในร่างนั้นอย่างครบถ้วน
สายตาของซูเฉินก็บังเอิญเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบในการมองลึกเข้าไปในความลับเหล่านั้น
ดวงตาของเขาทำให้ชายหนุ่มสามารถมองเห็นองค์ประกอบที่แท้จริงได้ตามที่เขาต้องการ และผลึกวิญญาณก็ทำให้ซูเฉินจดจำทุกอย่างที่เห็นได้ ดังนั้นแล้วการวิจัยของซูเฉินจึงมักเกิดจากการที่เขายังไม่รู้เสมอ
และเพราะความรวดเร็วในการทำความเข้าใจของเขาสูงเกินไป
เมื่อความลับในร่างเงานั้นถูกเปิดเผยต่อซูเฉิน สิ่งแรกที่เขาทำก็คือวิเคราะห์ส่วนประกอบของมันเพื่อทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังการหลอมรวมนี้ ซึ่งซูเฉินก็จำเป็นต้องใช้เวลาไปพอสมควรเพื่อที่จะค้นหาวิธีการนำการแปรสภาพนี้มาใช้กับมนุษย์
แต่ในท้ายที่สุด….เขาก็ทำสำเร็จ
ระดับที่หกของวิชาสู่อมตะได้ยังเกิดขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ
ไม่เพียงเท่านั้น แต่พลังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ยังล้ำลึกกว่าที่เคยเป็นอีกด้วย
“ผู้ที่ฝึกวิชาสู่อมตะระดับหกจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินโดยทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้นนะ… แต่พื้นฐานที่แข็งแกร่งนี้ก็จะทำให้การบรรลุสู่ด่านมหาราชันง่ายดายมากขึ้นด้วย” ซูเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง
เยี่ยเฟิงหานได้ยินดังนั้นก็ปลื้มปีติเหลือเกิน
ซูเฉินหันมามอง “เจ้าอยากศึกษามันไหมล่ะ”
“คือ… ข้าเองก็เพียงอยู่ในด่านสู่พิสดารเท่านั้น ห่างไกลจากด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่มากนัก ในตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องนั้นหรอกท่านเจ้าสำนัก” เยี่ยเฟิงหานตอบพร้อมกับก้มหน้าลง
ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าไม่ใช่คนโลภมากหรือความอดทนต่ำเลยนะ ข้าชอบจริง ๆ แต่ในเมื่อเจ้าอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ก็ให้ข้าช่วยสักหน่อยเถอะ พอเจ้าบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว เจ้าก็พร้อมที่จะศึกษามันแล้วล่ะ”
“บรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ… ตอนนี้น่ะหรือ ?!” เยี่ยเฟิงหานตกตะลึงอึ้งค้าง
“ถูกต้อง !” สิ้นคำนั้นซูเฉินก็ยื่นมือออกมาสัมผัสบนหน้าผากของเยี่ยเฟิงหานทันที