ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 96 สวนภูตผี
บทที่ 96 สวนภูตผี
สวนภูตผีแท้จริงแล้วก็เป็นแค่ทุ่งขนาดใหญ่
แต่ทุ่งหญ้าเหล่านี้พิเศษกว่าใครอื่น เพราะมีกลิ่นหอมดอกไม้ปกคลุมเอาไว้ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามที่สุดบนทวีป จึงมีคำว่า ‘สวน’ อยู่ในชื่อด้วย
แต่คำหลังคำว่า ‘สวน’ ไม่ค่อยน่าเชิญชวนสักเท่าไหร่เลยเชียว
สาเหตุที่ได้ชื่อว่าสวนภูตผี เป็นเพราะดอกไม้กว่าแปดในสิบส่วนที่นี่เป็นดอกไม้พิษ
แท้จริงแล้วดอกไม้พิษที่มีอยู่บนทวีปสามารถพบเจออยู่ในสวนแห่งนี้ได้เกือบทุกชนิดทีเดียว
ดอกไม้ที่หายากทั้งหลายเติบโตและออกดอกผลิบานกันอย่างหนาตา เกิดเป็นเส้นสายหลากหลายสี มองโดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นภาพงดงามไม่ใช่น้อย
สถานที่เดียวที่พอจะสูสีกันในเรื่องความเป็นพิษ ก็มีอยู่แห่งเดียวนั่นคือเขาพันพิษ
แต่เห็นได้ชัดเจนว่าสวนภูตผี เดิมทีแล้วไม่เป็นเช่นนี้
เผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์เคยอาศัยอยู่ที่นี่
เผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์เป็นเผ่าที่สูญพันธุ์ไปแล้ว สมัยเมื่อครั้งยังอยู่ พวกเขาชอบอาศัยอยู่ในสวนหรือในป่า เรียกตนเองว่าบุตรแห่งธรรมชาติ เผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์เคยใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในสวนภูตผี จนกระทั่งวันหนึ่ง เผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์หนุ่มได้นำดอกไม้ไม่ทราบสายพันธุ์กลับบ้านมา
ดอกไม้ดอกนั้นถูกปลูกเอาไว้ที่มุมสวน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา สวนแห่งนี้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลง
เผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์ได้รับความทรมานโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ละปีอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ตอนที่พบดงดอกไม้พิษก็สายไปเสียแล้ว
ดงดอกไม้พิษนี้ปล่อยหมอกพิษออกมา ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้พวกมันได้ สุดท้ายหมอกก็แพร่ขยายออกไป ทำลายสถานที่อยู่ของเผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์ทั้งหมด สาเหตุส่วนหนึ่งที่ได้ชื่อว่า ‘สวนภูตผี’ ก็เป็นเพราะที่แห่งนี้เต็มไปด้วยวิญญาณเศร้าโศกอาลัยของเผ่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ตายไปนั่นเอง
บางคนอ้างว่าต้นกำเนิดของดอกไม้ที่มนุษย์หนุ่มนำมาปลูก แท้จริงแล้วคือมารดาแห่งบุปผาพิษทั้งหลาย ที่คอยหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดประเภทพิษ
บางคนกล่าวว่า ดอกไม้นั้นแท้จริงแล้วเป็นอุบายของเผ่าวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของถิ่นที่อยู่มนุษย์ดึกดำบรรพ์ แน่นอนว่าเผ่าวิญญาณปฏิเสธข้อกล่าวหาพวกนี้อย่างหนักหน่วง
ยังมีทฤษฎีข้อคิดอีกมากมายเกี่ยวกับดอกไม้ที่สร้างสวนภูตผีขึ้นมา แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นจริง นั่นคือหลังจากที่เผ่าวิญญาณครอบครองพื้นที่เป็นของตนแล้ว พวกเขาก็บ่มเพาะพิษเหล่านั้นต่อ ไม่ได้ทำลายทิ้ง
เพราะพวกเขาไม่กลัวพิษ
ด้วยร่างวิญญาณที่มีทำให้ได้ประโยชน์หลายอย่าง อย่างหนึ่งคือการไม่เกรงกลัวพิษส่วนมาก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเผ่าวิญญาณไม่เกรงกลัวพิษใดเลย ยังมีพิษแปลกประหลาดบางอย่างที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้พลังจิตเป็นหลักอย่างมากอยู่ หากไม่ได้เตรียมตัวมาพร้อมก็ทำให้เผ่าวิญญาณบาดเจ็บหนักไม่ใช่น้อยได้ แม้เผ่าวิญญาณจะมีวิธีรับมือ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในสี่เขตหวงห้ามของอาณาจักรหมองหม่น อันตรายหลักของสวนภูตผีนั้นมาจากหมอกพิษร้ายหลากสีนั่นเอง
กระนั้นสภาพความเป็นพิษของที่นี่ก็ไม่ได้มีผลร้ายต่อนิกายไร้ขอบเขตมากมายอย่างไร
ซูเฉินไม่ได้ใช้เวลาอยู่แดนปักษาไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลังจากเค่อเหลยซีต๋ายอมจำนนต่อหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว สูตรยาแก้พิษมือแห่งโชคชะตาก็ต้องตกเป็นของหยงเยี่ยหลิวกวงด้วย
ในเมื่อซูเฉินเข้าโจมตีเผ่าวิญญาณตามความต้องการของหยงเยี่ยหลิวกวงเพื่อชิงเอาวิญญาณอำมฤตมา หยงเยี่ยหลิวกวงย่อมไม่เห็นแก่ตัวเก็บสูตรยาแก้พิษไว้กับตน
แม้จะเป็นสูตรที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังใช้ได้ผลกับพิษส่วนมาก
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงงานที่เขาสร้างไว้ ชายหนุ่มไม่ได้ลอยละล่องอยู่เฉย ๆ เท่านั้น แต่ยังค้นหาวิธีการแก้พิษส่วนเพิ่มเติม ที่ยาแก้พิษจากมือแห่งโชคชะตาไม่สามารถทำขึ้นมาได้แล้วด้วย หากสวนภูตผีมียาพิษอยู่ทั้งหมดหนึ่งหมื่นชนิด นิกายไร้ขอบเขตก็สามารถรับมือกับพิษได้ราวเก้าพันเก้าร้อยชนิดแล้ว
และแม้ว่าที่เหลืออีกกว่าร้อยชนิดจะไม่สามารถแก้พิษได้อย่างสมบูรณ์ จำนวนพิษที่ได้รับเข้าไปก็เป็นปัจจัยสำคัญว่าจะเป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่ จะดูว่าพิษร้ายแรงเท่า ๆ กันโดยไม่ดูปริมาณที่ได้รับเข้าไปด้วยไม่ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญมนุษย์ก็บ่มเพราะร่างกายที่มีความสามารถในการต้านพิษได้ในระดับหนึ่งมาอยู่แล้ว ดังนั้นหากเป็นพิษเพียงไม่มาก อย่างไรก็ไม่สามารถกำจัดคนกลุ่มใหญ่เช่นนี้ได้แน่
และพิษที่ไม่สามารถทำให้เป็นกลางหรือแยกโครงสร้างออกมาได้ ก็เป็นเพราะหายากมากมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ดังนั้น พิษกว่าร้อยชนิดที่เหลือจึงเป็นประเภทที่ทำการแก้พิษได้ยากที่สุด และยังเป็นชนิดที่หายากที่สุดอีกด้วย แม้ว่าคนในนิกายจะเผลอไปโดนเข้า อย่างไรก็จะได้รับอันตรายอยู่ในวงจำกัด
แม้ว่าสวนภูตผีจะเป็นสถานที่ที่คนส่วนมากไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ แต่กลับเป็นอันตรายต่อศิษย์นิกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้จะเตรียมการระวังไว้ถึงขนาดนั้นแล้ว ซูเฉินก็ยังส่งเยี่ยเฟิงหานเป็นสายลับมาสอดแนมเผ่าวิญญาณ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายได้เตรียมการต้อนรับพวกเขาไว้หรือไม่อีกต่างหาก
ครั้งนี้เขาจะไม่ประเมินศัตรูผิดพลาด จะต้องไม่มีไพ่ตายไหนทำให้เขาประหลาดใจได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่มานานเท่าไหร่ก็ตาม
เยี่ยเฟิงหานถอนหายใจด้วยความตกตะลึงเมื่อมองทุ่งดอกไม้ตรงหน้า สวนภูตผีช่างสมกับคำร่ำลือ
บุปผาหลากสีผลิบานอยู่ทุกแห่ง แต่ละสายพันธุ์ก็มีรูปร่างและสีที่แตกต่างกันออกไป
แม้ว่าพวกมันจะมีพิษร้ายแรง แต่ก็งดงามมากเช่นกัน ภาพที่สวยงามแต่ก็อันตรายไปพร้อมกันเช่นนี้ มีก็แค่ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น
หากไม่สนใจความอันตรายของที่แห่งนี้สักชั่วคราว การได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็คงดีไม่ใช่น้อย
น่าเสียดายที่เผ่าวิญญาณไม่ได้รื่นรมย์ความงามเช่นนี้เลย
หลังจากทิ้งกายเนื้อไปแล้ว พวกเขาก็มองเห็นโลกเป็นสีเทาดูหมองหม่นไปแล้ว
“น่าเสียดาย สิ่งที่งดงามที่สุดมักตกเป็นของคนที่ไม่รู้จักยลความงามที่สุดเสมอเลยสิน่า” เยี่ยเฟิงหานถอนหายใจเศร้า
เหยียนท่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ย “หากหมายถึงความงดงามของทัศนียภาพโดยรอบ เช่นนั้นก็ว่าได้ถูกแล้ว แต่แม้ว่าเผ่าวิญญาณจะชื่นชมความงามก็ตาม เวลาผ่านไปสักหมื่นปีก็คงเบื่อแล้ว มนุษย์ก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? แท้จริงแล้วยังเหนือขั้นกว่าด้วยซ้ำ… หากที่นี่ตกเป็นของมนุษย์ พวกเจ้าก็คงทำลายมันสิ้นแล้ว”
แม้จะถูกควบคุมอยู่ แต่วิญญาณก็ยังอยู่ครบถ้วน เหมือนกับหุ่นเชิดตัวอื่น ๆ
เยี่ยเฟิงหานชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
ก็จริงที่ดอกไม้พิษเหล่านี้คงจะต้องถูกถอนรากถอนโคนออกไปหากมนุษย์จะมาอาศัยอยู่ที่นี่
ดังนั้นเยี่ยเฟิงหานฟังคำเหยียนท่าแล้วจึงพูดไม่ออก “ก็ได้ เจ้าพูดถูก พวกเราก็เหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นในตอนนี้ ข้าก็คิดว่ามันงดงาม ควรค่าแก่การรักษาเอาไว้”
เยี่ยเฟิงหานพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปเดินท่ามกลางทุ่งดอกไม้
ดอกไม้หลากหลายสีแตกต่างสายพันธุ์เรากลับไหวไปตามการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม ปล่อยละอองเรณูและสร้างละอองผงที่อันตรายถึงชีวิตออกมา
น่าเสียดายที่ผงพิษเหล่านี้ไร้ผลต่อเยี่ยเฟิงหาน แท้จริงแล้วเช่นนี้ทำให้ดึงดูดศัตรูทางธรรมชาติของพวกมันเข้ามาต่างหาก
ฝูงแมลงที่ตาเปล่ามองไม่เห็นพลันบินพุ่งเข้าหาเยี่ยเฟิงหาน พวกมันอ้าปากกว้าง เริ่มกัดกินหมอกพิษเข้าไปอย่างมีความสุข
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตจุลภาคที่เคยอาศัยอยู่ในคัมภีร์กลืนพิษของซูเฉินนั่นเอง
เพื่อลดความเสี่ยงที่เยี่ยเฟิงหานต้องเดินทางเข้าสวนภูตผี ซูเฉินจึงยอมจ่ายราคาสูงด้วยการมอบคัมภีร์กลืนพิษให้ อีกทั้งเยี่ยเฟิงหานยังได้รับเทียนไขชีวิตและกล่องสื่อสารมาอีกด้วย
มีคัมภีร์กลืนพิษแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสภาพอากาศที่เป็นพิษของสวนภูตผีสักนิด
หลังจากเข้าไปได้ไม่นาน เยี่ยเฟิงหานก็เหินร่างไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว เมื่อไหร่ที่เหินร่างขึ้น มวลบุปผาก็จะแหวกทางออกให้ เกิดเป็นหนทางให้เขาดำเนินต่อไป
ไม่มีดอกไม้หน้าไหนกล้าขวางทางเขาสักดอก
แต่ภาพฉากนี้คงจะสะดุดตามากเกินไป ดังนั้นเยี่ยเฟิงหานจึงเก็บคัมภีร์กลืนพิษเมื่อเริ่มเห็นชุมชนเผ่าวิญญาณในสายตา
เมื่อมาถึงแล้วก็ได้เวลาของเหยียนท่าลงมือ
ขั้นตอนการเข้าไปในสุสานจริงนั้นง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เผ่าวิญญาณไม่คิดสอบถามเหยียนท่าด้วยซ้ำ ไม่ถามด้วยว่าเหตุใดถึงกลับมาช้าเช่นนี้
เยี่ยเฟิงหานเห็นแล้วประหลาดใจยิ่งนัก
เหยียนท่าจึงอธิบาย “เมื่อเผ่าวิญญาณทิ้งร่างกายไปแล้ว ก็ทิ้งความรู้สึกทางกายส่วนมากไปด้วย ดังนั้นจึงเย็นชา รักสันโดษ และไม่ค่อยเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเท่าไหร่ ไม่แปลกที่จะมีเผ่าวิญญาณหายไปนับปีโดยที่ไม่บอกใคร หากต้องการเราก็เอนหลังลงนอน หลับไปตลอดกาลเลยก็ยังได้”
เยี่ยเฟิงหานพอจะเข้าใจ “ดังนั้นหายไปเพียงไม่กี่วันจึงไม่แปลกสินะ เป็นปกติขนาดนั้นเชียวหรือ แม้จะเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามเนี่ยนะ ?”
“ใช่” เหยียนท่าตอบ “ถ้าจะหายไปก็ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุ บางครั้งใช้เวลาฝันกลางวันเป็นอาทิตย์เลยก็ยังได้ ถ้าหากเจ้าได้อยู่ที่นี่สักหลายวัน จะได้เห็นเองว่าเผ่าวิญญาณเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป ถึงจะเป็นในช่วงสงครามก็ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ข้อห้ามหนึ่งเดียวคืออย่าเตร่ไปไกลนัก จะฝันกลางวันหรือจะหลับใหลก็ควรทำที่นี่ พวกเราไม่สามารถจัดระบบระเบียบและย้ายถิ่นฐานเหมือนกับที่พวกมนุษย์เช่นเจ้าทำได้ มันยากเกินไป พวกเรามารวมตัวกันได้เช่นนี้ก็เป็นเรื่องแปลกมากแล้ว”
“…” เยี่ยเฟิงหานพูดไม่ออก
“ไม่แปลกเลยที่พวกเจ้าจะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีเชิงรุกได้” เยี่ยเฟิงหานว่า
เหยียนท่าหัวเราะ “เผ่าวิญญาณไม่เคยทำได้อยู่แล้ว เราทำเพียงลากศัตรูเข้าสนามของเรา แล้วใช้ประสบการณ์จัดการพวกมันเสียที่นั่น”
“ก็ได้ เจ้าชนะ แล้วต้องทำอย่างไรต่อ ?” เยี่ยเฟิงหานมอบรอบกาย
แม้กองทัพเผ่าวิญญาณจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความมีระเบียบหรือการฝึกฝนภายในเลยสักนิด เป็นอย่างที่เหยียนท่าว่าไว้ เผ่าวิญญาณส่วนมากเพียงนอนหลับอยู่ในห้อง การมารวมตัวกันแตกต่างจากตอนที่ยังไม่มารวมตัวกันเพียงแค่ว่าที่สุสานแห่งนี้มีโรงศพเพิ่มขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น
แค่เท่านั้น
“จะเดินไปเดินมา ทำอะไรได้ตามใจชอบก็ยังได้” เหยียนท่าตอบเสียงสบาย “เจ้าจะมาสืบหาว่าเผ่าวิญญาณมีแผนอะไรวางไว้ไม่ใช่หรือ ? เดินไปถามเลยสิ ไม่มีใครสงสัยเจ้าหรอก มีแค่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ก็เท่านั้น”
เยี่ยเฟิงหานเห็นท่าทีสบาย ๆ ของเหยียนท่าก็หมดคำกล่าว “ไม่คิดเก็บเป็นความลับหน่อยหรือ ?”
เหยียนท่าส่ายหน้าน้อย ๆ “ไม่หรอก ในประวัติศาสตร์เผ่าวิญญาณไม่เคยมีสายลับแอบเข้ามาก่อน”
นี่คือความจริงที่เผ่าวิญญาณแสนจะภูมิใจ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าความภูมิใจเป็นอย่างไรละก็นะ
เผ่าวิญญาณมักเป็นฝ่ายควบคุมผู้อื่นอยู่ตลอด ไม่เคยเป็นฝ่ายที่ถูกใครอื่นควบคุมเลย
เหยียนท่านับเป็นตนแรก
ในอนาคตต่อไป ชื่อของเขาก็จะถูกสลักอยู่ในประวัติศาสตร์ของเผ่าวิญญาณในด้านนี้
ทว่าเหยียนท่าไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด
เขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกคนอื่นควบคุม แม้ยังมีมันสมองคิดเองได้ แต่ความคิดเหล่านั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของเผ่ามนุษย์ทั้งสิ้น
นั่นก็เป็นเพราะเมล็ดจิตในทะเลความรู้เป็นตัวตัดสินใจ
ดังนั้นเหยียนท่าจึงเอ่ย “จะถามอะไรก็ถามได้ เผ่าวิญญาณไม่ทันระวังหรอก”
ตอนนั้นพลันมีเผ่าวิญญาณผู้หนึ่งผ่านมาพอดี
เยี่ยเฟิงหานสะดุ้ง เดินเข้าไปหาเผ่าวิญญาณผู้นั้น “นิกายไร้ขอบเขตอยู่ตรงหน้านี้แล้ว พวกเราจะจัดการมันอย่างไร ? แค่ใช้ทะเลบุปผาพิษคงไม่พอกระมัง ?”
เผ่าวิญญาณดูชะงักไป
เขาไม่ตอบแต่หันมองเหยียนท่าด้วยสายตาลึกล้ำ เยี่ยเฟิงหานใจสะดุดทีเดียว
ไหนว่าจะถามอะไรก็ถามได้ไม่ใช่หรือ ? แล้วทำสีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ?
จากนั้นเหยียนท่าจึงพยักหน้าให้แล้วตอบเพียงว่า “นี่เป็นทาสคนใหม่ของข้า ยังไม่ถูกพลังชั่วร้ายกัดกิน จึงยังมีความสงสัยในหัวใจอยู่”
เผ่าวิญญาณผู้นั้นจึงทำหน้าเข้าใจ “ข้าไม่รู้ เรื่องนี้มีแต่เผ่าวิญญาณระดับสูงที่มีสิทธิ์รู้”
ว่าแล้วก็หันหลังจากไป
เยี่ยเฟิงหานยืนตะลึง “เป็นความลับที่มีแต่ระดับสูงรู้งั้นหรือ ? ก็เก็บความลับเป็นเหมือนกันนี่ ?”
เหยียนท่าตอบ “คงจะขี้เกียจบอกลูกน้องมากกว่า”