ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 100 ร่างเซียน
บทที่ 100 ร่างเซียน
นี่คือสงครามอย่างไร้ข้อกังขา
ทันทีที่เอ่อร์เจ้อจุดชนวนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเพื่อระเบิดพลังครั้งสุดท้าย การพลีชีพย่อมเกิดขึ้น
ทั้งหมดที่เขาต้องการในตอนนี้คือการสำแดงพลังครั้งสุดท้ายให้สมควรแก่ความยิ่งใหญ่ที่เขารู้สึกว่าควรจะได้รับ แม้ต้องสิ้นใจเขาก็อยากจะลากซูเฉินไปด้วย
รัศมีของเอ่อร์เจ้อเริ่มพรั่งพรูออกมา กระทั่งบรรพชนเสวียและเทพอสูรบรรพกาลตนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มรู้สึกปวดหัวเมื่อครุ่นคิดว่าตนจะจัดการพวกเขายังไง
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เอ่อร์เจ้อฟื้นฟูขึ้นไปยังจุดสูงสุดของตนเอง
รูม่านตาของซูเฉินหดตัวลง
เทพที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมนั้นไม่อาจดูถูกได้ ข้อแตกต่างระหว่างเอ่อร์เจ้อในปัจจุบันและในตอนที่อ่อนแอนั้นไม่อาจกล่าวเกินจริงได้
ในตอนนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อพวยพุ่งออกมา กระทั่งบรรพชนเสวียก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สั่นไหวได้ ราวกับว่าความทรงจำอันหดหู่ในอดีตของเขากำลังหลั่งไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว นี่คือพลังแท้จริงที่พวกเทพเจ้าควรจะมี” บรรพชนเสวียพึมพำกับตนเอง “ปราการทำให้พวกเขาอ่อนแอลงมากจริง ๆ!”
แล้วเขาก็ตะโกนเสียงดังสนั่น “ระวังตัวด้วยนะซูเฉิน ยามที่เทพเจ้ามีพละกำลังสูงสุดนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเราเสียอีก! และในเมื่อเขาสังเวยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อโจมตีครั้งสุดท้ายไปแล้ว อีกไม่นานนี้ก็คงจะบรรลุพลังขั้นนั้นแล้ว!”
“ข้ารู้”
ซูเฉินเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเอ่อร์เจ้อได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นทรงพลังจนน่าใจหาย
มันทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังต่อสู้กับโลกทั้งใบและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แต่ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกดื้อด้านเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ถ้าต้องเผชิญกับโลกทั้งใบแล้วยังไงล่ะ?
ข้ามีเส้นทางของตัวเอง
ข้าจะเป็นโลกของข้าเอง!
พลังอมตะพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของซูเฉินจนแทบจะควบคุมไม่ได้
แม้พลังอมตะของซูเฉินจะไม่ได้ยิ่งใหญ่และงดงามตระการตาเท่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อ แต่มันก็มีความทนทรหดและมีเจตจำนงที่แน่วแน่ไม่ลดละ ไม่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขีดจำกัดจะกดดันและมีทีท่าว่าจะกลืนกินมันเข้าไปมากเพียงไร หากในมหาสมุทรมีกระแสน้ำรุนแรง พลังอมตะนี้ก็ยังจะปกป้องซูเฉินต่อไป เป็นดั่งก้อนหินในทะเล แข็งกระด้าง… ไร้ความกลัว…
นี่เป็นเพียงการเผชิญหน้าเพียงระดับพื้นผิวเท่านั้น ไม่ใช่การประชันวาดลวดลายเป็นศาสตร์ศิลป์ระหว่างแดนฝั่งเทพเจ้าและแดนต้นกำเนิดแต่อย่างใด
ทว่าภาพมวลพลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อสู้กันนั้นกลับคล้ายกับการแสดงแสงสีที่น่าตื่นตาเสียเหลือเกิน พลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อนั้นเป็นเหมือนผู้รักษาตำแหน่งคนเก่า ในขณะที่พลังอมตะของซูเฉินเป็นผู้ท้าชิงหน้าใหม่ ชายหนุ่มอาจอ่อนแอกว่าแต่กำลังวังชาและความมีชีวิตชีวาของวัยหนุ่มสาวก็ชดเชยจุดอ่อนนั้นได้เป็นอย่างดี
ผู้ท้าชิงหน้าใหม่คนนี้ต้องอดทนต่อการโจมตีของผู้รักษาตำแหน่ง ร่างของเขากะพริบวูบไหวครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับดวงไฟเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกความมืดมิดกลืนกิน มันช่างดูน่าอดสู ด้วยดูเสมือนพลังอมตะที่ห่อหุ้มซูเฉินไว้นั้นอาจดับมอดลงเมื่อไรก็ได้
ไม่ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกมานั้นจะดูแข็งแกร่งเพียงไร แต่เมล็ดพันธุ์แห่งขบถก็เอาตัวรอดไปได้เสมอและจะแน่วแน่ไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย
ตราบใดที่เอาชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะชนะ
ซูเฉินต่อสู้สุดฝีมือเพื่อให้สามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้
ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องโจมตีกลับไปเพราะเทพปกปักกำลังเผาผลาญพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองไปอย่างถาวร แม้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ฝ่ายเทพได้เปรียบชั่วคราว แต่มันก็เป็นบั่นอายุตัวเองให้สั้นลงและตายไวขึ้นเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ซูเฉินต้องการใช้แรงกดดันมหาศาลจากการต่อสู้กับเอ่อร์เจ้อเพื่อค้นหาวิธีพัฒนาไปสู่แดนต่อไปอีกด้วย
แต่แรงกดดันอันเข้มข้นนี้ก็เจ็บปวดเสียจนซูเฉินเลือดตาแทบกระเด็น
เขาไม่มีเวลาเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นพลังอมตะแม้แต่อึดใจเดียว มิหนำซ้ำการพยายามจะทำเช่นนั้นในขณะที่ตัวยังเผชิญหน้ากับพายุโหมกระหน่ำเช่นนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าขันไปเสียเปล่า ๆ
สิ่งเดียวที่ซูเฉินทำได้คืออดทนให้นานที่สุดและใช้แรงกดดันเพื่อบ่มเพาะและขัดเกลาตนเอง นี่คือกุญแจสำคัญในการเอาชีวิตรอดผ่านสถานการณ์นี้
ยามนี้ซูเฉินจำไม่ได้แล้วว่าเขาตกอยู่ในสภาวะอันตรายเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
หลังจากที่ไปถึงยังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ไม่มีศัตรูคนใดกดดันเขาในการต่อสู้ได้หนักหนาถึงเพียงนี้ เพราะตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็เอาชนะศัตรูทุกคนมาได้อย่างง่ายดายเสมอ
แต่ในวันนี้ พลังเก่าแก่โบราณอันยิ่งใหญ่ที่ถาโถมอยู่ ก็ช่วยให้ชายหนุ่มนึกออกว่าการเสี่ยงชีวิตนั้นเป็นอย่างไรได้ในที่สุด
ใช่ ภัยคุกคาม!
ภัยคุกคามที่อันตรายอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ธรรมดาแต่เป็นการดิ้นรนระหว่างความเป็นและความตาย
ยามใดที่เขายอมแพ้ย่อมเป็นเวลาที่เขาต้องสิ้นใจ กระทั่งบรรพชนเสวียก็ไม่อาจช่วยซูเฉินได้หากเป็นเช่นนั้น
แต่นั่นก็แค่สิ่งที่มันควรจะเป็น
ด้วยการข้ามผ่านความยากลำบากเช่นนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถค้นพบเส้นทางที่กำลังตามหาได้
ซูเฉินต่อสู้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่มันก็ดูราวกับว่าพลังของเอ่อร์เจ้อนั้นไม่มีที่สิ้นสุด พลังศักดิ์สิทธิ์มากมายราวมหาสมุทรยังคงหลั่งไหลออกมา
เวรเอ๊ย เจ้านั่นยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่มากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าความตายกำลังพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วหากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
แต่เขาก็ยอมแพ้ไม่ได้! ไม่ใช่ตอนนี้!
ชายหนุ่มจ้องเอ่อร์เจ้อเขม็งขณะที่กลั่นพลังอมตะออกมาจากร่างกายจนหยดสุดท้ายด้วยความหมดหวัง
ออกมาสิ! ซูเฉินคำรามลั่นอยู่ในใจ
ในตอนนั้นเอง ทุกส่วนในร่างกายของเขาก็ดูจะส่งเสียงโอดครวญภายใต้แรงกดดัน เสียงแตกร้าวและระเบิดปะทุดังไปทั่วทั้งสนามรบ
มันดูราวกับว่าบางสิ่งกำลังแตกหักอยู่ภายในร่างกายของซูเฉิน แม้มันจะเงียบมาก เสียงนี้ก็ดูจะสะท้อนไปมาอยู่ในใจของผู้คนทั่วสนาม
คลื่นพลังจิตไร้รูปร่างแพร่กระจายออกไปถึงผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคน มันทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยน ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขา กระตุ้นให้รู้สึกสุขสบายจนน่าเหลือเชื่อ
แล้วพวกเขาก็หันไปมองสนามรบอีกครั้ง
ราวกับว่าเวลาถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ความสงบสุขอันเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ
ทุกสิ่งดูจะหยุดชะงักลง
แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออกมาด้วยความแข็งแกร่งที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในทันใด
แต่คราวนี้ซูเฉินยังคงนิ่งสนิท
แสงสีขาวโชติช่วงออกมาจากร่างกายของเขา ป้องกันไม่ให้พลังศักดิ์สิทธิ์แตะต้องเขาได้ ไม่เพียงเท่านั้น กลีบดอกไม้เริ่มร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้ารอบกายซูเฉินและร่อนลู่ลมลงไปสู่พื้นดินอย่างแผ่วเบา
คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์แสนทรงพลังไม่อาจทำลายกลีบดอกไม้พวกนี้ได้แม้แต่กลีบเดียว
แล้วท้องฟ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉานก็กลับไปสู่สภาพปกติของมันในทันใด
“เป็นไปไม่ได้!” เอ่อร์เจ้อคำรามอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาสัมผัสได้ถึงพลังของศัตรูที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงผุดขึ้นมา มันยากเกินกว่าจะอธิบายด้วยคำพูดได้ด้วยซ้ำ
มันไม่ใช่การหวาดกลัวความตาย อย่างไรเอ่อร์เจ้อก็จะต้องตายอยู่แล้ว แต่มันคือความรู้สึกกลัวพละกำลังของศัตรูต่างหาก
ศัตรูของเขาได้สร้างพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายต่อชีวิตถึงเพียงนี้
และยังเป็นพัฒนาการในเส้นทางต้องห้ามอีกด้วย
นี่ทำให้เอ่อร์เจ้อรู้สึกสิ้นหวัง
เขารู้ว่าซูเฉินยังอ่อนแอกว่าหากเขามีพละกำลังเต็มเปี่ยม ซูเฉินยังไปไม่ถึงจุดที่เขาสามารถควบคุมโลกใบนี้และสยบเทพเจ้าได้ด้วยตัวคนเดียว
แต่ชายผู้นี้ก็กำลังรุกล้ำพลังของพวกเขาอย่างช้า ๆ
และเพียงเสี้ยวกะพริบตาแห่งความอ่อนแอ ซูเฉินก็ก้าวข้ามเทพเจ้าที่อ่อนแอกว่ามาได้
“ไม่!” เอ่อร์เจ้อร้องลั่นอย่างสิ้นหวัง
เทพเจ้าเชื่อว่าจะมีโอกาสชนะตราบใดที่พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในแดนต้นกำเนิด
แต่ตอนนี้เมื่อมนุษย์คนหนึ่งมาจนถึงที่นี่จริง ๆ เทพเจ้าก็อาจสูญเสียโอกาสสุดท้ายไปแล้ว
เขาต้องการบอกเทพเจ้าคนอื่น ๆ ว่าพลังต้องห้ามของซูเฉินได้ไปถึงระดับที่ทรงพลังจนน่าหวั่นเกรงแล้ว
แต่โชคไม่ดีนัก เขาพบว่าตนเองไม่อาจส่งข้อความได้อีกต่อไปแล้ว
ความผันผวนไร้รูปร่างของพลังจิตแสนทรงพลังของซูเฉินแยกเขาออกมาทางกระแสจิต ทำให้เอ่อร์เจ้อไม่อาจติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกันกับการแทรกแซงความคิดของเขา
ช้าก่อน ข้อจำกัดทางจิตไร้รูปร่างของความคิดอันแสนทรงพลัง…
เอ่อร์เจ้อนึกบางสิ่งขึ้นได้ในทันใด
เขาพึมพำ “งั้นก็เป็นเจ้า… เจ้าซ่อนตัวได้ดีทีเดียว…”
แล้วเขาก็ไม่อาจกล่าวสิ่งใดต่อได้อีกก่อนจะล้มคะมำลงไป
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อถูกใช้จนหมดสิ้นในที่สุด เขาไม่เหลือทหารศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็เหือดแห้งไปด้วย โดยไร้ซึ่งแก่นของพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพียงความศรัทธาจากผู้นับถือก็ไม่อาจประทังชีวิตของเขาเอาไว้ได้อีกต่อไป
ลมหายใจของเอ่อร์เจ้อเริ่มหมดลง
สิ่งมีชีวิตผู้อาศัยอยู่มานานกว่าหลายหมื่นปีตัวนี้ได้หวนคืนสู่ฝุ่นผงที่เคยเป็นในที่สุด
เปลวเพลิงของซูเฉินพวยพุ่งออกมาและอาบไปทั่วร่างกายของเอ่อร์เจ้อ
เช่นเดียวกันกับฝูเหม่ยลา เอ่อร์เจ้อถูกเผาไหม้จนทั้งหมดที่เหลือคือพลังศักดิ์สิทธิ์ควบแน่นก้อนหนึ่งเท่านั้น
เปลวเพลิงบนฟ้ากำลังลุกโชน
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ยังไม่จบลง
มวลเปลวเพลิงพากันเริงระบำอยู่รอบกายชายหนุ่ม ดูราวกับไฟที่อาบบนห่วงเหล็กในคณะละครสัตว์ โดยที่มีซูเฉินยืนอยู่ตรงกลางขณะที่พวกมันส่งประกายอย่างแรงกล้าชนิดที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ในตอนนี้ ภาพดังกล่าวนั้นให้ความรู้สึกว่าซูเฉินคือผู้ควบคุมเปลวเพลิงเหล่านี้
“ซูเฉิน!” ทั้งกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาต่างส่งเสียงเรียกเขาเพื่อเข้าสวมกอดชายอันเป็นที่รัก
“อย่าขยับ” แต่บรรพชนเสวียก็หยุดพวกนางไว้ “เขาไปถึงช่วงวิกฤตของการฝึกตน อย่ารบกวนการรับรู้ของเขา”
“การรับรู้? เขากำลังรับรู้อะไรหรือ?” ทั้งสองต่างสับสนงุนงง
ในโลกของการฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการใช้พลังงาน แต่ผู้คนก็แทบจะไม่จดจ่อกับการรับรู้ถึงพลังงานเท่าไรนัก
บรรพชนเสวียอธิบายอย่างใจเย็น “เขากำลังรับรู้ตัวเองและโลกรอบกาย นั่นคือสิ่งที่จะเข้าใจได้หลังจากที่บรรลุไปถึงระดับ ๆ หนึ่งเท่านั้น”
กู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาต่างก็สงสัยอย่างหนัก “เจ้ารู้ได้ยังไง?”
บรรพชนเสวียส่ายหน้า “ที่จริงข้าก็ไม่รู้หรอก แต่…ข้าเคยพบคนคนหนึ่ง”
“คนคนหนึ่งหรือ?” ทั้งสองตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจในที่สุด “เจ้ากำลังบอกว่า…”
บรรพชนเสวียพยักหน้าเบา ๆ “มนุษย์คนแรกที่ก้าวเดินบนโลกใบนี้ บรรพชนมนุษย์”
กระทั่งบรรพชนของตระกูลกู่ กู่ฮุยหมิง ก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่บรรพชนเสวียพูด “เจ้ากำลังบอกข้าว่าพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยควบคุมพลังอมตะได้เมื่อครั้งที่บรรพชนมนุษย์ตระเวนไปทั่วทั้งโลกได้อย่างอิสระงั้นหรือ?”
บรรพชนเสวียพยักหน้า “ใช่ เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่สำคัญและแข็งแกร่งมาก่อน แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญก็ตาม อันที่จริง มนุษย์ในตอนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะโค่นล้มเทพเจ้าได้เลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนล้วนตกตะลึง
นั่นหมายความว่ายังไง?
มนุษย์เคยแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ หรือ? มนุษย์เคยเป็นมากกว่าเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ ที่อ่อนแอหรือ? ไม่ใช่ว่ามนุษย์เป็นเพียงผู้บูชาเทพเจ้าและเป็นอาหารให้แก่เทพอสูรบรรพกาลหรอกหรือ?
มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญที่แข็งแกร่งพอจะโค่นล้มกระทั่งเทพเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?
บรรพชนเสวียกำลังจะตอบคำถาม แต่แล้วซูเฉินก็เคลื่อนไหว
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ในขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีขาวรอบกายก็เริ่มถอยกลับและควบแน่นจนพวกมันรวมกันเป็นขั้นบันไดที่ดูเหมือนจะทอดยาวจนสูงขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์
ซูเฉินเริ่มเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดช้า ๆ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มก้าวเดิน บันไดข้างหลังเคยเหยียบย่ำไปก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
รัศมีสง่าผ่าเผยอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมา
ซูเฉินก้าวเดินครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเขาไปถึงขั้นบนสุดและหันมามองทุกคน
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างและส่งความรู้สึกของสายลมฤดูใบไม้ผลิซึ่งปลุกเร้าหัวใจของทุกคนตรงนั้นออกมา
กู่ชิงลั่วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “สามี เจ้าทะลวงด่านสำเร็จแล้วหรือ?”
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไม่ ข้าไม่ได้ทะลวงด่าน ข้าบุกทะลวงด่านต่างหาก”
ทุกคนตะลึงในคำตอบของซูเฉินจนทำตัวไม่ถูก
ซูเฉินอธิบายต่อไป “ตอนที่ข้ากำลังจะเลื่อนขั้น ข้าสัมผัสถึงโลกโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทำให้ข้าเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกาลนานมาแล้วได้ บรรพชนเสวียพูดถุูก พวกเราเผ่ามนุษย์ไม่เคยเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดา เพราะพวกเราไม่เพียงถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า แต่พวกเรายังมีความแข็งแกร่งมหาศาล ทำให้เราสามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่สรรค์สร้างและครอบครองของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้ พวกเราอ่อนแอลงเพราะเทพเจ้าค้นพบการมีอยู่ของเราและเกิดหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาจะผนึกพวกเราไว้เพื่อให้มีขนาดเล็กและอ่อนแอ…”
ขณะที่ซูเฉินพูด รอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่วันนี้ พวกเรากลับมาสู่ความรุ่งโรจน์ตามเดิมแล้ว พวกเราจะทำลายขีดจำกัดเหล่านี้และนำสิ่งที่ควรจะเป็นของเรากลับคืนมา ตำแหน่งของพวกเราจะกลับมา!”
ขณะที่พูด เขาก็ยกแขนขึ้นและหันไปมองกองทัพแดนต้นกำเนิดอีกครั้ง “โซ่เส้นสุดท้ายที่เทพเจ้าล่ามพวกเราไว้สะบั้นลงในที่สุด ผนึกที่เคยจำกัดพวกเราไว้มานานต่อนานนั้นไม่มีอีกแล้ว! ในวันนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะทะยานขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ ข้าตัดสินใจจะตั้งชื่อด่านนี้ว่าร่างเซียน!”
“ร่างเซียน!”
“ร่างเซียน!”
“ร่างเซียน!”
มนุษย์ทุกคนตะเบ็งเสียงกู่ก้องขนานนามด่านใหม่นี้อย่างพร้อมเพรียงกัน