ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 103 รวมเป็นหนึ่ง
บทที่ 103 รวมเป็นหนึ่ง
“ทั้งหมดนี่คือแผนของท่านสินะ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองขณะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
เบื้องบนและโลกใบนี้ยังคงดูไม่ต่างจากเดิม
การล่มสลายของปราการไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เห็นได้ชัดในทันตา
แต่เมื่อมันล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์นั้น ซูเฉินสัมผัสได้ทันทีว่าความไม่สบายใจที่เขามีพลันคลายลง
ความรู้สึกที่หายไปคือการรู้สึกถูกปฏิเสธจากโลกใบนี้
และในตอนนี้เมื่อปราการสลายลงแล้ว ความกดดันนั้นจึงคลายลง ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
พวกเขาก้าวออกมาจากพื้นที่แคบ ๆ ยังบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล หัวใจของทุกคนได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระในที่สุด
‘พวกเขา’ ที่ว่านี้ แน่นอนว่าหมายถึงเหล่าเทพเจ้า ไม่ใช่ซูเฉินแต่อย่างใด
ความภาคภูมิอย่างผิด ๆ ของซูเฉินนั้นเป็นที่เข้าใจได้ อย่างไรแล้วปราการเทพเจ้าก็ยืนหยัดเพื่อทดสอบกาลเวลามาหลายปีก่อนจะถูกทำลายลง ดังนั้นชายหนุ่มจึงสรุปเอาตามสัญชาตญาณว่าการล่มสลายของมันไม่ได้ถูกเทพเจ้าเร่ง
แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผิดไปทั้งหมด เทพเจ้าหาทางทำลายปราการลงได้จริง ๆ ข้อแม้เพียงอย่างเดียวก็คือการที่พวกเขาต้องสละชีวิตเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับความปรารถนานั้น
ในระหว่างศึกแห่งทวยเทพ เทพเจ้าพบว่าพวกเขาสามารถเร่งการล่มสลายของปราการลงได้ด้วยการเชื่อมพลังชีวิตของตัวเองเข้าไว้ก่อนที่พวกเขาจะตายจากไป แต่สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อปราการได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเทพทุกองค์ต่างก็มองว่าชีวิตของตัวเองมีค่ายิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครที่กล้าจะเอาชีวิตไปผูกไว้กับมันจริง ๆ
แต่แล้วหลังจากดินแดนต้นกำเนิดรุกรานเข้าไปในดินแดนแห่งคุนแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เพื่อที่จะรับมือการผู้บุกรุก เทพเจ้าก็ถูกบังคับให้ใช้วิธีการพลีชีพแทน
ปราการเทพเจ้าใกล้จะสลายเต็มที เพียงกระทุ้งไม่กี่ครั้งมันก็พร้อมจะพังทลายลงแล้ว
การล่มสลายของปราการทำให้เทพเจ้าที่เหลืออยู่ต่างยินดี
“ในที่สุดพวกเราก็เป็นอิสระ!”
“จากนี้ไปจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกเราได้อีกแล้ว!”
“ซูเฉิน พวกข้าจะตอบแทนเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าทำ!”
“โลกนี้เป็นของเทพเจ้าเท่านั้น!”
เสียงของเหล่าเทพดังก้องไปทั่วฟ้า
ฟึ่บ!
เซวี่ยฝูเหาะไปเกาะบนไหล่ของซูเฉินพร้อมกับนำเสียงของบรรพชนโลหิตมาด้วย “เราปล่อยพวกนั้นไป แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถร่วมทำสงครามกับเจ้าต่อไปได้อีกแล้ว”
ปราการถูกทำลายลงแล้ว แต่กรอบของดินแดนต้นกำเนิดยังคงอยู่
นอกจากนั้นอาณาเขตคุนก็เป็นบ้านของเทพอสูรบรรพกาล ตราบใดที่พวกมันยังอยู่ที่นั่นก็ไม่มีทางที่จะรอดชีวิตต่อไปได้แน่
นั่นแปลว่าทันทีที่ปราการเทพเจ้าพังลง ชะตาของเทพอสูรบรรพกาลก็ถูกตัดสินแล้วว่าจะไม่สามารถกลับไปยังดินแดนต้นกำเนิดได้อีก
นอกเสียจากว่าพวกอสูรต้องการจะปลิดชีพตนเอง
เรื่องนี้เป็นข่าวร้ายสำหรับซูเฉินและเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากเทพอสูรบรรพกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะถูกทิ้งให้ทำสงครามกับเทพเจ้าตามลำพัง
การต้องสู้กับเทพเจ้าโดยไม่มีกำลังเสริมนั้นยากยิ่งนัก
แต่กระนั้นเสียงของซูเฉินก็ยังหนักแน่นอย่างเดิม “ข้าเข้าใจ จากวันนี้ไป อาณาเขตคุนจะเป็นของเทพอสูรบรรพกาล นิกายไร้ขอบเขตจะไม่มาที่นี่อีกหากไม่มีความจำเป็น และมนุษย์กับอสูรกายก็จะใช้ชีวิตแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง”
“ดีมาก” บรรพชนโลหิตตอบกลับมาด้วยความยินดี “ แม้ว่าเราจะไม่สามารถข้ามผ่านดินแดนต้นกำเนิดไปได้ ข้าก็ยังสามารถควบคุมเทพอสูรที่ฝั่งนั้นได้ และป้องกันไม่ให้พวกนั้นโจมตีมนุษย์ ถ้าเจ้าต้องการ ข้าอาจขอให้พวกเทพอสูรช่วยเจ้าด้วยก็ได้”
“แบบนั้นคงดีไม่น้อย”
จากนั้นซูเฉินก็เริ่มบันทึกข้อตกลงทุกข้อที่ได้ทำไว้กับบรรพชนโลหิต
ตัวอักษรส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้าและรวมกันเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ในที่สุด
เซวี่ยฝูส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับหยดเลือดลงบนสัญญานั้น ร่างของเขาพลันกลายเป็นผุยผงและสลายหายไปพร้อมกับสายลม ซูเฉินทำเช่นเดียวกัน และสัญญาก็เปล่งแสงสว่างขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะค่อย ๆ จางหายไปจากฟ้า
สัญญาระหว่างอสูรกายและมนุษย์สมบูรณ์แล้ว
จากวันนี้ไป อาณาเขตคุนจะเป็นของอสูรกายเท่านั้น ทำให้เหล่าอสูรและมนุษย์อาศัยอยู่แยกกันได้อย่างสงบสุข หากมีความจำเป็นที่ฝ่ายใดต้องการความช่วยเหลือ ทั้งมนุษย์และอสูรกายก็พร้อมจะแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว ร่างของซูเฉินก็หายวับเข้าไปในมวลอากาศ เขาปรากฏกายอีกครั้งที่ในเมืองล่องนภา
ตอนนี้ชาวเมืองล่องนภากำลังตระหนก
เมื่อเห็นว่าซูเฉินกลับมา ทุกคนก็เดินเข้าไปทักทายเขาทันที
“ปราการพังลงแล้ว และเทพเจ้าก็เป็นอิสระ พลังของพวกนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่”
“เราต้องสังหารพวกเทพเสียก่อนที่พลังของพวกเขาจะฟื้นคืนกลับมาเต็มที่”
“เราก็ทำแบบนี้กันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“ใช้แล้ว เราทำแบบนี้มาตลอด แต่กลายเป็นว่ามันทำให้เราติดกับดักของพวกเขาเข้าอย่างจังน่ะสิ”
“ใครจะไปคาดคิดว่าเทพเจ้าจะคิดทำอะไรแบบนี้ด้วย”
“จะเปลี่ยนอะไรตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว เราต้องคิดหาวิธีกำจัดพวกเทพก่อนที่พวกเขาจะมาสังหารเราได้เสียก่อน… ต้องคิดให้ออกอย่างเร็วที่สุด”
“มันจะต้องยากแน่นอน ถ้าพวกนั้นใช้ผู้ศรัทธาของตัวเองเป็นนักรบ แม้กระทั่งในตอนที่ปราการยังคงอยู่ก็เถอะ ยิ่งตอนนี้พวกเทพเป็นอิสระแล้ว นั่นแปลว่าทั้งดินแดนต้นกำเนิดจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน”
“เปลวเพลิงจะลุกโชนอยู่ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีใครไปดับมัน” ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น
ทุกคนเงียบ
ชายหนุ่มพูดเสริมต่อไป “การกลับมาของเทพเจ้าเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่ปัญหานี้อาจไม่ใหญ่เท่าที่เราคาดว่ามันจะเป็น เทพเจ้าเคยสามารถซึมซับความศรัทธาได้มาก่อน และตอนนี้ก็ยังทำแบบนั้นได้อยู่ แต่พวกท่านคิดหรือว่าพวกเทพจะมั่นใจที่จะทำแบบนั้นต่อไปในคราวนี้”
ทุกคนชะงักไปเริ่มคิดทบทวนคำพูดของซูเฉิน
จริงอยู่ที่เมื่อเทพเจ้ากลับมายังดินแดนต้นกำเนิดแล้ว และข้อจำกัดหลายอย่างก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป แปลว่าเหล่าเทพเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ จะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ และความศรัทธาที่ได้รับก็เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
แต่กระนั้นเทพเจ้าก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูพลังและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
หลี่หวู่อี้กล่าวขึ้นด้วยความลังเล “เจ้านิกาย ท่านหมายความว่า…”
จากนั้นซูเฉินก็พูดต่อไป “เราต้องทำอย่างที่เราเคยทำมาก่อนต่อไป เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด รวมทั้งเผ่าปักษา เผ่าคนเถื่อน และชาวสมุทรนั้นห้ามบูชาเทพเจ้าอย่างเด็ดขาด ต่อให้ดินแดนต้นกำเนิดกว้างขวางเพียงไร และต่อให้มีผู้ศรัทธามากมายเหลือเกิน เทพเจ้าก็จำเป็นต้องมีผู้คนที่ยินดีจะเชื่อในพวกเขาก่อนอยู่ดี ตราบใดที่เราควบคุมเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่ให้บูชาพวกเขาได้อย่างเข้มงวด เทพเจ้าก็จะพบว่าทรัพยากรความศรัทธาที่เคยคิดว่าจะมีมากมายในโลกนี้ได้แห้งเหือดไปเสียแล้ว”
สาเหตุสำคัญที่สุดที่เทพเจ้าปรารถนาที่จะกลับมายังดินแดนต้นกำเนิดก็เพราะที่นี่มีพื้นที่กว้างขวางมากกว่าสำหรับสิ่งมีชีวิต ทำให้พวกเขาเก็บเกี่ยวความศรัทธาจากชีวิตเหล่านั้นได้มากกว่า
แต่หากนิกายไร้ขอบเขตเข้ามาแทรกแซงและสั่งห้ามไม่ให้มีการบูชาเทพเจ้า นั่นแปลว่าการกลับมาของพวกเขาก็ไร้ความหมาย
หากไม่มีกระแสความศรัทธาส่งมา เทพเจ้าก็ไม่มีค่าใด ๆ
ดังนั้นทางออกของซูเฉินก็คือการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้เทพเจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งไปมากกว่านี้ได้อีก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่หวู่อี้ก็ขมวดคิ้วถาม “เผ่าคนเถื่อนกับชาวสมุทรไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของเรา คงไม่ง่ายที่จะใช้ข้อบังคับแบบนั้นกับพวกเขาได้”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็จะกำจัดพวกเขาเสีย” ซูเฉินเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
เจียงจูเซิงใจเต้นแรง “กำจัดชาวสมุทรด้วยหรือ”
ซูเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ถ้าพวกเขายินดีจะให้ความร่วมมือก็จะดีมาก แต่หากไม่เป็นอย่างนั้น…ก็ใช่ เราต้องสังหารชาวสมุทรด้วย!”
พวกเขาเพิ่งรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวสมุทรไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ซูเฉินไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากตัดสัมพันธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
โลกแห่งความจริงก็เป็นเช่นนี้
ซูเฉินยอมให้อารมณ์ของเขาเข้ามาทำลายอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้เป็นอันขาด
ชาวสมุทรเองก็ไม่ได้ต่างจากเขา
พวกนั้นละทิ้งพันธมิตรมนุษย์ไปทันทีที่หยงเยี่ยหลิวกวงเสนอสินบนที่น่าดึงดูดกว่าเช่นกันไม่ใช่หรอกหรือ
ความสัมพันธ์ส่วนตัวนั้นไร้ความหมายเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของทั้งอาณาจักร
ในวันนั้น ซูเฉินจึงได้ไปพบชาวสมุทรด้วยตัวเอง
โชคดีที่เขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้ชาวสมุทรเห็นด้วยได้ จึงได้รับการช่วยเหลือจากชาวสมุทรในการต่อต้านเทพเจ้า
ทว่าเผ่าคนเถื่อนที่ไร้สมองกลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น แม้ว่าการไม่บูชาเทพเจ้าจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับพวกเขา แต่ความหมายของการทำเช่นนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ หากเผ่าคนเถื่อนไม่บูชาเทพเจ้าจริง ๆ ก็แปลว่าชาวมนุษย์จะสามารถเดินทางเข้าออกอาณาเขตของพวกเขาได้ตามใจ และเผ่าคนเถื่อนก็จะต้องยอมทำตามแต่โดยดี และพวกเขาก็จะต้องให้สิทธิพิเศษกับมนุษย์อีกด้วย
ซึ่งนั่นคงไม่ต่างอะไรไปจากการมอบอำนาจของตัวเองให้กับเผ่าพันธุ์อื่น
ชาวสมุทรเห็นด้วยกับซูเฉินก็เพราะพวกเขารู้ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ดี แต่เผ่าคนเถื่อนนั้นไม่รู้อะไรเลย
เผ่าคนเถื่อนที่มีสมองไว้เพียงเพื่อกั้นหูไม่เคยใช้มันเพื่อคิดอย่างมีเหตุผลอยู่แล้ว แม้จะรู้ดีว่าฝ่ายมนุษย์คิดถูกที่การกลับมาของเทพเจ้าจะส่งผลต่ออำนาจของพวกเขา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ส่วนเผ่าคนเถื่อนก็จะต้องสูญเสียมหาศาลหากไม่ทำตาม… แต่ก็ยังปฏิเสธข้อเสนอของซูเฉินอยู่ดี
ซูเฉินไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดมาโน้มน้าวคนเถื่อนที่ดื้อด้านได้อีกแล้ว
สามวันหลังจากกลับมายังอาณาจักรมนุษย์ ซูเฉินจึงประกาศสงครามกับเผ่าคนเถื่อน
สงครามเกิดขึ้นตามคำสั่งของชายหนุ่ม เป็นสงครามที่กลืนกินพื้นที่ทั่วทั้งดินแดนต้นกำเนิด
เมื่อสงครามเริ่มขึ้น เผ่าคนเถื่อนก็ตระหนักได้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหนอยู่
พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะมนุษย์ได้แน่
พวกนั้นอาจรู้ก็ได้ แต่ไม่มีทางแน่ที่เผ่าคนเถื่อนจะรู้ว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขากับเผ่ามนุษย์มีมากเพียงไร
เผ่ามนุษย์ในตอนนี้สามารถทำลายทั้งเผ่าคนเถื่อนได้อย่างง่ายดาย สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เผ่าคนเถื่อนมีชีวิตรอดมาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะมนุษย์มัววุ่นวายกับเรื่องอื่น แต่เมื่อจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเผ่าคนเถื่อนเข้าจริง ๆ ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์น่าเกรงขามเพียงไร
ในปราการลุ่มน้ำทอง
เผ่าคนเถื่อนหลายแสนคนจัดทัพเป็นค่ายกลขึ้นและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ที่อีกฝั่งของสมรภูมิ ผู้ฝึกตนมากมายเหาะไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าเข้าหาเผ่าคนเถื่อน
ใช่แล้ว ทุกคนกำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้า
ผู้ฝึกตนทั้งหลายไม่ได้เคลื่อนทัพด้วยเท้าอย่างวิธีดั้งเดิมอีกแล้ว ทัพของเผ่าคนเถื่อนห้าแสนคนกำลังเผชิญหน้ากับทัพผู้ฝึกตนจำนวนเท่ากัน
ทหารหนึ่งคนต่อผู้ฝึกตนหนึ่งคน…
ว่ากันตามความจริงแล้ว วิธีการของซูเฉินเรียบง่ายและสุกเอาเผากินทีเดียว
เขาเพียงส่งผู้ฝึกตนห้าแสนคนไปบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม
และคนพวกนี้ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับล่างของเผ่ามนุษย์เท่านั้น
ตอนนี้การเหาะเหินเดินอากาศไม่ใช่สิ่งที่จะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับกลางเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ผู้ฝึกตนขั้นก่อร่างก็สามารถทำได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้วการเหาะจึงไม่ได้เป็นสิ่งพิเศษที่จะเกิดขึ้นเฉพาะในผู้ฝึกตนกลุ่มเล็ก ๆ ที่บรรลุเหนือด่านสู่พิสดารเท่านั้น ผู้ฝึกตนทุกคนที่บรรลุขั้นก่อร่างล้วนบินได้ทั้งสิ้น
ใช่แล้ว…ขั้นก่อร่างเท่านั้น
วิชาสู่อมตะกลายมาเป็นเส้นทางการฝึกหลักของมนุษย์ ระบบเดิมของการฝึกพลังงานต้นกำเนิดถูกนำมาใช้เพื่อเสริมกัน มันยังคงมีอยู่แค่ถูกเปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์เสริมเท่านั้นเพราะประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าวิธีการใหม่
เรื่องการฝึกพลังปราณ พลังขั้นก่อร่าง เม็ดยาสีทอง ปฐมวิญญาณ ร่างเซียน ลักษณ์ และโอสถต่าง ๆ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ผู้ฝึกตนแล้วทั้งสิ้น
นอกจากนั้นการเปลี่ยนทิศทางการโจมตีก็ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าการยับยั้งมัน
การที่ผู้คนเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาตินอกเหนือจากเทพเจ้าก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกัน
อย่างเรื่องความเป็นอมตะ
การเป็นอมตะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความศรัทธา แต่เพื่อไม่ให้เทพเจ้าได้รับความศรัทธา ซูเฉินจึงต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสิ่งที่ผู้คนจะหันมาบูชาแทน เมื่อเป็นเช่นนั้นความศรัทธาของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็จะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
สงครามกับเทพเจ้าเป็นไปอย่างดุเดือดทีเดียว
การห้ามความศรัทธา กำจัดผู้ที่ไม่ยอมทำตาม และสร้างเป้าหมายให้สำหรับบูชาล้วนเป็นกลวิธีที่ซูเฉินสร้างขึ้นเพื่อให้เทพเจ้าทั้งหลายขาดการบำรุงที่จำเป็นต่อพวกเขา ด้วยวิธีนี้เทพเจ้าจะไม่สามารถลงหลักปักฐานอีกครั้งในดินแดนต้นกำเนิดได้โดยง่ายเมื่อพวกเขากลับมานั่นเอง
เผ่าคนเถื่อนกำลังต่อกรอยู่กับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนห้าแสนคน
ในอดีตนั้นเผ่าคนเถื่อนไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับทัพที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ต่อให้เทพแห่งสงคราม อ้ายฝูหลี่เก๋อซือคืนชีพกลับมา และซูเฉินทรยศต่อเผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อนก็ยังไม่สามารถปิดช่องว่างความแตกต่างระหว่างพวกเขากับทัพผู้ฝึกตนเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ
คนเถื่อนถูกกำราบในทุกการต่อสู้และเผชิญหน้ากับทัพมนุษย์
ขณะที่ทั้งเผ่าคนเถื่อนล่มสลาย ชาวสมุทรนั้นยังพยายามที่จะต่อรองเงื่อนไขที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับซูเฉินอยู่
แต่เมื่อได้ยินว่าเผ่าคนเถื่อนพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเพียงไร ผู้นำชาวสมุทรก็ยอมรับข้อตกลงที่ซูเฉินเสนอและให้มันมีผลในทันที
ทัพเผ่ามนุษย์กวาดล้างไปทั่วทั้งดินแดนต้นกำเนิดราวกับน้ำจากเขื่อนที่แตกออก ขณะที่อิทธิพลของพวกเขาแผ่ขยายออกไปนั้น มนุษย์ก็บรรลุเจตจำนงได้สำเร็จด้วย คราวนี้พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าศาสนาที่บูชาเทพเจ้าได้แล้ว