ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 105 ศึกสุดท้าย (2)
บทที่ 105 ศึกสุดท้าย (2)
เทพทั้งเจ็ดยืนตระหง่านอยู่กลางท้องนภา
ที่ฝั่งตรงกันข้ามมีผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน
คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเจ็ดเทพแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อกลับมาปรากฏกายในดินแดนต้นกำเนิด
แม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับดาบหลายล้านเล่ม แต่เหล่าเทพก็ไม่ได้สะท้านเลยแม้แต่น้อย
เทพธิดาแห่งดวงจันทร์กระแอมไอ “จะมีฝูงมดตัวกระจ้อยร่อยพวกนี้ไปมากมายเพื่ออะไรกัน”
แสงที่ดูอบอุ่นแผ่ออกมาจากร่างของนาง ทุกลำแสงนั้นดูสงบและนุ่มนวล ทว่าในความนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไปด้วยเจตสังหารที่พร้อมจะเอาชีวิต
แสงดาบจากฝ่ายผู้ฝึกตนแทบไม่สามารถเคลื่อนไปใกล้แสงจันทร์ที่ดูอ่อนโยนนั้นได้
คลื่นแสงอันทรงพลังพวยพุ่งขึ้นจากเส้นขอบฟ้า มันคือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมที่นี่ซึ่งตอบสนองต่อคลื่นพลังอันแข็งแกร่ง พลังงานต้นกำเนิดและกฎแห่งพลังได้ถูกนำมาใช้ด้วยกันอีกครั้ง
แต่ในตอนนี้ ทั้งมนุษย์และเทพเจ้าต่างก็พัฒนาพลังไปเหนือกว่านั้น และไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากมันอีกแล้ว
ไม่ช้าเจ้าแห่งแดนฝันก็อ้าปากและปล่อยปีศาจแดนฝันออกมามากมาย
ปีศาจแดนฝันพวกนี้ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ แต่พวกมันเป็นร่างพลังจิตบริสุทธิ์และสามารถดำรงอยู่ได้จากการกัดกินพลังจิตของคู่ต่อสู้เป็นหลัก พวกมันสามารถดูดซับเอาความทรงจำของผู้คน ลบความเป็นมนุษย์ และทำให้ระบบความคิดของผู้นั้นพังลงได้
การปล่อยปีศาจแดนฝันจำนวนมากในคราวเดียวแบบนี้ส่งผลกระทบต่อระดับพลังจิตของกองทัพมนุษย์โดยตรง
ผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบจากมันและเริ่มโจมตีพรรคพวกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ค่ายกลของเผ่ามนุษย์กลายเป็นความโกลาหลไปในพริบตา
“พลังอมตะปกป้องข้า ข้าจะไม่ขยับไปไหนทั้งนั้น!” เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน
พลังอมตะพวยพุ่งออกไปทำลายผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันที อันที่จริงแล้วพลังจากแสงดาบของนิกายไร้ขอบเขตนั้นดูเหมือนว่าจะเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกขณะที่พยายามต้านพลังของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
“พลังต้องห้าม!” เหล่าเทพร้องขึ้นพร้อมกัน
พลังนี้ถูกเรียกว่าพลังต้องห้ามก็เพราะระดับความอันตรายที่มันสามารถส่งผลต่อเทพเจ้าได้
ด้วยพลังอมตะที่ปกป้องร่างกายอยู่นั้น ทหารชาวมนุษย์ในตอนนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปีศาจแดนฝันอีกต่อไป หัวใจของพวกเขากลับมาสงบและมีสมาธิได้อีกครั้ง
“พลังต้องห้ามจะต้องถูกทำลายไปให้หมด!” เทพดาบเพลิงเอ่ยขึ้น
เทพดาบเพลิงสวมชุดเกราะที่มีเกล็ดสีแดงฉาน โดยทุกเกล็ดเหล่านั้นดูเหมือนจะเปล่งแสงด้วยพลังอันแรงกล้าของเพลิงกัลป์ น่าประหลาดใจยิ่งนักที่เทพดาบเพลิงสร้างร่างลวงขึ้นที่ด้านหลังของเขา และมันดูคล้ายกับลักษณ์ที่ซูเฉินสร้างขึ้นเหลือเกิน
ภาพที่เบื้องหลังเทพดาบเพลิงนั้นเป็นต้นไม้ที่ตั้งกลับหัว รากขนาดมหึมาของมันยืดยาวออกไปไกลในท้องฟ้าในขณะที่ด้านล่างของมันเป็นเส้นทางที่ลุกไปด้วยไฟและมีดาบมากมาย
บนเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยโครงกระดูก
เส้นทางแห่งเพลิงทอดยาวไปสู่สมรภูมิรบ รวมถึงความตายและความพินาศที่จะเกิดขึ้นจากเปลวเพลิงและดาบทั้งหลาย
แม้จะมีพลังอมตะของซูเฉินปกป้องอยู่ ทหารชาวมนุษย์ที่ได้รับผลกระทบจากไฟและดาบนี้ก็เริ่มล้มลงทีละคน
เมื่อทหารคนใดสิ้นลม โครงกระดูกก็จะปรากฏเพิ่มขึ้นบนทางเดินยาวนั่น
“หุ่นเชิดยักษ์ บุกเดี๋ยวนี้!”
ซูเฉินตัดสินใจปล่อยหุ่นเชิดยักษ์ออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว หุ่นเชิดจำนวนหลายพันตัวมุ่งหน้าออกไปในรูปแบบของค่ายกล พวกมันพยายามจะฝ่าเข้าไปในเส้นทางเพลิงนั้นอย่างมุ่งมั่น
เส้นทางดาบเพลิงดูดเอาพลังชีวิตของทุกสิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงและจบชีวิตเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แม้แต่พลังอมตะก็ไม่สามารถหยุดมันไว้ได้ ทว่าหุ่นเชิดยักษ์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นพวกมันจึงไม่จำเป็นต้องกลัวดาบเพลิง
นอกจากหุ่นเชิดยักษ์แล้ว ก็ยังมีหุ่นเชิดโลหะยักษ์ที่ห่อหุ้มไปด้วยแสงขมุกขมัว พวกมันคือหุ่นเชิดที่ทรงพลังอีกชนิดที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ข้อจำกัดหลักของหุ่นเชิดยักษ์ก็คือราคาในการสร้างที่แพงลิบ ซึ่งแปลว่าซูเฉินก็จะสร้างพวกมันได้เพียงไม่กี่พันตัวเท่านั้นก่อนที่วัสดุจะหมดลง การลดพลังก็สามารถลดค่าใช้จ่ายในการสร้างได้ และหุ่นเชิดรุ่นใหม่เหล่านี้ก็คือหุ่นเชิดโลหะยักษ์ ที่ซูเฉินสร้างขึ้นด้วยความโกรธแค้นของเขานั่นเอง
เมื่อปราการล่มสลายลง ซูเฉินก็รู้ว่าทัพหุ่นเชิดของเขาจะกลายเป็นหนึ่งในไพ่ใบสำคัญที่สามารถนำมาใช้ต่อกรกับเทพเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสร้างหุ่นเชิดมากมายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และใช้กฎแห่งพลังผนึกเซียนกับพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หุ่นเชิดทุกตัวถูกสร้างโดยซูเฉิน พวกมันไม่เกรงกลัวต่อความตายและต่อสู้ได้สามัคคี
ในแง่หนึ่งแล้ว หุ่นเชิดเหล่านี้ร้ายกาจยิ่งกว่าทหารมนุษย์เสียด้วยซ้ำ
หุ่นเชิดจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนทัพไปข้างหน้าและฝ่าเข้าไปในทางดาบเพลิง
พระแม่ถึงกับต้องกะพริบตาปริบ ๆ ซ้ำไปซ้ำมาเมื่อเห็นพวกมัน
นางไม่ได้โจมตีแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งหลายเป็นลูกของข้า เจ้าจะทรยศต่อข้าจริง ๆ หรือ”
เผ่าปักษาเป็นสิ่งที่พระแม่สร้างขึ้นจริง ๆ พวกเขาบูชานางมานานหลายหมื่นปี และพระแม่ก็ถือเป็นเทพที่สถิตอยู่ในใจชาวปักษา
การที่พวกเขาสรรเสริญพระแม่มาเป็นเวลานานเช่นนี้ทำให้สถานการณ์นี้น่าลำบากใจยิ่งนัก อันที่จริงแล้วปักษาหลายคนยังคงบูชานางอยู่ในใจจนกระทั่งตอนนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อพระแม่กล่าวเช่นนั้น เผ่าปักษาทุกคนก็สะเทือนใจทันที
พระแม่ของพวกเขากำลังเรียกชาวปักษากลับไปด้วยตัวนางเอง
ชาวปักษาจำนวนหนึ่งไม่สามารถหักห้ามใจไว้ได้และคุกเข่าลงสวดบูชาต่อนางอีกครั้ง
ปักษาอีกจำนวนหนึ่งเริ่มหันไปมองทหารเผ่ามนุษย์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ความโกรธแค้นจากการพ่ายแพ้ที่พวกเขาเก็บไว้ในใจนั้นกำลังทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
ทว่าในคราวนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“พระแม่ เราชาวปักษาไม่เคยลืมว่าท่านเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา แต่ตอนนี้ชาวปักษาเติบโตและปรารถนาที่จะเป็นอิสระ แต่พวกเราไม่ได้ต้องการจะต่อสู้กับท่าน ชาวปักษายินดีที่จะยอมรับวิธีการใดก็ตามที่ท่านคิดจะใช้จัดการกับเรา แต่ข้าก็หวังว่าท่านจะให้อภัยลูกของตัวเองได้ เพราะพวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสู้เพื่ออิสระ”
สิ้นเสียงของหยงเยี่ยหลิวกวง เมืองล่องนภาก็เคลื่อนตัวและหันหน้าเข้าหาเทพอนารยะ
หลงเก๋อพลันหัวเราะร่วน “มาเลย! มาสนุกกับการนองเลือดครั้งนี้กันเถอะ”
พูดจบ ขวานเล่มโตในมือของเขาก็พุ่งเข้าใส่เมืองล่องนภา
ขวานปะทะเข้าใส่เกราะกำบังจนเกิดเป็นประกายไฟกระจายไปทั่วฟ้า
ปราการอาร์คาน่า 99 แห่ง และปรมาจารย์อาร์คาน่าหลายหมื่นคนทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังนั้น ทว่ามันกลับพังทลายลงจากการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
นี่สินะคืออิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้า!
เกราะป้องกันของเมืองล่องนภาที่ต้านทานการโจมตีจากเทพอสูรมาแล้วหลายร้อยครั้งได้แตกออกอย่างง่ายราวกับกระจกที่บอบบาง
อิทธิฤทธิ์ของเทพอนารยะนั้นน่าเกรงขามนัก
“ฮ่า ๆๆๆ น่าสนุกจริง ๆ!”
หลงเก๋อไม่เคยมีท่าทางสง่างามดูศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพเจ้าทั่วไป แม้ว่าเขาจะเป็นเทพเช่นกัน แต่รูปลักษณ์ของหลงเก๋อกลับดูไม่ต่างไปจากเผ่าคนเถื่อนเลยสักนิด ขวานเล่มยักษ์นั้นถูกจามลงอีกครั้ง คราวนี้มันปะทะเข้าใส่การตอบโต้ของเผ่าปักษาอย่างเต็มแรง เมืองล่องนภาไม่สามารถต้านทานหลงเก๋อได้อีกต่อไป แต่มันก็ยังมีจุดลอยที่คอยช่วยเหลืออยู่รอบ ๆ อย่างเดิม
ในตอนนี้เผ่าปักษามีจุดลอยอยู่ทั้งหมดสามจุดด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ปราสาทแสงต้นกำเนิด เมืองพลังต้นกำเนิดปีศาจ และหอคอยแห่งความโกลาหล ซูเฉินยังได้เรียกกีฎมารดาและม้าน้ำพลังสูญมาด้วย ซึ่งทั้งหมดถูกเรียกมาก็เพื่อช่วยเมืองล่องนภาในการต้านทานกับหลงเก๋อนั่นเอง
ซูเฉินให้วิชาลับกับเผ่าปักษาเพื่อฝึกสำหรับการนี้ด้วย เขามีน้ำใจจนหยงเยี่ยหลิวกวงอดรู้สึกอับอายไม่ได้ และต้องกล่าวคำว่า ‘อิสระ’ ในตอนที่พูดตอบพระแม่
การใช้อิสระเพื่อต่อกรกับความศรัทธา และพลังอมตะเพื่อรับมือกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นแผนการหลักของซูเฉินอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้
การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่โดยแท้
แม้ว่าฝ่ายคนรุ่นเก่าจะเสื่อมอำนาจมาแสนนานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งยิ่งนัก และแม้ว่าคนรุ่นใหม่จะพัฒนาพลังได้อย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุด อีกทั้งฝ่ายเทพเจ้าก็ยังอันตรายเหลือเกินสำหรับพวกเขา
ฝ่ายคนรุ่นใหม่ทำได้เพียงใช้การโจมตีที่รุนแรง การป้องกัน และท้าทายเทพเจ้าผู้สูงส่งเหล่านั้น มนุษย์จะต้องสูญเสียชีวิตมากมายอย่างแน่นอนเพื่อจะปิดช่องว่างระหว่างความแตกต่างระหว่างเทพเจ้ากับพวกเขาเอง
คลื่นความมืดพลันเคลื่อนเข้ามา
เทพธิดารัตติกาลเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
นางเคยเป็นเทพเจ้าระดับสูงมาก่อน ซึ่งเมื่อถูกขังอยู่ในอาณาเขตคุน สถานะของนางก็เสื่อมลงไม่ต่างไปจากเทพองค์อื่น ๆ
เมื่อกลับมายังดินแดนต้นกำเนิด เทพธิดารัตติกาลนั้นถือเป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้
ณ ตอนนี้ มวลอากาศดำมืดได้แผ่ขยายไปทั่วทุกแห่งที่นางกวาดสายตามอง การโจมตีของเทพธิดารัตติกาลนั้นไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ยากยิ่งนักที่จะต้านทานมัน
ใครก็ตามที่สายตานั้นกวาดผ่านไปจะต้องถูกความมืดมิดห่อหุ้มร่างและพลันกลายเป็นเพียงเงาในชั่วพริบตา
นี่คือพลังของแดนเงานั่นเอง
ซูเฉินคุ้นเคยกับพลังแบบนี้ดี มันเป็นหนึ่งในพลังที่เขาได้เป็นชนิดแรก ๆ เสียด้วยซ้ำ
จากการโจมตีของนางจึงทำให้ชายหนุ่มเห็นได้ว่าเทพธิดารัตติกาลมีความเกี่ยวพันหลายอย่างกับแดนเงา ช่วงที่นางติดอยู่ในอาณาเขตคุน ปราการเทพเจ้าได้แยกเหล่าเทพออกจากดินแดนอื่น ๆ ซึ่งทำให้นางสูญเสียการเชื่อมต่อจากแดนเงาไปด้วย ทว่าในตอนนี้เทพธิดารัตติกาลได้กลับมาแล้ว
ขณะที่คลื่นความมืดมิดยังคงแผ่อาณาเขตต่อไป ผู้คนที่เทพธิดารัตติกาลเปลี่ยนร่างให้เป็นเงาก็หันมาโจมตีพรรคพวกของตัวเองแทน
การเปลี่ยนร่างปกติให้เป็นเงานั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่พลังอมตะก็ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
เมื่อร่างเหล่านั้นถูกเปลี่ยนไปแล้ว…สภาพใหม่นี้ก็จะคงอยู่อย่างถาวร
การโจมตีของเทพธิดารัตติกาลไม่ได้ว่องไว แต่มันชั่วร้ายยิ่งนัก แม้แต่เกราะป้องกันของเมืองล่องนภาก็ไม่สามารถหยุดพลังของนางเอาไว้ได้ ดังนั้นเทพธิดารัตติกาลจึงถือเป็นเทพที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุดเลยก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงตัดสินใจต่อกรกับนางโดยไม่รอช้าอีกต่อไป
ร่างของชายหนุ่มหายวับไป เขาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งที่ตรงหน้าเทพธิดารัตติกาล ในขณะเดียวกันนั้น อสูรกายหลายหมื่นชีวิตก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขาและเปล่งแสงสีขาวขึ้น
จักรวาลอสูรของซูเฉินตรงเข้าล้อมเทพธิดารัตติกาลเอาไว้ในทันที
ฝ่ายเทพธิดาขู่ฟ่อและปล่อยพลังมืดเข้าใส่ซูเฉิน
ชายหนุ่มโต้ตอบด้วยการส่งคลื่นพลังอมตะของเขาออกไป
ถึงพลังอมตะจะไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่ถูกเปลี่ยนร่างเป็นเงาได้ แต่มันก็ต้านทานคลื่นความมืดได้
แม้การโจมตีของเทพธิดารัตติกาลจะถูกซูเฉินหยุดเอาไว้ แต่การโจมตีของซูเฉินก็ไปถึงตัวนางก่อนแล้ว
ดัชนีสังหารเทพฝ่าอากาศออกไปข้างหน้า ขณะที่มังกรสุริยะโลดแล่นอยู่เบื้องหลังและปล่อยเพลิงสีขาวออกมาเพื่อกำจัดพลังอันมืดมิดให้สูญสิ้นไป
“ซูเฉิน! ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากล้าเลือกข้าเป็นคู่ต่อสู้ ดูเหมือนเจ้าจะสับสนไม่น้อยเลยนะ” เทพธิดารัตติกาลหัวเราะชอบใจ
เส้นผมของนางเริ่มสยายแผ่กระจายไปในทิศทางที่ความมืดมุ่งหน้าไป จนปรากฏเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตลึกลับในเงามืด
แต่ซูเฉินที่เห็นดังนั้นกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้าเลือกท่านก็เพราะท่านเป็นคนที่ข้าจะสังหารได้ง่ายที่สุดน่ะสิ”
สิ้นคำนั้นอสูรกายที่ด้านหลังซูเฉินก็พลังส่งเสียงคำรามลั่น
เสียงอื้ออึงที่น่าขนลุกนั้นอันตรายไม่น้อยเลย ความมืดเริ่มถอยกลับไปหาต้นกำเนิดของมันอีกครั้งเพราะเสียงนี้
แต่กระนั้นเทพธิดารัตติกาลกลับเดือดดาลกับสิ่งที่ซูเฉินกล่าวมากกว่าที่เขาหยุดการโจมตีของนางไว้ได้เสียอีก
“เจ้าว่าอะไรนะ” ดวงตาของนางเริ่มเป็นสีดำขมุกขมัวดูน่ากลัว
“ข้าจะอธิบายให้ท่านเข้าใจเอง ท่านอาจมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งก็จริง แต่พลังชีวิตของท่านอ่อนแอที่สุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งเจ็ดที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นเทพเจ้าในอุดมคติสำหรับการสังหารเลยก็ว่าได้ เหมือนกับที่เทพอสูรตนแรกที่ข้าสังหารได้ด้วยตัวเอง…มันก็มีพลังชีวิตที่อ่อนแอเหมือนกัน” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
คำตอบของซูเฉินตรงไปตรงมา เป้าหมายในอุดมคติของเขามีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่ป้องกันได้อ่อนแอนัก เมื่อเป็นเช่นนี้…เป้าหมายในลักษณะนี้ก็จะต้องตายเป็นอันดับแรก
เขาทำแบบนี้มาแล้วเมื่อครั้งที่ต้องสังหารเทพอสูร และครั้งนี้เขาก็จะใช้วิธีการเดียวกันอีกครั้งกับเทพธิดารัตติกาล
ชายหนุ่มคำนวณทุกอย่างมาแล้วเป็นอย่างดี ไม่มีการใช้ความรู้สึกใด ๆ เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจนี้ทั้งนั้น
แต่เทพธิดารัตติกาลกลับไม่ได้มองอย่างนั้น
นางได้ยินเพียงว่าไอ้สวะคนนี้ตราหน้าว่านางเป็นเทพที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้น!
เทพธิดารัตติกาลกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นขณะที่คลื่นความมืดกำลังเข้ากลืนกินซูเฉิน
“จงยอมกลายเป็นทาสที่ภักดีที่สุดของข้าซะ และข้าจะทรมานเจ้าเช้าเย็นเพื่อเป็นรางวัล!”