ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 106 ศึกสุดท้าย (3)
บทที่ 106 ศึกสุดท้าย (3)
คำสาปชั่วร้ายของเทพธิดารัตติกาลยังดังก้องอยู่ในหัวของซูเฉิน แต่ละคำพูดมีพลังอันชั่วร้ายแปลกประหลาดแผ่ออกมาด้วย
คำสาปนี้มาจากตัวเทพธิดาเอง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานหรือทำลายมัน
อย่างน้อยก็ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
เพราะมันไม่เป็นผลกับซูเฉิน
พลังอมตะของเขาปัดเป่าคำสาปของเทพธิดารัตติกาล กระทั่งส่งมันกลับไปที่นางในทันที ซูเฉินปลดปล่อยคลื่นพลังอมตะที่กลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ออกไป เปลี่ยนมันเป็นพลังอมตะอย่างรวดเร็วขณะที่มันกลืนกินการโจมตีของอีกฝ่ายเพื่อรักษาตนเองไว้
เทพธิดารัตติกาลส่งเสียงกรีดร้องน่าขนลุกขณะที่ความมืดมิดพวยพุ่งออกมาเพื่อโจมตีซูเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า
ตามหลังเสียงกรีดร้องนั้นมาคืออาณาจักรรัตติกาลที่ปรากฏขึ้นข้างหลังนาง
เห็นได้ชัดว่าเทพธิดารัตติกาลไม่ได้หลอกตัวเองว่าเพียงแค่พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนจะสามารถต้านทานพลังอมตะของซูเฉินได้
เกิดเสียงดังกึกก้องขณะที่ทหารศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูออกมาจากอาณาจักรของนางโดยพึ่งพาความสามารถในการฟื้นฟูเพื่อขัดขวางพลังอมตะของซูเฉินไว้
แต่เทพธิดารัตติกาลก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าองค์ก่อน ๆ ได้สิ้นใจไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
กว่านางจะนึกขึ้นได้ว่าทหารจากอาณาจักรของตนไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก นางก็สูญเสียผู้บูชาไปกว่าหนึ่งในสามแล้ว
นางรู้สึกพรั่นพึงเกินจะพรรณนา
เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อต้านระบบศรัทธาด้วยความเป็นปึกแผ่น เทพเจ้าจึงได้รับผู้บูชาเพียงน้อยนิดแม้จะกลับไปยังแดนต้นกำเนิดแล้วก็ตาม โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดของอาณาเขตคุนแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็กลับมา แต่เทพเจ้าทั้งหลายก็ยังถูกค้ำจุนโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอยู่ดี หากนักรบศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น พวกเขาก็จะตายด้วยเช่นกัน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เคยเป็นโลกที่แข็งแกร่งที่สุดและอาวุธชิ้นสุดท้ายของเทพเจ้า แต่วิธีการของซูเฉินก็เปลี่ยนพวกมันเป็นข้อบกพร่องที่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อคิดได้ดังนั้น เทพธิดาแห่งรัตติกาลก็รีบออกคำสั่งให้กองทัพของนางถอยกลับทันที
แต่ซูเฉินจะให้โอกาสนางในการแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างไรกัน
จักรวาลอสูรปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เข้าเติมเต็มดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางและหยุดมันไว้กลางทาง
สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นและกัดกินทหารมากมายผู้พยายามต่อสู้กลับ
มังกรสุริยะบนท้องฟ้าเริ่มร่ายรำอีกครั้งราวกับว่าเทพอสูรบรรพกาลตัวจริงได้ปรากฏกายขึ้นบนผืนนภา คลื่นเปลวเพลิงพุ่งออกไปข้างหน้าเป็นระยะ ๆ
เทพธิดารัตติกาลเริ่มตื่นตระหนก คลื่นความมืดมิดพลุ่งพล่านออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อขัดขวางเหล่าสัตว์อสูรและแยกนักรบของนางออกมา
ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้อย่างสุดฝีมือ นี่เป็นการดิ้นรนระหว่างความเป็นและความตาย แต่สถานการณ์ก็กำลังถูกควบคุมโดยฝ่ายศัตรูของเทพธิดารัตติกาลอย่างชัดเจน เขาคว้าจุดอ่อนของนางไว้แน่นและกำลังทุบตีมันซ้ำและซ้ำเล่า ทำให้จำนวนของนักรบศักดิ์สิทธิ์ถดถอยลงและความแข็งแกร่งนางก็อ่อนแอลง
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของซูเฉินกวาดไปรอบ ๆ แล้วเขาก็พบว่าตนเองไม่ได้ยืนอยู่ในสนามรบและต่อสู้กับเทพเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป
เขากลับพบเส้นทางที่คุ้นเคยทอดยาวอยู่ตรงหน้า ถนนในเมืองหลินเป่ย
เกล็ดหิมะกำลังร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้า ฉากหลังคือเด็ก ๆ ที่กำลังหัวเราะและเล่นกันอยู่ข้างถนน รถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปช้า ๆ
ตอนนั้นเองที่ซูเฉินมองเห็นคนขับรถม้าอย่างชัดเจน เขาคือโจวหง
ซูเฉินมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างในผ่านผ้าม่าน เขากำลังอ่านหนังสืออยู่
นั่นคือ… ตัวเขาเองหรือ?
นี่คือวันที่เขาสูญเสียการมองเห็นหรือ?
ซูเฉินกลับหลังหันเพื่อหาขอทานชราคนนั้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใด กลับเป็นรถม้าคันนั้นที่หยุดลงตรงหน้าเขาแทน
แล้วซูเฉินก็มองเห็นคนคนหนึ่งภายในรถม้าก้าวออกมา เดินตรงมาหาเขาราวกับว่ากำลังจะพูดบางสิ่ง
เขากำลังจะคุยกับตัวเองหรือ?
ซูเฉินนึกบางสิ่งขึ้นได้ในทันใดและมองลงไปที่เท้าของตนเอง
แล้วเขาก็พบว่าเขาคือขอทานชรานั่นเอง
“ขอทานชรา…” ซูเฉินพึมพำก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “งั้นเจ้าก็เป็นคนทำสินะ ทำลายมันเสีย!”
“ทำลายเสีย!”
“ทำลายเสีย!”
“ทำลายเสีย!”
คำพูดนี้ทำลายแดนลวงตาออกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อเขาตื่นขึ้น ซูเฉินก็พบว่าตนเองยังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาล แต่เสี้ยวกะพริบตาแห่งความลังเลของเขาก็ทำให้เทพธิดารัตติกาลได้โอกาสเรียกนักรบศักดิ์สิทธิ์บางส่วนกลับมา
เขากลับหลังหันและพบว่าเจ้าแห่งแดนฝันกำลังจ้องมองตรงมาที่เขา
สายตาของเจ้าแห่งแดนฝันนั้นทั้งเยือกเย็นและชั่วร้าย และดูจะเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
นั่นใช่เจ้าหรือไม่ใช่เจ้ากันแน่!?
ซูเฉินสับสนกับปริศนาตรงหน้า
แต่เขาก็รู้ว่าในที่สุดเจ้าแห่งแดนฝันเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว
และเพราะเขา ซูเฉินจึงพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการกำจัดเทพธิดารัตติกาล
“ขอบใจมาก ฮ่วนเมิ่ง!” เทพธิดารัตติกาลกล่าวขอบคุณพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในพริบตาเดียวนางก็ได้สูญเสียนักรบศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วกว่าเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางพังทลายลง นางมองไปยังฮวนเมิ่งด้วยสายตาสับสนงุนงงก่อนจะปกป้องจิตของตนเองไว้
หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่เจ้าแห่งแดนฝันดูจะทำอะไรได้ถูกต้องอยู่เสมอแล้ว เทพธิดารัตติกาลก็คงกล่าวหาว่าเขาเป็นไส้ศึกไปแล้ว
แต่หากเขาเป็นไส้ศึกจริง เช่นนั้นนั่นก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการโจมตี
แต่เขาก็ยังยืนอยู่ข้างเทพเจ้าอย่างซื่อสัตย์และต่อสู้แทนพวกเขา
เหล่าเทพเจ้าไม่อาจสงสัยในตัวเขาต่อไปได้อีก
กระทั่งซูเฉินก็สงสัยว่าแท้จริงแล้วเจ้าแห่งแดนฝันอยู่ฝ่ายใดกันแน่
คำพูดของบรรพชนเผ่ามนุษย์ดังก้องอยู่ในหัวของเขาอีกครั้ง
“ฆ่าเขาซะ!”
เขาไม่ใช่บรรพชนมนุษย์จริง ๆ หรือ?
หากเจ้าแห่งแดนฝันคือบรรพชนมนุษย์ การโจมตีเมื่อครู่นี้ก็จะทำให้เทพเจ้าทั้งหลายพังพินาศทันที
แต่เขาก็ไม่ได้ทำ เขากระทั่งช่วยเทพธิดารัตติกาลหลบหนีไปจากสถานการณ์อันตรายด้วยซ้ำ
นี่ทำให้ซูเฉินมั่นใจในข้อสันนิษฐานนี้น้อยลงมหาศาล
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าแห่งแดนฝันเป็นไส้ศึกจริง เขาก็คงจะหาโอกาสโจมตี ไม่อย่างนั้น… ซูเฉินก็จะสังหารเขาไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ด้วย
หลังจากที่เขาคิดมาจนถึงตรงนี้ ซูเฉินก็ยังเงียบกริบ
เทพธิดารัตติกาลได้โช้โอกาสนี้จากเจ้าแห่งแดนฝันในการกำจัดลักษณ์ของซูเฉินออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนาง
แต่ในการต่อตัวต่อกับซูเฉิน เทพธิดารัตติกาลค้นพบว่านางไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้สักนิด
ขั้นร่างเซียนของซูเฉินไม่ได้อ่อนแอกว่าเทพเจ้าทั่วไปแม้แต่น้อย
ที่น่าหวาดกลัวยิ่งไปกว่านั้นคือซูเฉินยังมีมาตรการจัดการกับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ชะงัดอีกด้วย!
เขามองไปยังเทพธิดารัตติกาลก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ก็ได้ งั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของความสิ้นหวังที่แท้จริงเอง!”
หลังจากที่เขาพูดจบ เทพธิดารัตติกาลก็พบว่าสถานการณ์ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางต้องการ
รูปปั้นสูงตระหง่านตามถนนหนทาง ต้นไม้ภายในสวนดอกไม้ และกระทั่งอารามอันสง่างามก็มีชีวิตขึ้นมาและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด พวกมันยืนขึ้นราวกับว่ามีชีวิตจริง ๆ และส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายขึ้นไปบนฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น?” เทพธิดารัตติกาลเทพธิดารัตติกาลร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก
การมอบชีวิตให้แก่สิ่งของคือพลังที่แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่มีในครอบครอง อาจมีเพียงเทพแห่งชีวิตผู้ตายไปนานแล้วเท่านั้นที่จะทำบางสิ่งที่พอจะคล้ายคลึงกับสิ่งนี้ได้
นี่คือพลังจากกฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉิน
กฎแห่งพลังที่ซูเฉินหยั่งรู้นั้นรวมไปถึงกฎแห่งพลังผนึกเซียนด้วย แต่เขาก็ไม่เคยใช้มันในสนามรบมาก่อน เขามักจะใช้มันเพื่อสร้างกองทัพหุ่นเชิดก่อนหน้านี้แทน
หุ่นเชิดที่เขาใช้กับเทพดาบเพลิงก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง
นี่คือครั้งแรกที่ซูเฉินได้ใช้มันในสนามรบ และเขาก็เลือกที่จะใช้มันอย่างยิ่งใหญ่เหลือเชื่อซึ่งส่งผลต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลโดยตรง
เทพธิดารัตติกาลเพิ่งจะดึงนักรบศักดิ์สิทธิ์กลับมาแต่ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนาง อย่างไรแล้ว กระทั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ว่างเปล่าก็ยังสามารถมอบการป้องกันให้นางได้บ้าง นางไม่คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะยังมีกลอุบายซ่อนไว้เพื่อจัดการกับการเคลื่อนไหวนี้อีก
ภาพนี้ทำให้ทั้งเทพธิดารัตติกาลและเทพเจ้าคนอื่น ๆ ตะลึงงัน
วัตถุไร้ชีวิตจำนวนมากขึ้นและมากขึ้นกลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนาง จนพวกมันรวมตัวกันเป็นกองทัพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
ที่น่าหวาดกลัวยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่เดิมเป็นส่วนประกอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหมายความว่าพวกมันครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลโดยธรรมชาติ หลังจากที่ถูกอาบไปด้วยกฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉิน ความแข็งแกร่งของพวกมันจึงมีแต่จะทะยานสูงขึ้นเท่านั้น กองทัพสิ่งมีชีวิตพุ่งออกไปข้างหน้าโดยแต่ละตัวปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดอันแข็งแกร่งของตนออกมา
ความมืดมิดเข้าปกคลุมพวกมันแต่ก็ไม่อาจทำลายพวกมันได้ เมื่อการเคลื่อนไหวของพวกมันผสานเข้ากับสัตว์อสูรจากลักษณ์ของซูเฉินแล้ว ความโกลาหลที่ก่อตัวขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลไม่ใช่บางสิ่งที่นางจะเมินเฉยได้
คราวนี้เทพธิดารัตติกาลหมดสิ้นซึ่งหนทาง คลื่นความมืดของนางถูกทำลายหายไปโดยพละกำลังของสิ่งมีชีวิตผนึกเซียนและสัตว์อสูรประสานกัน
และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือนักรบศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่อาจรักษาแนวรบไว้ได้และถูกบังคับให้ต้องออกอีกครั้ง
ครั้งนี้เทพธิดารัตติกาลไม่สามารถปกปิดพวกเขาไว้ได้อีกแล้ว
คลื่นการโจมตีราวห่าฝนตกลงสู่กองทัพนักรบศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นหมอกควัน
โดยไร้ซึ่งการสนับสนุนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้แม้ว่าซูเฉินจะไม่ใช้จักรวาลอสูรก็ตาม
“ไม่!!!”
เทพธิดารัตติกาลกรีดร้องลั่นด้วยความสิ้นหวัง
ความมืดมิดพวยพุ่งขึ้นไปบนผืนฟ้า มันบดบังดวงอาทิตย์และฉายเงาทะมึนลงมายังพื้นดิน
แต่ไม่ว่านางจะพยายามเท่าไร นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนสายลมแห่งโชคชะตาได้
ตูม!
ดัชนีสังหารเทพครั้งที่ 1,200 จรดลงบนหน้าผากของนาง
คลื่นความมืดไร้ที่สิ้นสุดแผ่ขยายออกไปจากจุดปะทะก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ
เทพธิดารัตติกาลสิ้นลมหายใจแล้ว
ซูเฉินเคลื่อนไหวเบา ๆ และก้อนพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยเข้ามาในมือเขา
“นั่นเป็นสมบัติที่มีค่าทีเดียว เอาไปสิ!” ซูเฉินโยนก้อนพลังงานขึ้นไปในอากาศ มันแบ่งออกเป็นสิบสี่ส่วน ลอยไปหากู่ชิงลั่ว จูเซียนเหยา เยี่ยเฟิงหาน เล่อเฟิง อวิ๋นเป้า และคนอื่น ๆ แต่ละชิ้นส่วนมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่มันได้ถูกคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ผู้ฝึกตนที่ถูกเลือกเริ่มเฉิดฉายอย่างสว่างไสว
ซูเฉินได้ทำการคำนวณทั้งหมดในหัวและมอบปริมาณให้พวกเขาทุกคนได้เลื่อนขั้น
ลำแสงทั้งสิบสี่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่สิบสี่จิตวิญญาณแสนทรงพลังทะยานออกไป
กู่ชิงลั่วคือคนแรกที่เสร็จสิ้นกระบวนการพัฒนา และนางก็พุ่งไปข้างกายซูเฉินทันที “สามี ข้าทะลวงด่านสำเร็จแล้ว!”
แต่เดิมนางอยู่ในด่านยาเม็ดทองคำ แต่การทะลวงด่านนี้พานางไปสู่ด่านวิญญาณแรกเริ่ม
จูเซียนเหยาคือคนต่อไปที่บินเข้ามาหา นางก็เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นอกตื่นใจ “สามี ข้าก็ทะลวงแล้วเหมือนกัน”
“ดีมาก เจ้าทั้งสองไปจัดการกับพระแม่ได้ ส่วนข้าจะไปจัดการเจ้าแห่งแดนฝันเอง” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาบินไปในทิศทางของเจ้าแห่งแดนฝัน
เมืองล่องนภากำลังต่อสู้กับเทพอนารยะ ส่วนกองทัพหุ่นเชิดกำลังจัดการกับเทพดาบเพลิง หมายความว่ามนุษย์ที่เหลือนั้นมีหน้าที่จัดการเจ้าแห่งแดนฝัน เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ และเจ้าแห่งอสูร แรงกดดันที่พวกเขาได้รับยังมโหฬารยิ่งนัก
แต่ก็เป็นสถานการณ์เช่นนี้ที่ทำให้พวกเขาสามารถแสดงให้เห็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงไรได้อย่างเต็มที่
ผู้ฝึกตนคนแล้วคนเล่าบินขึ้นไปบนฟ้าราวกับฝูงแมลงที่ส่งเสียงหึ่ง ๆ ไปทั่วและกัดต่อยพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อมีโอกาส
แม้ว่าเทพเจ้าทั้งสี่องค์นี้จะทรงพลังอย่างถึงที่สุด พวกเขาก็ค้นพบในไม่ช้าว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีอันดุดันไม่สิ้นสุด พวกมันล้วนเฉียบคมและหลักแหลม หากไม่ระมัดระวังให้ดี พวกเขาอาจได้รับบาดแผลมากมายอย่างง่ายดาย
ศึกอันขมขื่นกำลังเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ได้รับความเสียหายมหาศาล แต่การเสียสละของพวกเขาก็ทำให้เทพเจ้าทั้งสี่ต้องหวั่นเกรง
การร่วงโรยของเทพธิดารัตติกาลกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของศึกนี้อย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินมุ่งหน้าไปยังเจ้าแห่งแดนฝัน จักรวาลอสูรปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยคราวนี้มันห่อหุ้มเจ้าแห่งแดนฝันไว้ข้างใน
“ซูเฉิน!” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามอย่างดุร้าย น้ำเสียงของเขาระเบิดผ่านอากาศออกมา
“ใช่ ข้ามาแล้ว” ซูเฉินตอบ
แต่แล้วเขาก็มองเจ้าแห่งแดนฝันด้วยท่าทีคลุมเครือ “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมกลับคืนสู่ร่างเดิม ข้าก็ได้แต่บังคับเจ้าด้วยตัวเองเท่านั้น”
เจ้าแห่งแดนฝันเงียบกริบก่อนที่จะถามขึ้นในทันใด “เขาเคยบอกเจ้าไหมว่าต้องทำอย่างไรหากเจ้าพบเห็นข้า?”
“เขาบอกให้ข้าสังหารเจ้า” ซูเฉินตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อย่างนั้นเองสินะ” เจ้าแห่งแดนฝันถอนหายใจก่อนที่จะออกความเห็นอย่างงี่เง่า “เขาเกลียดตัวตนของตัวเองขนาดนั้นมาตลอดเลยหรือ?”
ซูเฉินจับใจความที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย “งั้นเขาก็คือเจ้าและเจ้าก็คือเขา ถูกหรือไม่?”
เจ้าแห่งแดนฝันส่งเสียงหัวเราะอันลึกลับออกมาเมื่อได้ยินคำถามของซูเฉิน “เจ้ารู้ไหมว่าฝันคืออะไร?”
ซูเฉินตกตะลึงกับคำถามแสนลึกลับนี้
เจ้าแห่งแดนฝันตอบคำถามของตัวเอง “ผู้ที่ฝันจะคิดในตอนเช้าและฝันในตอนกลางคืน ความคิดของผู้ที่ฝันนั้นไม่มีตัวตนและไร้ระเบียบ และพวกมันคือตัวแทนความเป็นคู่ของมนุษย์!”
“ความเป็นคู่ของมนุษย์หรือ?” ซูเฉินถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นได้ในทันใด “งั้นเขาและเจ้าก็มีร่างกายเดียวกันแต่มีใบหน้าแตกต่างกันหรือ? แล้วเจ้าคือคนไหนล่ะ?”
ทันใดนั้น สีหน้าของเจ้าแห่งแดนฝันก็บิดเบี้ยวอย่างหนัก “คนที่อยากจะฆ่าเจ้าไง! ฝันนิรันดร!”
ชั่วพริบตาต่อมา ซูเฉินก็รู้สึกว่าสายตาพร่ามัวและมืดมน