ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 11 ลูกกลมสีทอง
บทที่ 11 ลูกกลมสีทอง
หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ กองทหารลาดตระเวนก็ล้มราชันอสูรกายได้ในที่สุด
ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น การสังหารราชันอสูรกายนั้นหมายถึงความร่ำรวย และตามกฎของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว อสูรกายที่ถูกสังหารในระหว่างการเดินทางก็จะเป็นของกองทหารลาดตระเวนทันที สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือส่งมอบทรัพยากรที่ไม่มีเจ้าของที่ได้มาเท่านั้นเอง
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะดีใจกันเช่นนี้
มีเพียงฉางเหอเท่านั้นที่กำลังขอร้องกับเยี่ยเฟิงหานด้วยสีหน้าขมขื่น “พี่ชาย ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของข้าจริง ๆ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าข้ามอบผลประโยชน์ทั้งหมดจากการเดินทางครั้งนี้……”
เยี่ยเฟิงหานตัดบทอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่สนใจผลประโยชน์ส่วนของเจ้า เพราะข้าเองก็ไม่อยากจะต้องเทกระโถน เช่นนั้นแล้ว… เจ้าก็แค่ไม่ต้องพูดมากนักเวลาที่อยู่ใกล้ข้า”
“เอาล่ะ ก็ได้ ต่อไปนี้ข้าจะฟังท่านให้มากกว่านี้ ตกลงไหม” ฉางเหอดูท่าทางพอใจ
เยี่ยเฟิงหานประกบมือเข้าที่หูเพื่อส่งสัญญาณให้เงียบ
ฉางเหอเข้าใจและหลบไปข้าง ๆ ทันที
“นายท่าน เราหามันพบแล้ว ดอกบัวสามสี อยู่ใต้เท้าพวกเรานี่เอง” หนึ่งในสมาชิกของกองทหารร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นขณะที่ในมือชูดอกไม้ที่มีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินในดอกเดียวกัน
ดอกบัวสามสีสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มความไวต่อพลังต้นกำเนิด พร้อมกับเพิ่มความสามารถในการควบคุมมันด้วย ดอกไม้นี้สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มอานุภาพของพลังดาบที่ถูกปลดปล่อยออกไป ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่จำเป็นของนิกายไร้ขอบเขต ซึ่งชาวนิกายได้พยายามสรรหาดอกไม้นี้มาเก็บไว้เป็นจำนวนมากเสมอ แต่น่าเสียดายที่ความพยายามของพวกเขาต้องพบกับข้อจำกัดเสียแล้ว ..และตอนนี้เมื่อศิษย์นิกายไร้ขอบเขตสามารถยึดครองดินแดนบางส่วนของเขตแดนอสูรได้ พวกเขาจึงสามารถฝ่าเข้าไปยังใจกลางของแหล่งทรัพยากรได้
เยี่ยเฟิงหานหันไปมองดอกบัวสามสีและกล่าวด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างกัน “ดอกไม้นี่น่าจะมีอายุอย่างต่ำสักสามพันปี แปลว่ามันจะมีค่าคะแนนผลงานเท่ากับสามพันแต้ม”
เมื่อได้ยินดังนั้นชาวนิกายไร้ขอบเขตก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก
ดินแดนที่รกร้างแห่งนี้เป็นที่อยู่ที่ของสมบัติมากมายจริง ๆ… สมบัติมากมายสุดลูกหูลูกตา!
เยี่ยเฟิงหานเก็บดอกบัวสามสีเข้าที่ด้วยความระมัดระวัง
เขายังได้หน่อขนาดเล็กที่งอกอยู่บนส่วนหัวของราชันอสูรกายมาอีกด้วย
หน่อนี้เป็นที่รู้จักในชื่อว่า ‘กิ่งหยก’ มันเกิดขึ้นมาจากเลือดเนื้อของเทพอสูรเอง และถูกใช้เพื่อล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับ หน่อที่ว่านี้เป็นสิ่งมีค่าที่สามารถเพิ่มพลังจิตได้ จึงถือว่าล้ำค่าไม่น้อยไปกว่าดอกบัวสามสีเลย
ในเมื่อเยี่ยเฟิงหานเป็นผู้นำของการเดินทางในครั้งนี้ เขาจึงได้รับส่วนที่มีค่าที่สุดจากอสูรกายด้วยนั่นเอง
หน่อที่ว่านี้สามารถนำมากิน หรือทำเป็นยาก็ได้ แน่นอนว่าการทำเป็นยานั้นมีผลและสรรพคุณที่เห็นได้ชัดกว่าการกินหลายเท่า
แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ตัดสินใจที่จะใช้มันเลยในทันที
ลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของเขากำลังจะบรรลุอยู่เต็มทีแล้ว หากเขาใช้หน่อนี้ก็คงจะสามารถบรรลุพลังได้เลยในทันใด และสำเร็จลักษณ์ที่สองได้ในที่สุด
หากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตกลับออกไปจากดินแดนรกร้างแห่งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเฟิงหานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
เขาเริ่มต้นจากการหาสถานที่เงียบ ๆ จากนั้นจึงวางกิ่งหยกลงบนมือ และเริ่มเคลื่อนพลังต้นกำเนิดในกายเพื่อส่งเข้าไปในนั้น
กิ่งหยกเริ่มปล่อยไอสีขาวออกมา
เยี่ยเฟิงหานสูดดมมัน แต่ไอสีขาวนั้นไม่ได้เข้าไปในจมูกของเขา มันกลับเคลื่อนไปรอบตัวชายหนุ่มและเริ่มซึมเข้าไปในร่างผ่านทางดวงตาแทน
นี่คือวิธีการใช้งานกิ่งหยกหรือก็คือวิธีการที่ซูเฉินเป็นผู้คิดค้นขึ้นนั่นเอง
ในการวิจัยที่มีเป้าหมายเป็นความสำเร็จชิ้นใหญ่อย่างวิชาสู่อมตะนั้น ซูเฉินก็ยังได้พัฒนาสิ่งเล็กน้อยอื่น ๆ ขึ้นระหว่างทางด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือการใช้สมุนไพรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
รอให้พลังงานต้นกำเนิดกำลังเดือดพล่าน แล้วจึงซึมซับมันเข้าไปทางดวงตา วิธีนี้ทำให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าการย่อยสมุนไพรฤทธิ์ยาโดยตรงถึง 3 ใน 10 ส่วน
ขณะที่พลังฤทธิ์ยาหลั่งไหลไปตามร่างของเยี่ยเฟิงหาน ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าทะเลความรู้ของเขาขยายกว้างขึ้น และพร้อมกันนั้นก็มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสาวกังวานขึ้นด้วย
เยี่ยเฟิงหานรู้ว่านี่เป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของเขาพัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง หัวใจของชายหนุ่มยังคงสงบนิ่งและไม่หวั่นไหวจนกระทั่งเสียงหัวเราะหวานใสนั้นจางหายไป
ทันใดนั้นเยี่ยเฟิงหานก็รู้สึกสะท้านอย่างประหลาด ขณะที่ร่างลวงตาสีดำจำนวนหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขาและส่งเสียงโหยหวนอย่างดุร้าย
เยี่ยเฟิงหานตกใจสุดขีด เจ้านิกายไม่เคยพูดถึงอะไรเกี่ยวกับปีศาจที่เข้ามาในร่างเมื่อบรรลุความสำเร็จขั้นสูงแล้ว… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เยี่ยเฟิงหานไม่คิดว่าซูเฉินนั้นคิดจะทำอันตรายต่อเขาแน่ แต่ก็ยังไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
แม้กระนั้น เยี่ยเฟิงหานก็รู้ว่าเขามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะพึ่งพาได้และเอาชีวิตรอดจากอุปสรรคนี้ไป ชายหนุ่มปกป้องหัวใจของตัวเองไว้ด้วยความระมัดระวังพร้อมกับเคลื่อนพลังลักษณ์อย่างเต็มที่
ต้องขอบคุณที่ลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของเขาในตอนนี้บรรลุถึงความสำเร็จขั้นสูงแล้ว ทะเลความรู้ของเยี่ยเฟิงหานตอบสนองได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกมาก และคลื่นของมันก็ซัดเข้ามาเป็นกำแพงขนาดยักษ์ที่ปกป้องหัวใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
ทว่าร่างประหลาดเหล่านั้นก็ยังพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น พวกมันพร้อมที่จะฉีกทะเลความรู้ของเขาให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แม้จะมีลักษณ์นิมิตลาวัณย์ช่วยเหลืออยู่ แต่เยี่ยเฟิงหานก็พบว่าสามารถป้องกันตัวจากพวกมันได้ยากเหลือเกิน
หากเงาดำพวกนั้นเข้ามาในร่างของเขาได้ ชายหนุ่มก็มีโอกาสสูงที่จะต้องสูญเสียร่างกายตัวเองไป
ตอนนั้นเอง ที่เยี่ยเฟิงหานสัมผัสได้ถึงลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่เริ่มจะตื่นขึ้น
หลังจากหยุดคิดแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ตัดสินใจใช้ลักษณ์วิหคทองคำไปด้วยเช่นกัน
ลักษณ์วิหคทองคำเป็นลักษณ์ของตระกูลเฉิงแห่งอาณาจักรนกฮูก และเชี่ยวชาญในด้านเพลิงกัลป์ ซึ่งวิหคทองคำตัวจริงนั้นสามารถทำให้ทั้งสรวงสวรรค์ลุกเป็นไฟและเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณได้ในพริบตา
แม้ว่าสายเลือดในมนุษย์นั้นอาจไม่แข็งแกร่งเท่า แต่เมื่อใช้อย่างสุดกำลังก็มีอานุภาพมากพอที่จะเผาไหม้ในระยะถึงหนึ่งหมื่นไร่ได้ และมันยังเป็นหนึ่งในลักษณ์เทพอสูรทั้งเจ็ดที่มีอานุภาพกว้างขวางที่สุดอีกด้วย
เยี่ยเฟิงหานไม่มีทางเลือกอื่น เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันชั่วร้ายที่กำลังรุกรานเข้ามาในจิตใจ นั่นทำให้เขาจำเป็นต้องโจมตีโต้ตอบไปด้วยเพลิงกัลป์
ไม่ช้าเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นจากร่างของชายหนุ่ม มันแผดเผาอสูรกายทั้งหลายจนไหม้เกรียมทันที
แท้จริงแล้วพวกนั้นก็กลัวไฟนี่เอง…
ด้วยธรรมชาติที่แสนชั่วร้ายนั้นแล้ว.. มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
เยี่ยเฟิงหานกัดฟันและจุดไฟให้แผดเผาแรงกล้ามากขึ้น ปีศาจในร่างของชายหนุ่มพลันกลายเป็นจุณไปในพริบตาเดียวเท่านั้น
สายเลือดนิมิตลาวัณย์ของเขาอยู่ในขั้นความสำเร็จสูงสุดแล้ว และไม่มีปีศาจปรากฏขึ้นอีก เมื่อดวงอาทิตย์ฉายแสง ปีศาจที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกทำลายไปจนหมด เยี่ยเฟิงหานปลอดภัยในที่สุด
แม้ว่าการต่อสู้นี้จะเกิดขึ้นภายในร่างกายของเขา แต่เยี่ยเฟิงหานก็บาดเจ็บภายนอกอย่างสาหัส
ขณะที่ยังตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เยี่ยเฟิงหานก็พบว่าพลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว พร้อมกันนั้นเม็ดกลมสีทองก็ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตที่จับตัวกันในทะเลความรู้ของชายหนุ่ม
นั่นมันอะไรกัน
เยี่ยเฟิงหานไม่รู้ว่าเม็ดกลมนั้นคืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ว่ามันอัดแน่นไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
หรือเขาควรหยิบมันออกมา…
ชายหนุ่มใช้พลังจิตเพื่อสัมผัสกับเม็ดกลมนั้น…
ตู้มม!!!
มันระเบิดออก
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ลูกน้องของเยี่ยเฟิงหานรีบพากันกรูเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงดังสนั่น
เยี่ยเฟิงหานก้าวออกมาจากกระโจม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเขม่าสีดำและควันมากมายก็ลอยคลุ้งไปทั่ว
สีหน้าของชายหนุ่มแข็งทื่อขณะที่เขากระแอมไอ “ข้าไม่เป็นไรหรอก ก็แค่วิจัยอะไรเล็กน้อยเท่านั้น….ซึ่งข้าทำไม่สำเร็จ”
“หือ นี่เจ้าได้นิสัยการวิจัยและทดลองมาจากเจ้านิกายด้วยหรือ” ฉางเหอหัวเราะ
เยี่ยเฟิงหานมองตาขวาง ฉางเหอเงียบทันทีก่อนจะรีบหลบออกไปข้าง ๆ
เพราะไม่ต้องการอดได้รับทรัพย์สมบัติไปอีกหนึ่งปี เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมทำตามแต่โดยดี แต่เมื่อได้ยินฉางเหอกล่าวถึงเจ้านิกาย เยี่ยเฟิงหานก็ใจสั่น
เขารู้ว่าอาจมีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาเอง ชายหนุ่มจึงหยิบเอากล่องสื่อสารออกมาและก้าวออกไปข้าง ๆ เพื่อพยายามติดต่อกับซูเฉิน
เมื่อเห็นดังนั้นฉางเหอก็พึมพำกับตัวเอง “ทำลับ ๆ ล่อ ๆ มีเรื่องอะไรกันนะ”
จนกระทั่งซูเฉินปรากฏกายขึ้นไกลออกไป….
ชายหนุ่มมาที่นี่ได้ภายในเวลาอันสั้น เพราะเขาใช้ม้าน้ำพลังสูญเป็นพาหนะ
ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าซูเฉินมา แล้วจึงพากันคุกเขาลง “เจ้านิกาย!”
ซูเฉินพยักหน้าให้กับพวกเขาทั้งหลายก่อนจะหันไปหาเยี่ยเฟิงหาน จากนั้นก็พลันคว้ามือของเยี่ยเฟิงหานไว้และใช้พลังจิตมหาศาลแทรกแซงเข้าไปในหัวของเขาทันที ซึ่งเยี่ยเฟิงหานก็ไม่ได้ต่อต้านหรือป้องกันตัว เขาปล่อยให้ซูเฉินทำตามที่ปรารถนาโดยไม่ถามด้วยซ้ำ
ไม่ช้าซูเฉินก็พยักหน้า “นี่มันประหลาดอย่างที่ว่าจริง ๆ มากับข้าหน่อย”
เขาลากตัวเยี่ยเฟิงหานออกไป
เมื่อเห็นดังนั้น ฉางเหอก็ยิ่งสับสน “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความฉงนใจไม่ต่างกัน
ซูเฉินกับเยี่ยเฟิงหานยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ซูเฉินนั้นกำลังครุ่นคิดอย่างหนักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เยี่ยเฟิงหานกล่าวขึ้น “เจ้านิกาย มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ บอกข้ามาตรง ๆ เถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็รับได้ทั้งนั้น”
ซูเฉินหยุดคิดก่อนจะตอบคำถามนั้น “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แต่ก็เป็นไปได้ว่าตอนที่เจ้าใช้พลังหยางบริสุทธิ์ในการกำจัดปีศาจพวกนั้น มีผลพลอยได้บางอย่างเกิดขึ้นด้วย ปฏิกิริยาระหว่างพลังหยินและหยางอาจส่งผลต่อร่างกายของเจ้าเองและทำให้เกิดเป็นเม็ดกลมสีทองขึ้นในระหว่างนั้น”
“เจ้านิกายกำลังบอกว่าสิ่งที่ปีศาจพวกนั้นทิ้งไว้ในร่างของข้าตอนที่พวกมันตาย รวมกับพลังต้นกำเนิดของข้า และก่อตัวขึ้นเป็นเม็ดกลมนั่นอย่างนั้นหรือ?”
“ความจริงอาจซับซ้อนยิ่งกว่านั้นก็ได้ ข้าต้องค้นดูในความทรงจำของเจ้าอย่างถี่ถ้วนเพื่อพิจารณาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่อนคลายพลังจิตของเจ้าเสียและใช้ลักษณ์นิมิตลาวัณย์เพื่อคุ้มกันมันเอาไว้ แต่อย่าต่อต้านล่ะ… นี่อาจเจ็บสักหน่อย” พูดจบซูเฉินก็ใช้นิ้วชี้สัมผัสลงบนหน้าผากของเยี่ยเฟิงหาน
เยี่ยเฟิงหานพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว
เขากัดฟันแน่นและพยายามฝืนต้านทานมันไว้ หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ ซูเฉินก็ยกนิ้วมือนั้นออกในที่สุด
เขาถอนใจยาว “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”
วิธีนี้ทำให้ซูเฉินสามารถเห็นทุกอย่างที่เยี่ยเฟิงหานประสบมาได้
เขาวิเคราะห์ความทรงจำของเยี่ยเฟิงหานอย่างละเอียดและรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นในร่างกายนั้น ข้อสรุปในเบื้องต้นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหัวของชายหนุ่ม แต่ถ้าจะให้ถูกต้องและแม่นยำกว่านี้ เขาอาจต้องใช้เวลามากขึ้นสักหน่อย
เมื่อหันกลับไปมองเยี่ยเฟิงหานที่ล้มลงบนพื้น ซูเฉินก็กล่าวกับเขา “เฟิงหาน ข้ายินดีที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ข้า เจ้าว่าอย่างไร?”
เยี่ยเฟิงหานชะงักไปก่อนที่จะกล่าวตอบด้วยความยินดี “ข้าในฐานะศิษย์ ขอคารวะท่านอาจารย์!”
ซูเฉินยิ้มและพยักหน้าให้
อันที่จริงแล้วซูเฉินมองว่าเยี่ยเฟิงหานเป็นศิษย์ของเขามานานแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางส่งต่อลักษณ์ 7 สายเลือด และไม่ชี้นำในการฝึกตนให้กับเยี่ยเฟิงหานเลย
การรับเยี่ยเฟิงหานเป็นศิษย์ในคราวนี้ก็เพื่อให้สถานะกับเขาอย่างเป็นทางการเท่านั้น
เยี่ยเฟิงหานหมอบคำนับถึงสามครั้งก่อนที่ซูเฉินจะส่งสัญญาณให้เขาหยุดเพียงเท่านั้น “ลุกขึ้นได้แล้ว”
เยี่ยเฟิงหานยืนขึ้นและเดินเข้ามายืนข้างอาจารย์คนใหม่ของตน
ซูเฉินกล่าวต่อไป “ข้ามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะ เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องตระหนกนัก ข้ามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีและเป็นพรกับเจ้า ไม่ใช่คำสาปแต่อย่างใด เจ้าน่าจะใช้เวลาคิดทบทวนมันอีกสักหน่อย และถ้าติดขัดตรงไหนก็ให้บอกข้า”
“ขอรับท่านอาจารย์!”
ซูเฉินวาดบางอย่างขึ้นในอากาศก่อนจะดึงเอาหุ่นเชิดยักษ์ออกมาให้กับเยี่ยเฟิงหาน “ในเมื่อข้ารับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ข้าก็ต้องมอบของกำนัลให้กับเจ้าตามธรรมเนียมด้วย รับหุ่นเชิดยักษ์นี่ไปและใช้มันเพื่อปกป้องตัวเจ้า”
หุ่นเชิดยักษ์นั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน การได้รับของกำนัลที่ล้ำค่าเช่นนี้ทำให้เยี่ยเฟิงหานตะลึงไม่น้อย เขาไม่รู้เลยว่าซูเฉินมั่งคั่งเพียงไรแล้วในตอนนี้ จึงรีบท้วงขึ้นทันที “ท่านอาจารย์ นี่มันมากไป!”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ในเมื่อข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ข้าจะปล่อยให้ชีวิตเจ้าตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ ดังนั้นสิ่งนี้แหละที่จะช่วยให้เจ้าปลอดภัย แต่ถ้าเจ้าคิดจะพึ่งพาแต่มันมากเกินไป ตัวเจ้าเองก็จะไม่พัฒนาเลย”
“ศิษย์ของท่านเข้าใจแล้วขอรับ!” เยี่ยเฟิงหานตอบรับเสียงดังฟังชัด “ข้าขอสัญญาว่าจะใช้สมบัติอันล้ำค่านี้ในช่วงเวลาที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น”
“อืม” ซูเฉินยืนนิ่ง “สะสางกันจบแล้วก็ไปได้แล้วล่ะ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในร่างกายของเจ้านั้นจะรู้ได้ก็จากการต่อสู้เท่านั้น เรามาดูกันว่ามันจะทำให้เกิดเรื่องน่าประหลาดใจอะไรขึ้นอีก หากมีอะไรที่ดูแล้วผิดปกติ เจ้าต้องบอกให้ข้ารู้ทันที”
สิ้นคำซูเฉินก็หันหลังและจากไป
เยี่ยเฟิงหานมองดูซูเฉินด้วยความเคารพ แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นเงาที่พาดผ่านบนใบหน้าของซูเฉินเลย…
“เจ้าแห่งแดนฝัน ท่านทนไม่ไหวแล้วสินะ!”