ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 14 สิบปี
บทที่ 14 สิบปี
คลื่นพลังจิตขนาดมหึมาของซูเฉินกวาดเอาร่างเงาปีศาจเหล่านั้นไปทั้งหมด
ทว่าในพริบตาเดียวปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกลับปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ยังมีเงาร่างที่ดูประหลาดเหมือนมีดวงตาที่ใหญ่ยักษ์ผิดปกติอีกด้วย
ซูเฉินกล่าวด้วยเสียงที่เย็นเยียบ “ไอ้ปีศาจไร้ค่า!”
เปลวเพลิงเริ่มลุกโชนขึ้นจากร่างของชายหนุ่ม
เปลวไฟที่เห็นนั้นไม่ใช่ไฟจริง ๆ แต่มันก่อตัวขึ้นได้จากพลังจิตที่รวมตัวเข้าด้วยกัน แม้กระนั้นความร้อนของเปลวเพลิงลวงก็ยังรุนแรงพอที่จะเผาไหม้ทุกอย่างเป็นจุณได้
เหล่าปีศาจส่งเสียงร้องแหลมสูงขณะที่ถูกแผดเผาจนตายไป
ขณะเดียวกันนั้น ซูเฉินสังเกตเห็นว่าปีศาจพวกนั้นทิ้งบางอย่างเอาไว้เมื่อมันตาย… มันคือเศษซากประหลาดที่ดูคล้ายดวงดาว
ซูเฉินใจเต้นไม่เป็นจังหวะขณะที่ควบคุมพลังจิตให้เข้าไปสัมผัสกับเศษซากเหล่านั้น
ทันทีที่พลังจิตของเขาสัมผัสกับมัน ร่างของซูเฉินก็กระตุกพร้อมกันกับที่เศษดาวนั้นหายไป ทั้งร่างของชายหนุ่มรู้สึกต่างไปจากเดิมในทันใด ราวกับว่าข้อจำกัดบางอย่างได้ถูกปลดออกแล้ว หรือพลังจิตของเขาได้พัฒนาไปสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว!
“เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด!” ซูเฉินเริ่มซึมซึบเศษที่ดูคล้ายดาวจากร่างปีศาจเหล่านั้นทันที
ขณะที่กำลังเก็บเอาพลังจากเศษดาวอยู่นั้น เม็ดกลมสีทองก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในกายของชายหนุ่มแต่เม็ดกลมของเขามีขนาดใหญ่และกลมมนกว่าของเยี่ยเฟิงหาน และยังมีพลังอันแน่นอยู่มากกว่าด้วย
ซูเฉินยังคงแผดเผาร่างปีศาจพวกนั้นต่อไปขณะที่เม็ดกลมของเขาขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันลอยตัวขึ้นไปในอากาศและเคลื่อนเข้าสู่ตำหนักเซียนที่แปดที่ซูเฉินสร้างขึ้น
ขณะที่มันกำลังจะปักหลักอยู่ในตำหนักนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นจากด้านใน
ประหลาดนักที่ซูเฉินรู้สึกเหมือนว่าได้ยินเสียงมากมายกำลังสวดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ในโสตประสาท ทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่ไปหมด
ตอนนี้พลังผู้ฝึกตนด่านมหาราชันของซูเฉินมั่นคงแล้ว และเขาก็สร้างตำหนักเซียนทั้งแปดได้สำเร็จมานานแล้ว แต่เม็ดกลมสีทองก็ยังสามารถยกระดับตำหนักเซียน และเพิ่มอานุภาพพลังจิตของซูเฉินได้อีกมาก
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งเต็ม ๆ มันยังสามารถส่งผลกับซูเฉินได้ล้ำลึกพอควร
“ยอดไปเลยl!” ซูเฉินร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ชายหนุ่มรู้สึกว่าการแสวงหาจุดสูงสุดของตัวเองได้นำเขามาสู่จุดที่สมบูรณ์แบบแล้ว
ตั้งแต่ที่ซูเฉินบรรลุสู่พลังด่านสู่พิสดาร พลังไร้สายเลือดของตัวเขาก็ต้องการปัจจัยภายนอก เพื่อช่วยให้บรรลุต่อไปได้ แต่ครั้งนี้การค้นพบเม็ดกลมสีทองนั้นหมายความว่า วิชาสู่อมตะของซูเฉินได้แยกตัวออกจากการฝึกด้วยสายเลือดแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงเท่านั้น แต่การค้นพบครั้งนี้ยังสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จเส้นใหม่ให้กับเขาด้วย
ทันใดนั้นเจตจำนงอันแรงกล้าก็ปรากฏขึ้นในแดนฝันอันชั่วร้ายแห่งนี้
“เจ้าแห่งแดนฝัน ท่านมาแล้วสินะ” ซูเฉินหัวเราะลั่น “ข้าเกรงว่าท่านจะมาสายไปหน่อยเสียแล้วล่ะ!”
พลังจิตของซูเฉินถอยกลับมาทันที
คลื่นพลังแห่งเจตจำนงที่น่าเกรงขามนั้นพาดผ่านร่างกายของเขาไปพร้อมกับที่เหล่าปีศาจทั้งหลายพุ่งตรงเข้ามาหาเขา ดูเหมือนว่าความหวาดกลัวต่อเปลวเพลิงของปีศาจพวกนั้นจะหายไปเสียแล้ว
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ซูเฉินสะท้านแม้แต่น้อย เขาหยิบเอาอักษรศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากกล่องและโยนออกไปตรงหน้า
รังสีอันศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวออกไปทั่วทุกทิศทาง
แม้แต่เจ้าแห่งแดนฝันก็ยังไม่สามารถปกป้องปีศาจเหล่านั้นไม่ให้สลายไปด้วยอานุภาพของรังสีนั้นได้
เสียงคำรามด้วยความไม่พอใจดังขึ้นจากในความมืด… เจ้าแห่งแดนฝันกำลังเดือดดาลเสียแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เคลื่อนไหวใด ๆ เจตจำนงของซูเฉินก็พุ่งออกจากแดนแห่งนั้น และหวนคืนสู่ร่างของกายเนื้ออย่างสมบูรณ์แล้ว
หลังจากกลับมาแล้วชายหนุ่มก็โบกมือหนึ่งครั้งและเส้นทางอุโมงค์นั้นก็หายไป
เมื่อเรื่องนี้จบลงซูเฉินก็ถอนใจยาว
แม้ว่าเขาจะผ่านเรื่องราวมาแล้วมากมาย แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ถือว่าอันตรายไม่น้อย
โชคดีที่ฝ่ายเจ้าแห่งแดนฝันไม่ได้คาดคิดว่าซูเฉินจะใช้อักษรเหล่านั้นที่ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ แต่ครั้งถัดไปเจ้าแห่งแดนฝันก็จะต้องรับมือกับยุทธวิธีนี้ได้อย่างแน่นอน และการที่ซูเฉินหรือใครก็ตามจะหนีไปก็จะไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้อีกแล้ว
ตอนนี้ซูเฉินสร้างเม็ดกลมสีทองได้สำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เขาจะต้องกลับเข้าไปในแดนฝันเพื่อสังหารปีศาจพวกนั้นอีก
แต่เป้าหมายของซูเฉินไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้
เขาต้องพัฒนาเส้นทางการฝึกเส้นใหม่นี้เพื่อให้ทั้งนิกายไร้ขอบเขตแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกให้ได้
ในแง่หนึ่งแล้ว ปีศาจที่ในแดนฝันก็ถือเป็นมื้ออาหารที่มากประโยชน์ยิ่งนักสำหรับผู้ฝึกตน
แต่ทำไมพวกมันถึงทิ้งเศษซากลึกลับพวกนั้นเอาไว้ล่ะ?
ซูเฉินไม่รู้เลยจริง ๆ
ไม่ช้าความคิดหนึ่งก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหัว
ทวีปต้นกำเนิดเป็นดินแดนที่จับต้องได้ ในขณะที่แดนฝันเป็นเพียงดินแดนในพลังจิตเท่านั้น
เมื่อดินแดนที่จับต้องได้กับดินแดนที่ไร้รูปธรรมมาบรรจบกัน การเปลี่ยนแปลงประหลาดหลายอย่างจึงเกิดขึ้น
การผสานพลังหยินหยางก็ใช้หลักการเดียวกันนี้
แต่ความคิดและการเปรียบเทียบของเขาจะถูกหรือไม่ ซูเฉินจะยืนยันได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ทำการวิจัยแล้วเท่านั้น
อย่างไรก็แล้วแต่ หลังจากที่เม็ดกลมสีทองหยุดนิ่งอยู่ในตำหนักเซียนของชายหนุ่มแล้ว เขาก็บอกได้ทันทีว่าพวกมันอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด แม้ว่าจะดูขัดกับความรู้สึกในการที่การพัฒนาการฝึกตนระดับล่างนั้นจะสามารถส่งผลใด ๆ ต่อพลังตน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในร่างกายเพราะเม็ดกลมนั่นจริง ๆ
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังต้นกำเนิดในกายนั้นมีคุณภาพที่เหนือกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นก็เพราะการเกิดขึ้นของเม็ดกลมสีทอง และผลของมันก็ถูกส่งไปยังพลังต้นกำเนิดในร่างกายของซูเฉินด้วย
แต่เพราะซูเฉินเป็นผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพลังด่านผลาญจิตวิญญาณจึงไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขามากนัก กระนั้นชายหนุ่มก็พึงพอใจกับมัน
ฟึ่บ!
เปลวไฟขนาดเล็กถูกจุดติดขึ้นที่ปลายนิ้ว
เปลวไฟนั้นเต้นระบำไปรอบ ๆ นิ้วของชายหนุ่มราวกับมังกรที่แสนปราดเปรียวที่มีพลังเต็มเปี่ยม
มันคือเมล็ดพันธุ์แห่งวิชาจิตมังกรเพลิงที่กำลังจะแตกหน่อออกมานั่นเอง
เมื่อเทียบกันแล้วมังกรเพลิงของซูเฉินในตอนนี้ว่องไวกว่าแต่ก่อนมาก มันดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาและสามารถกระโดดสลับไปมาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งซูเฉินในตอนนี้ก็ยังสามารถส่งพลังให้มันด้วยกฎแห่งพลังผนึกเซียนได้ด้วย
ทว่าเขาเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น…. ส่วนหนึ่งก็เพราะพลังต้นกำเนิดในกายที่กลายสภาพไป
หลังการเปลี่ยนแปลงลึกลับที่เกิดขึ้นกับพลังต้นกำเนิด นอกจากมังกรเพลิงของชายหนุ่มจะว่องไวขึ้นมากแล้ว เปลวไฟที่ลุกขึ้นนั้นก็จับต้องได้และเปล่งประกายสีขาวด้วย
แต่กระนั้นช่องว่างความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณกับผู้ฝึกตนด่านมหาราชันก็ไม่ใช่จะถูกเติมเต็มกันได้ง่าย ๆ สีขาวที่ปรากฏขึ้นนั้นอาจเพียงเพื่อให้เปลวไฟของซูเฉินเปล่งสีได้ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แสงวิบวับปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วและมังกรไฟตัวจิ๋วก็ทะยานออกไปราวกับว่ามันมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง มันหยุดลงที่ข้างชั้นหนังสือขณะที่เปลวไฟนั้นเริ่มโชติช่วงขึ้น… น่าประหลาดยิ่งนักที่ไม่มีสิ่งใดถูกมันเผาทำลายเลย
จากนั้นซูเฉินก็ขยับนิ้วมือ เปลวไฟขนาดเล็กพลันขยายตัวขึ้นและกลืนกินชั้นหนังสือพร้อมกับเผามันจนเหลือเพียงเถ้าธุลี
ซูเฉินมองดูและวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเยือกเย็น
พลังต้นกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นไม่ได้ดูแข็งแกร่งกว่าเดิมในด้านของพลังบริสุทธิ์ เพียงแต่มันมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นมาสองอย่าง
อย่างแรกก็คือการที่มันสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดี อีกทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งมากกว่าเดิมด้วย หรือก็คือ ทักษะต้นกำเนิดนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและถูกควบคุมได้ตามต้องการเมื่อมันถูกปล่อยออกไปนั่นเอง
นี่เป็นสิ่งที่ซูเฉินทำได้อยู่แล้ว และวิชาจิตของเขาก็บรรลุผลสำเร็จแล้วด้วย
แต่กระนั้นการที่เขาสามารถควบคุมมันได้เช่นนั้นก็เพราะความสามารถส่วนตัว พลังจิตที่แข็งแกร่ง และคุณลักษณะพิเศษที่ได้รับมาจากวิชาจิต ซึ่งความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถส่งต่อกันได้ และอย่างไรแล้วก็คงไม่มีใครที่จะมีพลังจิตที่ทรงอานุภาพได้มากเท่าเขา
ทว่าหากเส้นทางของเม็ดกลมสีทองสามารถถูกส่งต่อไปยังศิษย์ทั้งหลายใช้ได้ ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็จะสามารถควบคุมและใช้คำสั่งกับทักษะต้นกำเนิดของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น เปรียบเหมือนการที่ศิษย์แต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญวิชาจิตของตัวเองก็ว่าได้
คุณสมบัติอย่างที่สองก็คือการโจมตีที่ส่งผลต่อภายในของเป้าหมายได้มากขึ้น
เปลวเพลิงของซูเฉินเผาไหม้ชั้นหนังสือจากด้านใน จึงทำให้ทุกอย่างในชั้นนั้นถูกกลืนกินไปได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพลังบริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย
ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนที่มีพลังหนึ่งหมื่นหน่วยโจมตีด้วยพลังเพียงหนึ่งในพันส่วน กับผู้ฝึกคนที่มีพลังสิบหน่วยโจมตีอย่างเต็มกำลังนั้นแทบไม่แตกต่างกันเลย
ไฟที่ซูเฉินเพิ่งปลดปล่อยออกไปนั้นถูกบีบอัดเอาไว้และมีพลังมากกว่าเปลวไฟโดยทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยปกติแล้วมันควรใช้เวลาทั้งหมดอย่างน้อยหนึ่งนาทีที่จะเผาไหม้ทั้งชั้นหนังสือนั่นได้
และสาเหตุที่ชั้นหนังสือถูกเผาเป็นจุณไปอย่างรวดเร็วนั้นก็ไม่ใช่เพราะพลังอันท่วมท้นของเปลวไฟ แต่เป็นเพราะการที่ไฟนั้นจุดติดไปยังทุกส่วนของชั้นหนังสือรวมถึงภายในของมันด้วย
ผลก็คือเปลวไฟที่อ่อนแรงพวกนี้สามารถมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึงหนึ่งร้อยเท่าจากที่ที่มันควรจะเป็น
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ที่เกิดขึ้นกับพลังต้นกำเนิดคือสิ่งที่ซูเฉินกำลังตามหาอยู่
“นี่มันเกินกว่าสิ่งที่ข้าคาดหวังเอาไว้มากทีเดียว…” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
อย่างไรแล้ว เม็ดกลมสีทองนี้ก็มีพลังเพียงด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้น แล้วพลังด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน หรือพลังด่านมหาราชันล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นหากพลังด่านสู่พิสดารได้รับพลังเสริมด้วย…
การเปลี่ยนแปลงแบบไหนกันนะที่จะเกิดขึ้น
เส้นทางใหม่พลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าซูเฉินแล้ว
ความเป็นไปได้เหล่านี้มีความหมายกว่าทุกสิ่งที่เขาค้นพบมาจนกระทั่งวันนี้
ความตื่นเต้นในใจของซูเฉินเพิ่มขึ้นทุกขณะ
ความตื่นเต้นครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะการค้นพบฝันนั่น
ตั้งแต่ที่ซูเฉินค้นพบว่าเขาสามารถใช้เครื่องมือสกัดจิตเพื่อบรรลุสู่ด่านมหาราชันได้ และทำให้วิชาสู่อมตะทั้งเจ็ดขั้นของเขาสมบูรณ์ ชีวิตของชายหนุ่มก็ช่างน่าเบื่อและแทบไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกเลย
เดิมทีเขาคิดไว้ว่าในอนาคตนั้น สิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญหลังจากพัฒนาวิชาสู่อมตะจนสมบูรณ์แล้วก็คือการบรรลุสู่พลังขั้นที่สูงกว่านี้ และค้นหาพลังที่สูงยิ่งกว่าในต่อ ๆ ไป
แต่แล้วในตอนนี้เขากลับค้นพบว่าตัวเองได้คิดผิดมาตลอด
อันที่จริงแล้วในโลกใบนี้มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างนักที่เขายังไม่รู้
ไม่ว่าจะเป็นเทพอสูร เทพอสูรบรรพกาล เทพเจ้า พลังงานสีขาวที่เพิ่งค้นพบนั่น หรือเส้นทางของเม็ดกลมสีทอง ทุกอย่างล้วนพาให้เขาได้พบกับความลึกลับอื่น ๆ อีกมากมายในโลกนี้ มันยังช่วยให้เขาได้ตระหนักอีกด้วยว่า ในขณะที่เส้นทางของมนุษย์มีจำกัด แต่การหาความรู้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด
การสร้างเส้นทางของเม็ดกลม ๆ นั่นให้สมบูรณ์ การอยู่ในจุดสูงสุดอย่างแท้จริง การทำลายพลังศักดิ์สิทธิ์ การยกระดับกฎแห่งพลังผนึกเซียน การกวาดล้างเหล่าเทพอสูร……
มีหลายสิ่งเหลือเกินที่เขาต้องทำให้สำเร็จ!
ตอนนี้หัวใจของซูเฉินมีแต่ความตื่นเต้น และความปรารถนาที่จะต่อสู้ก็พุ่งกระฉูดขึ้นด้วยเช่นกัน
“อ๊ากกกก ซูเฉิน…”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในโสตประสาทของชายหนุ่ม
เจ้าแห่งแดนฝันนั่นเอง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจเป็นอย่างมากทีเดียว จากการที่เจตจำนงถูกนำออกจากแดนฝันสู่โลกแห่งความจริง
การตอบสนองทางกายภาพจากเขาในครั้งนี้เป็นของจริง
ดูเหมือนว่าในที่สุดเจ้าแห่งแดนฝันสามารถส่งเจตจำนงของตัวเองออกมาสู่โลกแห่งความจริงได้สำเร็จแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซูเฉินหวาดกลัวแต่อย่างใด
เขาเผยยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าแห่งแดนฝัน สนธิสัญญานิรันดร์กาลคืออะไรกันแน่หรือ?”
“เจ้ายังกล้าถามคำถามแบบนั้นกับข้าอีกด้วยหรือ” เสียงทุ้มต่ำของเจ้าแห่งแดนฝันดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง เสียงนั้นสั่นสะท้านด้วยความเดือดดาล “ปราการของโลกใบนี้กำลังพังลงแล้ว และสนธิสัญญานิรันดร์กาลก็เริ่มจะสิ้นสภาพลง ไม่ช้าเทพเจ้าทั้งหลายจะกลับมาและควบคุมโลกใบนี้อีกครั้ง! ถึงตอนนั้นข้าจะนำความตายมาให้เจ้าและเผ่าพันธุ์ของเจ้าทั้งหมดเพื่อล้างแค้นที่เจ้าสังหารลูกหลานของข้าในวันนี้!”
“แปลว่าปีศาจพวกนั้นเป็นภูติแดนฝันสินะ ยอดไปเลย! ในแดนฝันจอมปลอม พวกนั้นดูสงบ นุ่มนวล และเป็นกันเอง แต่รูปลักษณ์ที่แท้จริงกลับน่าเกลียด ท่านสร้างฝันที่งดงามขึ้นก็เพื่อหลอกล่อพวกข้า แต่เพราะอะไรกัน ทำไมท่านถึงต้องสร้างอะไรแบบนั้นขึ้นมาด้วย สิ่งที่สามารถทำให้หลายร้อยเผ่าพันธุ์ต้องหลงใหลแต่ก็ไม่สามารถกลับมาได้ เป็นเพราะท่านมีพลังไม่มากพออย่างนั้นหรือ หรือว่าสนธิสัญญานั่นจำกัดการเคลื่อนไหวของท่านไว้” ซูเฉินยังคงร่ายสิ่งตัวเองสงสัยออกไปอีก
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” เจ้าแห่งแดนฝันโวยวาย “วันที่ปราการทลายลงจะเป็นวันที่เจ้าต้องสลายไปพร้อมกับมัน!”
“คำตอบของท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ… ท่านยังทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” ซูเฉินพยักหน้าพร้อมกับตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นต่อไป “ท่านทำได้แค่สร้างดินแดนขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถทำลายมันได้ นี่ก็เพราะข้อจำกัดจากปราการด้วยใช่ไหม? ปราการที่ว่านั่นคืออะไรกันแน่ แล้วมันอยู่ที่ไหน มีตัวตนสัมผัสได้จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่สิ่งที่เป็นนามธรรมเท่านั้น”
“หุบปากแหลม ๆ ของเจ้าไปซะ! เจ้าอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปแล้ว” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามด้วยอย่างหมดความอดทน
เขามาที่นี่ก็เพื่อทำให้ซูเฉินกลัว แต่ชายคนนี้กลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยด้วยซ้ำ เขากลับถามคำถามมากมาย และบางครั้งก็ยังตอบคำถามพวกนั้นได้ด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… คำตอบของซูเฉินถูกต้องทั้งหมด
ซูเฉินนึกขึ้นได้อีกอย่าง เขายิ้มและกล่าวต่อไป “ข้าพบจุดอ่อนของท่านแล้วถูกต้องไหม? น่าพอใจทีเดียว… ข้าชอบจริง ๆ ความรู้สึกของการได้ทรมานเทพเจ้า ในขณะที่เทพเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้”
“หุบปากซะ! เจ้าโอหังได้อีกไม่นานนักหรอก!”
“หือ ข้าว่าคงอีกสักพักเลยแหละ” ซูเฉินยังคงยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด “อาจจะสักสิบปี ร้อยปี ข้าว่าสักพันปีก็ฟังดูไม่เลวนะ”
“เจ้ามีเวลามากที่สุดแค่สิบปีเท่านั้น…” เจ้าแห่งแดนฝันพูดทิ้งท้ายอย่างชั่วร้ายก่อนที่เสียงของเขาจะค่อย ๆ จางหายไป
สีหน้าของซูเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “สิบปีหรือ? แปลว่าเทพเจ้าจะกลับมาในอีกสิบปีข้างหน้าอย่างนั้นหรือ!!?”