ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 16 อสูรกายตอบโต้ (1)
บทที่ 16 อสูรกายตอบโต้ (1)
ไม่ว่าจะเคยเกิดอะไรขึ้นในอดีต การต่อสู้ในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินต่อ
มนุษย์และปักษาบุกรุดหน้าเข้าแดนสัตว์อสูรแล้ว เหลือเพียงร่องรอยยาวไว้บนพื้น มุ่งหน้าตรงเข้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง
นับว่าดุร้ายอันตรายอย่างยิ่ง
สัตว์อสูรที่อยู่ไม่ไกลยังไม่ถูกกำจัดทั้งหมด แต่กลับสามารถยึดครองดินแดนขนาดใหญ่ได้แล้ว
การรุดหน้าเข้าทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งอันรวดเร็วทำให้เสี่ยงจะถูกล้อม ไม่ว่าศัตรูจะปรากฏตัวหลังจากถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งแล้วหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้
แม้ว่าทั้งสองเผ่าจะตกลงให้ผู้สังเกตการณ์ของแต่ละฝั่งติดตามไปด้วย แต่จะเชื่อถือได้หรือ? หากถูกติดสินบนหรือถูกหลอกขึ้นมาเล่า?
หรือหากมีฝั่งหนึ่งเปลี่ยนทิศทางในจังหวะสุดท้าย ปล่อยให้อีกฝั่งเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร แล้วตนเองลอบหาโอกาสโจมตีเล่า?
เช่นนี้มีความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันมากเกินไป
อย่างไรสงครามทางทหารล้วนเป็นการหลอกลวง กลวิธีใดก็ตามที่นำมาใช้หลอกอีกฝ่ายได้นับว่ายุติธรรมทั้งสิ้น
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่ากระดาษแผ่นเดียวไม่สามารถผูกมัดซูเฉินหรือหยงเยี่ยหลิวกวงได้
ทว่าผู้นำทั้งสองนี้ดูเหมือนจะมีเกียรติศักดิ์ศรีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างรุดหน้าเข้าไปยังจุดหมายที่ตกลงไว้อย่างรวดเร็ว
ภายในป่ารกร้าง ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้า ส่องต้นไม้เบื้องล่างจนเกิดเงาขนาดใหญ่
เมืองล่องนภาเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ
ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประหยัดพลังงาน แต่เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรโดยรอบต่างหาก
ปักษาจำนวนมากบินเข้าออกเมืองล่องนภาอยู่ทุกขณะ เก็บเกี่ยวทรัพยากรที่อยู่โดยรอบประหนึ่งเป็นผึ้งงาน
และยังมีเมืองลอยฟ้าอีกสามแห่งติดตามมาไม่ไกลจากเมืองล่องนภา
เมืองหนึ่งหน้าตาเหมือนเรือมังกรขนาดใหญ่ สยายปีกยักษ์ออกสองข้าง ขอบทั้งสองด้านมีพายนับพันยื่นออกมา ทุกคราที่กระพือปีกส่งแรงลมมหาศาลซัดออกทั่วทิศ ด้านหน้าสุดของเรือคือใบหน้าเหี้ยมเกรียมของสัตว์อสูร
มันคือหอคอยพลังปีศาจ
หอคอยพลังปีศาจเป็นจุดลอยที่ 4 ที่สร้าง มันสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรบรรพกาล และเทพอสูรบรรพกาลนี้รู้จักกันในนามอสรพิษคลั่ง งูยักษ์บินได้ขนาดใหญ่ มีลำตัวเป็นมังกร เสียงคำรามของมันดังสนั่นดั่งฟ้าร้อง มีดวงตาดวงเดียว
โครงกระดูกของมันจึงควบคุมอากาศได้ ปักษาใช้กระดูกของมันสร้างแก่นหอคอยพลังปีศาจขึ้นมา
แห่งที่ 2 คือจุดลอยรูปดวงดาว
มันเรียกว่าเมืองดาราแห่งปักษา จุดลอยที่สองได้ปักษาเป็นผู้ออกแบบ และเป็นเพียงจุดลอยเดียวที่สร้างขึ้นโดยความพยายามของปักษาเอง
จุดลอยแท้จริงคือค่ายกลยักษ์ที่มีปักษากว่าสามพันอาศัยอยู่ด้านในเพื่อให้ค่ายกลทำงานได้
เมืองดาราแห่งปักษาไม่เหมือนกับจุดลอยแห่งอื่น ๆ ไม่ได้พึ่งพาแก่นเพียงอย่างเดียว แต่เผ่าปักษารวมกำลังส่งพลังให้มัน ส่งผลให้ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก ปักษาเสียปรมาจารย์อาคาร์น่าระดับตำนานไปถึง 2 คนเพื่อสร้างจุดลอยนี้ขึ้นมา
นับเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงที่สุดที่ปักษาต้องจ่าย เป็นประสบการณ์เลวร้ายของพวกเขา พวกหัวรุนแรงบางตนเชื่อว่าการสร้างเมืองดาราแห่งปักษานับเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดที่ปักษาเคยกระทำ ทำให้เผ่าพันธุ์ต้องหยุดเจริญรุ่งเรืองนานไปถึงพันปี
แต่กระนั้นก็ยังตั้งชื่อเช่นนี้ขึ้นมา
และด้วยเหตุนี้ ปักษาจึงไม่คิดสร้างจุดลอยเช่นนี้อีก
จุดลอยที่ 3 แข็งแกร่งกว่ามาก
มันดูเหมือนแมลงยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไปช้า ๆ ทว่าทั่วร่างมีแต่รู ดวงตาถูกล้วงออก ปักษานับไม่ถ้วนบินเข้าออกจากรูพวกนั้นดูราวกับเป็นฝูงผึ้งบิน
มันคือนางพญาที่ปักษาได้จากเมืองนภาลัยราบ
หลังจากฟูมฟักมา 20 ปี นางพญาก็มีขนาดใหญ่หลายพันจั้ง แม้ว่าจะดูพองเช่นนั้น แต่กลับจุพลทหารได้นับล้านทีเดียว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงตั้งชื่อให้มันว่ากีฏมารดา
จริง ๆ แล้วกีฏมารดายังไม่สมบูรณ์ดี แม้ปักษาจะเลี้ยงดูฟูมฟักมานานถึง 20 ปีก็ตาม
พวกเขานำมันออกมาก่อนหน้าเพราะที่นี่มีทรัพยากรมากมายให้ปักษาใช้ป้อนนางพญาได้ อีกทั้งเมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนที่ได้แล้ว กีฏมารดาจึงมีความสำคัญน้อยลงมาก หากต้องใช้เวลานับร้อยปีในการเลี้ยงดูคงเป็นไปไม่ได้ ฉวยโอกาสนี้เลี้ยงดูมันให้สมบูรณ์เป็นการดีที่สุด
จุดลอยทั้งสามลอยขนาบข้างเมืองล่องนภา ทำหน้าที่ทั้งป้องกันและเพิ่มพลังไปพร้อมกัน
เมื่อต้องเผชิญกับการวางทัพเช่นนี้ อสูรกายทรงพลังก็ได้แต่ถอย
แต่ก็ไม่ใช่ถอยอย่างเดียว เพราะอสูรกายก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน
ภายในวังแสงตะวันชั่วกาล
กูเทียนเยวี่ยรีบรุดเข้ามา หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังนั่งจัดการธุระจิปาถะอยู่
“ฝ่าบาท”
“ว่ามา” หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ชอบเสียเวลายามต้องทำงาน
กูเทียนเยวี่ยรู้นิสัยอีกฝ่ายดี เอ่ยขึ้นตามตรง “อสูรกายมาแล้วขอรับ”
“หืม?” หยงเยี่ยหลิวกวงหยุดมือ “มากันหมดแล้วหรือ?”
“เราเห็นแค่ 4 ตัวเท่านั้น จักรพรรดิเพลิง จักรพรรดิอำพัน จักรพรรดิสี่หน้า และจักรพรรดิวิหคแสง ไม่รู้ว่าจักรพรรดิขู่ฉาไปที่ใด”
“ขู่ฉาหายไปหรือ?” หยงเยี่ยหลิวกวงมุ่นคิ้ว
นามว่าขู่ฉานั้นไม่น่าตื่นตาเท่าไหร่ แต่ก็เป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่อายุมากที่สุดในหมู่ 10 ราชันที่ยังมีชีวิตอยู่ และราชันตัวนี้ยังเกิดมาจากต้นชารสขมอายุหมื่นปี เป็นราชันตัวเดียวที่ไม่ใช่สัตว์อสูร มีพลังสูงส่ง ลือกันว่ามันทะลวงด่านเหนือจักรพรรดิอสูรกายไปแล้ว ทำให้มีกำลังเทียบเท่าเทพอสูรทีเดียว
หยงเยี่ยหลิวกวงสงสัยในเรื่องนี้
เทพอสูรไม่อาจอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งตายเร็ว หากขู่ฉาแกร่งเช่นนั้นจริง หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด แต่หากยังไม่ใช่เทพอสูร ก็จะไม่ถูกสภาพแวดล้อมทำลาย เช่นนั้นเป็นปัญหาหนักกว่าเสียอีก
การหายตัวไปของขู่ฉาทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่การที่ราชันถึง 4 ตัวเตรียมพร้อมรับศึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายจริงจังกับการศึกแค่ไหน
คิดครู่หนึ่งแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงพยักหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ว่าขู่ฉามีแผนการใด พอพวกเราจัดการราชันย์ทั้งหลายได้เมื่อไหร่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก”
“ฝ่าบาทฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” กูเทียนเยวี่ยเอ่ยชมได้จังหวะเหมาะ
“เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ยเสียงเบา
ไม่มีการตัดสินใจใดเกิดขึ้นปุบปับ นับตั้งแต่เดินทางเข้าทุ่งหญ้าโบราณนี้มา พวกเขาก็ต่อสู้มาโดยตลอด มีแต่ว่าจะต่อสู้หนักหรือเบาเท่านั้น
เสียงสัญญาณเริ่มดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ปักษาที่ออกไปเก็บทรัพยากรกลับคืนสู่จุดประจำการหลังได้ยินเสียงเตือน การรักษาเมืองและทหารราบเมืองล่องนภาพากันเข้าประจำจุดที่กำแพง ปรมาจารย์อาร์คาน่าเข้าประจำในปราการอาร์คาน่า จุดลอยทั้งหลายก็ลอยเข้าใกล้กันกว่าเดิม
ที่ไกล ๆ นั่นเห็นเป็นทัพอสูรกายกำลังบุกเข้ามา
พวกมันมากันมืดฟ้ามัวดิน รุดหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน มีกันจำนวนนับไม่ถ้วน
นอกจากราชันจักรพรรดิทั้งสี่ก็ยังมีจักรพรรดิอสูรกายอีกสามร้อย ราชันอสูรกายอีกสี่พัน เจ้าอสูรกายอีกหนึ่งแสน พร้อมกองกำลังอีกจำนวนมาก ไม่ด้อยกว่ากองทัพราชันจักรพรรดิในหุบเหวเลย
สัตว์อสูรรวมตัวกันได้ยาก ไร้ความมีระเบียบ แม้จะเป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่เป็นผู้ออกคำสั่งโดยแท้จริง ก็มีกองทัพอสูรกายแค่หนึ่งถึงสองแสนตัวเท่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามีจำนวนเพียงเท่านั้น หากว่าถูกรุกราน สัตว์อสูรก็จะรวมตัวกันจนกลายเป็นขบวนสัตว์อสูรอันน่าเกรงขาม
การรวมพลังอันน่าเกรงขามเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
ตัวเลขจำนวนมากเช่นนี้เป็นสาเหตุหลักที่อสูรกายสามารถครอบครองทวีปต้นกำเนิดมาเนิ่นนาน
แม้จะต้องเผชิญกับเมืองล่องนภาที่เคลื่อนที่ได้แล้ว ก็ใช่ว่าสัตว์อสูรจะไร้ทางสู้
วันนี้พวกมันจะทำให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเห็นดีว่าโอหังแล้วจะพบจุดจบเช่นไร
พระราชวังลอยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งค่อย ๆ เคลื่อนอยู่เหนือกองกำลังสัตว์อสูร
หลังหนึ่งเต็มไปด้วยหมอกดำปกคลุม มีใบหน้าคร่ำครวญโหยหวนนับพันปรากฏขึ้นและเลือนหายไปในม่านหมอก กำแพงวังมีใบหน้าบิดเบี้ยวสลักไว้อีกด้วย
อีกหลังมีหน้าตาเหมือนเตาดินเผาขนาดยักษ์ แต่ตัวเตามีไฟเป็นองค์ประกอบ นับเป็นวังที่เป็นตัวแทนของธาตุไฟได้เป็นอย่างดี
อีกหลังหนึ่งมีเนื้อเกลี้ยงเกลา รูปร่างกลมเหมือนไข่ ระยะทางเข้าออก แต่ ‘เปลือกไข่’ จะเรืองแสงอ่อน ๆ ดูวาววับออกมาในบางครั้ง
วังแห่งสุดท้ายไม่สามารถระบุได้ เพราะมันส่องแสงสว่างจ้ามากจนไม่สามารถเห็นรูปร่างมันได้เลย ที่เห็นเพียงอย่างเดียวคือเหมือนจะมีรูบางอย่างที่แสงจ้าบดบังเอาไว้อยู่
พระราชวังราชันทั้งสี่!
ถัดจากพระราชวังราชันทั้งสี่คือวังจักรพรรดิอสูรกายขนาดเล็กกว่าหลายร้อยแห่ง จักรพรรดิอสูรกายมีพลังและอำนาจรองลงมาจากราชันจักรพรรดิ
ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ที่สุดของกำลังเก่าแก่ก็เริ่มโต้กลับบ้างแล้ว
“โจมตี!”
“ทำลายเมืองล่องนภาแล้วจับตัวหยงเยี่ยหลิวกวง!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากเหล่าสัตว์อสูร พวกมันบุกเข้ามาราวกับเป็นคลื่นยักษ์
แม้ว่าจะรอศึกเช่นนี้มาเนิ่นนาน แต่ทหารปักษาในเมืองล่องนภาก็อดรู้สึกสั่นเมื่อเห็นกองกำลังที่บุกเข้ามาไม่ได้
กลุ่มแรกที่โจมตีคือสิ่งมีชีวิตที่บินบนฟ้า
กองบินนี้ประกอบด้วยแร้งเพลิงสีเลือด อินทรีย์ปีกขาว เหยี่ยวสามตา และอสรพิษร้าย เป็นต้น พวกมันนำหน้ามาเข้าโจมตี ปราการเมืองล่องนภาส่องกะพริบเมื่อถูกโจมตีใส่
กูเทียนเยวี่ยสั่งให้ยิงศร ห่าศรร่วงหล่นจากฟ้า หยาดเลือดแรกสาดกระเซ็น
จังหวะเดียวกันนั้น ขบวนสัตว์อสูรที่เหลือก็เข้าประชิด สัตว์อสูรดุร้ายกระโจนเข้ามาดั่งคลื่นสมุทรสูงกว่าร้อยจั้ง ยามปะทะเข้ากับเกราะเมืองก็มีความรุนแรงไม่น้อยกว่าคลื่นทะเลขนาดใหญ่ กระแสน้ำสาดซัดไปทั่ว
มันคือกระแสเลือดที่ซัดสาดนั่นเอง!