ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 31 แผนสำรอง (2)
บทที่ 31 แผนสำรอง (2)
ทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาต่างก็คว้าชัยชนะจากอสูรกายมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ผลลัพธ์ของทั้งสองก็ยังแตกต่างกัน
เผ่าปักษาต่อสู้กับศัตรูทันทีตามปกติของความขัดแย้งระหว่างผู้ครอบครองพลังระดับจักรพรรดิ พวกเขาพึ่งพาพละกำลังอันโหดเหี้ยมในการบุกตะลุยฝ่าศัตรู ในตอนที่ทำสำเร็จ พวกเขาก็คงจะกวดล้างสัตว์อสูรส่วนมากที่เผชิญไปหมดแล้ว
แต่เผ่ามนุษย์ก็ได้เริ่มจู่โจมไปยังเป้าหมายแล้ว ซูเฉินได้ขับไล่พวกมันจนกระจัดกระเจิงด้วยเสียงตะโกนเพียงเท่านั้น นี่ทำให้อสูรทั้งหลายเป็นฝ่ายหลบหนีในขณะที่มนุษย์เป็นผู้ล่า
ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นจริง ๆ ว่าแท้จริงแล้วซูเฉินกำลังตั้งใจไล่ตามเหล่าอสูรไปในทิศทางของเผ่าปักษา และกระทั่งไว้ชีวิตพวกมันบางส่วนเพื่อการนี้
ชายหนุ่มสังหารไปเพียงแค่ราชันจักรพรรดิใจสลายเท่านั้น ส่วนราชันจักรพรรดิอีก 4 ตัวยังคงมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ยังได้สังหารจักรพรรดิอสูรกายไปเพียงราว ๆ 12 ตัวเท่านั้น แม้จะคนอื่น ๆ จะสังหารไปแล้วอีก 20 ตัว ก็ยังมีอีกกว่า 80 ตัวที่ยังมีลมหายใจ
พูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้นำระดับสูงของสัตว์ อสูรยังคงปลอดภัยดี สัตว์อสูรที่ถูกสังหารไปล้วนเป็นส่วนที่วิ่งหนีช้าไปเสียหน่อย
หลังจากที่อสูรเหล่านี้ถูกกำราบโดยเผ่ามนุษย์ พวกมันก็จำใจต้องทอดทิ้งบ้านหลังเก่าและได้แต่วิ่งหนีไปยังทิศทางที่เผ่าปักษากำลังมุ่งหน้าเข้ามา หากต้องการเอาชีวิตรอดไปให้ได้ พวกมันก็จะต้องเผชิญเข้ากับเผ่าปักษาเป็นแน่ไม่ว่าช้าหรือเร็ว
และนั่นคือสิ่งที่ซูเฉินกำลังทำอยู่
หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่ตระเตรียมของขวัญพิเศษมา
พลังงานของเมืองล่องนภาถูกใช้ไปกับความรวดเร็ว ไม่ใช่การป้องกัน และเพราะแกนพลังงานแห่งซาร์คกำลังถูกใช้งานมากเกินไป เมืองล่องนภาจึงเผชิญเข้ากับเหล่าอสูรโดยไร้ซึ่งเวลาที่จะชะลอได้ ทันใดนั้นเอง อสูรทั้งหลายก็เข้าห้อมล้อมพวกเขา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ขบวนอสูรกายเริ่มต้นโจมตีเมืองล่องนภา
การปะทะกันครั้งนี้ช่างธรรมดาและเรียบง่าย โดยไร้ซึ่งเกราะป้องกัน กลุ่มอสูรขนาดใหญ่ก็หลั่งไหลเข้ามาภายในเมืองอย่างรวดเร็ว
“หยุดพวกมันเดี๋ยวนี้!” กูเทียนเยวี่ยประกาศกร้าวขณะที่พุ่งตรงเข้าไปในความโกลาหล
การโจมตีนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเหล่าอสูรเข้ามาถึงตัวเมืองก่อนที่กองทหารจะได้ก่อกำแพงเมืองเสียอีก ตัวเลือกในการจู่โจมของเมืองล่องนภายังคงอยู่ในขั้นเตรียมการ แต่กำแพงชั้นแรกที่ได้ถูกฝ่าทะลวงมาแล้ว
นี่ทั้งเร็วไวและช่างน่าอับอายสำหรับเมืองล่องนภายิ่งนัก
โชคยังดีที่เผ่าปักษาตอบโต้ได้อย่างปราดเปรียวทีเดียว ขณะที่อสูรเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในเมือง กลุ่มชาวปักษาขนาดใหญ่ก็กระพือปีกบิน ประกอบขึ้นเป็นค่ายกลขนาดใหญ่บนท้องฟ้าขณะที่พากันปลดปล่อยพายุลูกธนูลงไปยังเหล่าอสูรเบื้องล่าง
อย่างไรแล้ว การต่อสู้ระยะใกล้ก็เป็นฝันร้ายของชาวปักษาส่วนมาก อสูรพุ่งผ่านพายุลูกศรไปหักคอของชาวเผ่าปักษามากมายและฉีกทึ้งผู้โชคร้ายออกเป็นชิ้น ๆ กูเทียนเยวี่ยเพิ่งจะรวบรวมกลุ่มชาวปักษามาได้เมื่อพวกเขาล้วนถูกบดขยี้โดยอสูรดุร้ายจำนวนมากแทบจะในทันที
อสูรตัวแล้วตัวเล่าพุ่งตรงเข้ามาในเมือง ทำลายล้างทุกสิ่งข้างในด้วยความวุ่นวายและกลืนกินเผ่าปักษาคนใดก็ตามที่จับได้ด้วยความเกรี้ยวกราด
เมืองล่องนภากำลังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอที่สุด แม้ว่าแกนพลังงานแห่งซาร์คจะเริ่มลดความเร็วลงอย่างช้า ๆ ขั้นตอนนี้ก็จะต้องใช้เวลาอยู่ดี หากเมืองล่องนภาไม่เคลื่อนไหวช้าลง เกราะป้องกันก็จะไม่ทำงาน
พูดอีกอย่างคือ พวกเขาจำเป็นต้องอดทนอีกสักพัก
กูเทียนเยวี่ยสงสัยว่าเผ่าปักษาจะสามารถอดทนจนถึงตอนนั้นได้หรือไม่ ฝูงอสูรกายนั้นทรงพลังเกินไป หากไร้ซึ่งการช่วยเหลือของการป้องกันและเครื่องมือจู่โจมอันทรงพลังของเมืองล่องนภาแล้ว เผ่าปักษาก็ไม่อาจทำอะไรเหล่าอสูรได้
“ทหารนิกายแห่งพระแม่ กำจัดผู้บุกรุก!” เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้า
“โยวเมิ่วหัวเหลียนเหมี่ยนหรือ?” กูเทียนเยวี่ยหันไปด้วยความดีใจและพบเข้ากับกองทหารนิกายแห่งพระแม่ขนาดใหญ่ผู้สวมใส่เครื่องแบบออกรบสีทองพรั่งพรูกันเข้ามา
ทหารนิกายแห่งพระแม่ถูกฝึกฝนมาโดยนิกายแห่งพระแม่โดยสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารเผ่าปักษาที่แข็งแกร่งที่สุด หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะออกไปลาดตระเวนแถว ๆ อารามนิกายแห่งพระแม่ มีเพียงสถานการณ์วิกฤตอย่างถึงที่สุดเท่านั้นจะพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ
ทหารนิกายนี้มีจำนวนอยู่ไม่มากนัก แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิและมากประสบการณ์ พวกเขาส่วนมากจะไม่ร้องโอดครวญเมื่อได้รับบาดแผลเสียด้วยซ้ำ ซึ่งต่างจากเผ่าปักษาส่วนที่เหลือ ปักษาเหล่านี้ต่างไม่มีปัญหากับการต่อสู้ระยะประชิดแม้แต่น้อย
ทว่าก็ยังมีอสูรอยู่มากเกินไปอยู่ดี แม้ว่าทหารนิกายแห่งพระแม่จะทรงพลังยิ่งนัก แต่จำนวนสมาชิกก็ชักจะร่อยหรอลงเรื่อย ๆ ภายใต้คลื่นการโจมตีของเหล่าอสูร
“อาวู้ววว!!!”
หมาป่าตัวสีเขียวซีดส่งเสียนหอนขณะที่มันกระโจนเข้าฝังเขี้ยวลงไปยังหนึ่งในทหารนิกายแห่งพระแม่ ฉีกเขาออกเป็น 2 ส่วน มันคายศพทิ้งและพุ่งไปยังเป้าหมายต่อไปอย่างปราดเปรียว
“อสูรไร้สมอง!” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนคำรามขณะที่นางโจมตีโดยมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ เมื่อนางโยนมันออกไปในอากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าและอสูรในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดก็เชื่องช้าลงในทันใด
นี่คือแสงดุจฝันของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน ผู้ใดก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้แสงเจิดจรัสของมันจะรู้สึกราวกับว่าตนกำลังอยู่ในฝันทันที และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะช้าลงมหาศาล ในสนามรบขนาดใหญ่ วิชานี้จะทรงพลังจนน่าหวาดกลัวเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ระยะของแสงดุจฝันก็จำกัด อสูรจำนวนมากขึ้นและมากขึ้นกำลังหลั่งไหลจากภายนอกเข้ามาสู่เบื้องหลังกำแพง ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในเมืองล่องนภา สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากแสงดุจฝันแม้แต่น้อย
กระทั่งโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็รู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่คืบคลานเข้ามาเมื่อเผชิญกับจำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้
ตู้ม!
กระทิงร่างยักษ์พุ่งตรงมาข้างหน้า ไล่ขวิดเจ้านิกายแห่งพระแม่ด้วยเขาขนาดใหญ่
ดอกบัวสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าอกของนาง
กลีบดอกบัวลอยออกมาอย่างไม่รู้จักจบและหยุดยั้งเขาขนาดยักษ์ของกระทิงร้ายไว้
แต่ใบหน้าของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนั้นซีดเผือด
ทันใดนั้นเขาของกระทิงยักษ์ก็แหลมคมขึ้นมหาศาล การป้องกันของหญิงสาวแหลกสลายลงทันที แล้วเขาคู่นั้นก็เจาะทะลุผ่านหน้าอกของนาง ทำให้เลือดสาดกระเซ็นออกจากบาดแผลไปทั่วทุกทิศทาง
การโจมตีนี้มาจากราชันจักรพรรดิแห่งอสูรที่ซูเฉินเคยเอาชนะมาได้ก่อนหน้านี้ และตอนนี้เขาก็นำอสูรร้ายกลับมาสู่สนามรบอีกครั้ง
จักรพรรดิอสูรแห่งความเศร้าเตรียมตัวพุ่งไปยังโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนอีกครั้ง ขณะที่มันคำรามด้วยความตื่นเต้น “จงตายเพื่อข้า!”
ในตอนนั้นเอง มือเหี่ยวย่นสีดำสนิทก็ยื่นออกมาจับเขาคู่นั้นและหยุดมันไว้กลางทาง
ชายชราร่างผ่ายผอมดูอ่อนปวกเปียกค่อย ๆ เผยร่างให้เห็น
“ฝ่าบาท!” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนร้องออกมาด้วยความตื่นอกตื่นใจ
เขาคือหยงเยี่ยหลิวกวง
ชายชราจับเขากระทิงไว้และถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าไม่ควรรนหาที่ตายแบบนี้”
ขณะที่พูด เขาก็ขยับมือและส่งจักรพรรดิอสูรแห่งความเศร้าลอยไกลออกไป
จักรพรรดิอสูรผู้โชคร้ายลอยคว้างไปบนท้องฟ้า “เจ้าสังหารข้าด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอก!”
หยงเยี่ยหลิวกวงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้บอกว่าจะสังหารเจ้า ที่จะสังหารเจ้าน่ะคือนั่น”
เขาชี้ไปข้างหลังตัวเอง
จักรพรรดิอสูรตะลึงงัน ปืนใหญ่ขนาดมหึมาเริ่มเผยตัวออกมาเหนือวังแสงตะวันชั่วกาลและหันมายังมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปืนใหญ่สังหารปีศาจของนิกายแห่งพระแม่!
ท่าทีของจักรพรรดิอสูรแห่งความเศร้าเปลี่ยนไปทันที “ไม่!”
ตู้ม!!!
ปืนใหญ่ยิงระเบิดลูกยักษ์ออกมา
สายฟ้าแน่นขนัดพุ่งทะลวงผ่านร่างกายของจักรพรรดิอสูรและเปลี่ยนร่างเกินครึ่งหนึ่งของมันให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ครึ่งหนึ่งของร่างกายที่หายไปนี้จะไม่มีวันกลับมา แม้ด้วยความทรงพลังอันน่าเหลือเชื่อของมันก็ไม่อาจฟื้นฟูได้
มันมองไปยังครึ่งล่างที่หายไปของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนที่จะส่งเสียงเห่าหอนยาวเหยียดออกมาจากลำคอ ทันใดนั้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็เริ่มจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปด้วยเช่นกัน
“ฝ่าบาท ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก!” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและกูเทียนเยวี่ยเริ่มส่งเสียงโหวกเหวก
ปืนใหญ่สังหารปีศาจ เช่นเดียวกันกับเกราะป้องกัน ถูกใช้การได้ด้วยพลังงาน
แต่เพราะปืนใหญ่สังหารปีศาจนั้นมีเพียงชิ้นเดียว ปริมาณพลังงานที่ใช้จึงน้อยกว่ามาก
ดังนั้นแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงได้เลือกทำสิ่งน่าประหลาดใจเมื่อเห็นการลอบโจมตีของศัตรู แทนที่จะใช้พลังงานอันมีค่าที่ได้มาจากการชะลอพลังงานจากแกนพลังงานแห่งซาร์คให้ช้าลงไปส่งเสริมเกราะป้องกัน เขากลับส่งมันไปยังปืนใหญ่สังหารปีศาจ
แน่นอนว่านี่จะทำให้การเปิดใช้เกราะป้องกันล่าช้าด้วยเช่นกัน
สงครามนองเลือดจะดำเนินต่อไปนานยิ่งขึ้น
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็เตรียมพร้อมแล้ว
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ปรมาจารย์อาร์คาน่าหลายสิบคนปรากฏขึ้นเบื้องหลังหยงเยี่ยหลิวกวง ตามท่าทางของเขา เหล่าปรมาจารย์อาร์คาน่าจัดเรียงกลุ่มเป็นขบวน และในขณะเดียวกัน ปืนใหญ่สังหารปีศาจก็ยิงกระสุนอีกครั้งโดยคราวนี้เล็งไปยังกลุ่มสัตว์อสูรผู้บุกรุกที่หนาแน่นที่สุด
ด้วยระเบิดสายฟ้าขนาดใหญ่ กลุ่มสายฟ้ามากมายก็พุ่งไปข้างหน้าและเผาไหม้อสูรมากมายในพื้นที่บริเวณนั้น
นี่คือข้อเสียเปรียบของการต่อสู้ในถิ่นของตนเอง ยิ่งการโจมตีรุนแรงเท่าไร ความเสียหายที่พวกเขาได้รับก็จะมากขึ้นเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกำลังเอาทุกสิ่งมาเดิมพัน
เหล่าอสูรกายยังคงบุกเข้ามาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หากเผ่าปักษาต้องการปกป้องตนเอง พวกเขาก็จะต้องเข้มแข็งพอที่จะรับความเจ็บปวดได้หากจำเป็น
สิ่งนี้ไม่เพียงหมายถึงการทำลายตัวเองของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงทหารหัวกะทิและปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ยังอยู่ที่นั่นด้วย!
การบุกรุกของอสูรนั้นกะทันหันเกินไป และกองทหารที่มาได้ทันเวลาก็ล้วนเป็นพวกหัวกะทิที่มีระดับพลังอย่างน้อยระดับ 5 หรือสูงกว่า
หากไร้ซึ่งตัวถ่วงเวลาที่เพียงพอในแนวหน้า บรรดาปรมาจารย์อาร์คาน่าและพลธนูชั้นสูงทั้งหลายก็คงไม่มีทางเลือก นอกจากนำกองกำลังมุ่งหน้าสู่สนามรบด้วยตัวเองโดยใช้ร่างกายเพื่อแบ่งเขตแนวหน้า พวกเขายอมแลกชีวิตไปเพียงเพื่อเป็นทหารที่ถูกส่งไปตายเท่านั้น
หยงเยี่ยหลิวกวงรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็หมดสิ้นซึ่งทางเลือก
เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์อสูรที่เข้ามาถึงในตัวเมืองแล้ว การไม่เสียเลือดเนื้อนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้อีกต่อไป ทางเลือกเดียวที่พวกเขามีคือไปต่อจนถึงจุดจบอันขมขื่นเท่านั้น
สงครามอันนองเลือดจนน่าตกใจเริ่มบังเกิดขึ้นในเมืองล่องนภา
ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามสุดฝีมือในการสังหารฝ่ายตรงข้าม
เผ่าสัตว์อสูรต้องการใช้โอกาสนี้ในการล้างบางเผ่าปักษาอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เผ่าปักษากำลังยื้อเวลาออกไปอย่างสุดกำลังเพื่อรอให้เกราะป้องกันกลับมา
ภายในส่วนลึกของแกนกลาง เผ่าปักษาจำนวนมากกำลังโยนหินพลังต้นกำเนิดเขาไปในเตาเผาอย่างเกรี้ยวกราด ช่างฝีมือวัยชรานับจำนวนหินพวกนั้นอย่างเชื่องช้าขณะที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “86… 87… เกือบจะครบแล้ว…”
ตูม!!!
ระเบิดขนาดยักษ์ทำให้พื้นดินเบื้องล่างสั่นไหว
“84… บ้าฉิบเป๋ง ทำไมยิงอีกแล้วล่ะ? เกือบจะครบแล้วเชียว!” ชายชราก่นด่าด้วยความโมโห
“เราทำอะไรไม่ได้หรอก จักรพรรดิอสูรกายอีกจำนวนหนึ่งและแรดโลหิตเข้ามาเพิ่มอีก หากเราไม่ยิง แกนกลางเมืองจะต้องหายไปแน่… พวกมันดูจะรู้จักพื้นที่ที่สำคัญและพยายามโจมตีที่นี่มาโดยตลอด ตอนนี้ฝ่าบาททั้งสองกำลังนำกองทัพไปยังสนามรบ แต่พวกเราไม่คุ้นชินกับการต่อสู้ในรูปแบบนี้เลยสักนิด” แม่ทัพตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้
แม้ตัวจะอยู่ในห้องหับ แต่หัวใจของเขาก็ยังอยู่ข้างนอก และเขาไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่ามุ่งหน้าเข้าไปในสนามรบกับสหายของเขา
“จะต้องเป็นไอ้สารเลวซูเฉินที่แพร่งพรายเรื่องพวกนี้แน่ ๆ บอกให้พวกเขารออีกสักหน่อยเถอะ!” ช่างฝีมือสูงอายุตะโกนลั่น
ซูเฉิน!
ณ เวลานี้ ไฟแค้นของเผ่าปักษาต่อซูเฉินนั้นลุกโชนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ในขณะเดียวกัน สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป มีเลือดสาดกระจายให้เห็นได้ทุกหนแห่ง
กระทั่งชนชั้นสูงอย่างหยงเยี่ยหลิวกวงและโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็อยู่ในสภาวะอันตราย กูเทียนเยวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจเต็มที
แต่ถึงอย่างนั้น เผ่าสัตว์อสูรก็ยังคงพรั่งพรูเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพวกตนแม้แต่น้อย ราชันจักรพรรดิอสูรทั้งสามก็ร่วมมือกันอีกครั้ง
หลังจากที่ค้นพบการมีอยู่ของปืนใหญ่สังหารปีศาจ พวกมันก็หลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆตลอด ไม่คิดเปิดเผยตัวตนให้เห็น แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดพวกมันจากการโจมตีได้
“ฝ่าบาท ยิงปืนใหญ่สังหารปีศาจอีกครั้งเถิด!” แม่ทัพเผ่าปักษาบางคนตะโกนขึ้นเพราะไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันไร้ที่สิ้นสุดได้อีกต่อไป
“อดทนรออีกสักหน่อย!” หยงเยี่ยหลิวกวงขบฟันแน่น
“97”
“98”
ชายชรากู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นและเตรียมพร้อมเปิดใช้งานเกราะป้องกันเมือง
ในตอนนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องควบคุมแกนกลางในทันใด
ซูเฉินนั่นเอง!!