ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 43 เทพอสูรใกล้เข้ามาแล้ว
บทที่ 43 เทพอสูรใกล้เข้ามาแล้ว
หลังจากเอาชนะเผ่าปักษามาได้ มนุษย์ก็มีเวลาให้พักผ่อนเสียที
นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย
ป่าดงพงไพรที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรนั้นเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรหายากมากมาย ระหว่างศึกที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง ไม่มีเวลาให้ใครได้ฉกฉวยโอกาสนั้นทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็ถึงเวลาที่จะกอบโกยรางวัล
แม้ว่าการโต้กลับของเหล่าสัตว์อสูรจะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทหารเผ่ามนุษย์ก็มีความสุขตราบใดที่สัตว์อสูรยังมาไม่ถึง
ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ในปัจจุบันล้วนมั่นใจอย่างไม่เคยเป็นก่อน
แม้จะสูญเสียทหารและสหายผู้จงรักภักดีมากมายไปในสนามรบ ผู้ที่เอาชีวิตรอดมาได้ก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ที่จริงแล้ว จำนวนของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารและด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งหมดยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นิกายไร้ขอบเขตและอาณาจักรทั้ง 7 เคยมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอยู่ 12,000 คน โดยกว่า 8,000 คนมาจากนิกายไร้ขอบเขต แต่หลังจากสงครามกับเผ่าปักษา จำนวนนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 13,000 คน และผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยคน ในทางกลับกัน จำนวนผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นลดน้อยถอยลง พวกเขาบางส่วนถูกสังหารระหว่างศึกสงคราม และกองทัพเผ่ามนุษย์ก็ไม่สามารถฟื้นฟูจำนวนนั้นกลับมาได้
แต่หากพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรปริมาณมากมาจากเขตแดนสัตว์อสูรได้ ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและกระทั่งด่านมหาราชันก็จะเพิ่มขึ้น
วิชาสู่อมตะของซูเฉินได้เผยแพร่ไปทั่วทุกแห่งแล้วในตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารกลายเป็นระดับทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในอีกไม่ช้า กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็จะมีจำนวนมากราวกับสุนัขทีเดียว
แต่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและด่านมหาราชันนั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อยเพราะผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีสายเลือดก็ยังจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้ทำเช่นนั้นได้ ฝ่ายหนึ่งต้องการสมอทะเลลึก ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการอุปกรณ์เปลี่ยนแปลงจิตใจ นิกายไร้ขอบเขตควบคุมทั้งสองสิ่งซึ่งหมายความว่าพวกเขาคือผู้กำหนดว่าใครจะได้ไปยังจุดสูงสุดของการฝึกตนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้ใดต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินหรือด่านมหาราชันก็จะต้องเข้าร่วมนิกายไร้ขอบเขต เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลสายเลือดชั้นสูง
ทหารเผ่ามนุษย์เริ่มปล้นสะดมเขตแดนของสัตว์อสูรจนอิ่มหนำสำราญหลังจากช่วงพักผ่อนสั้น ๆ
ด้วยเมืองล่องนภาใต้การควบคุม การปล้นสะดมทรัพยากรนั้นง่ายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ทุกครั้งที่ปล้นสถานที่ใด พวกเขาจะเก็บทรัพยากรเหล่านั้นไว้ในเมืองล่องนภาก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่อไป ไม่พลาดทรัพยากรใดไว้แม้แต่น้อยราวกับฝูงตั๊กแตน ก็ไม่เชิงว่าทุกอย่างหรอก ซูเฉินสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาแตะต้องสมุนไพรที่ยังไม่โตเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายดินและสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจฟื้นคืนได้
ในขณะเดียวกัน การซ่อมบำรุงเมืองล่องนภาก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อเผ่ามนุษย์เป็นฝ่ายห้อมล้อมเมือง พวกเขาก็พยายามสร้างความเสียหายให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เมื่อมันตกอยู่ในมือของตนเอง คนเหล่านั้นก็เริ่มรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่กระทำไปก่อนหน้านี้
ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเข้าสู่ช่วงของการพัฒนาและความอุดมสมบูรณ์
หรือพวกเขาอาจสำเร็จไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะการบุกรุกของเทพอสูรทั้งหลาย
เทพอสูรจู่โจมเผ่ามนุษย์ 20 วันก่อนที่เผ่าปักษาจะประกาศยอมแพ้
ที่จริงแล้ว การโต้ตอบของสัตว์อสูรครั้งนี้นั้นเชื่องช้าทีเดียว
แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะทุกครั้งที่เทพอสูรถูกปลุกขึ้นมา พวกมันจะเข้าใกล้ความตายไปอีกก้าวหนึ่ง ไม่มีเทพอสูรตัวใดยินดีที่จะถูกปลุกขึ้นง่ายดายนัก แม้ว่าอสูรกายจะเป็นคนทำก็ตาม
แต่พวกมันก็ถูกปลุกขึ้นอยู่ดี และตอนนี้เทพอสูร 3 ตัวก็มาถึงจุดหมายอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว
ตัวหนึ่งดูเหมือนเพียงกลุ่มหมอกแปลกประหลาดที่มีเงาจาง ๆ แวบไปแวบมา แต่ร่างกายภาพของมันนั้นยังคงเป็นปริศนา
ตัวที่สองเป็นหอยกาบยักษ์ มันสูงตระหง่านขึ้นไปในท้องฟ้าราวกับผู้เขาขนาดมหึมา เปลือกของมันปิดแน่นสนิท อันที่จริง มันไม่อาจเคลื่อนไหวเองได้ มันต้องพึ่งพาเทพอสูรตัวที่ 3 ให้คอยลากไปมายังสถานที่ต่าง ๆ
เทพอสูรตัวที่สามคือตัวที่ดูปกติที่สุดในทั้งสามตัว
มันเป็นสิงโตยักษ์ แต่สิงโตตัวนี้ปกคลุมไปด้วยเกล็ดเป็นเงามัน หางของมันก็ยาวจนน่าเหลือเชื่อ และยังมีปากที่สองอยู่ข้างหลังที่เชื่อมกับปากบนหัวของมันอีกด้วย
ทันทีที่เทพอสูรทั้งสามปรากฏตัวขึ้น เสียงร้องเฉลิมฉลองที่ดังมาจากเมืองล่องนภาก็เงียบสงบลงและกลายเป็นบรรยากาศอึมครึมในทันใด
“งั้นพวกมันก็มาอยู่ดีสินะ และมาพร้อมกัน 3 ตัวด้วย ดูเหมือนพวกมันจะจริงจังกับเราไม่น้อยเลยนะ” หลี่ฉงซานถอนหายใจ
“ไม่แปลกหรอก เทพอสูรน่ะไม่ใช่พวกโง่ พวกมันไม่มีวันสู้กับเราตัวต่อตัวหรอก” ซูเฉินตอบด้วยความมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้ม
เขาคือผู้เดียวที่ยังสามารถหัวเราะออกมาได้ในสถานการณ์เช่นนี้
“พวกมันคืออิ๋นซา เซิ่นโหลว และผายซวน” กู่ฮุยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกมันมีชื่อหรือ? เจ้ามอบชื่อให้พวกมันเองหรือพวกมันมีมานานแล้ว?” ซูเฉินเอ่ยข้อสงสัยออกมา
กู่ฮุยหมิงตอบ “ชื่อพวกนี้มาจากพินัยกรรมต้นกำเนิด อ้อ พินัยกรรมต้นกำเนิดคือของสะสมที่เป็นบันทึกโบราณที่ถูกเขียนขึ้นระหว่างช่วงที่โลกสงบสุข และข้อมูลของมันก็เกี่ยวกับเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลเป็นหลัก แต่เพราะบันทึกพวกนี้ทั้งล้าหลังและมีทั้งตำนานและนิทานพื้นบ้าน ความแม่นยำจึงค่อนข้างต่ำทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสามารถสร้างข้อสรุปคร่าว ๆ ได้ และทั้งสามตัวก็อยู่ในหมวดหมู่นี้แน่นอน”
ซูเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไป “เข้าใจแล้ว งั้นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ก็จดบันทึกข้อมูลของเทพอสูรราว 1,000 ตัว และข้อมูลเหล่านั้นก็แม่นยำตราบใดที่พวกเราสามารถระบุตัวอสูรได้ใช่ไหม? ส่วนข้อมูลที่เราระบุตัวอสูรไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์หรือ?”
สีหน้าท่าทางของกู่ฮุยหมิงดูหมองหม่นลงเล็กน้อย
เจ้าช่วยพูดจาขวานผ่าซากน้อยกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?
ไม่ว่าจะมีข้อผิดพลาดอยู่ในพินัยกรรมต้นกำเนิดอยู่มากเพียงไร ข้อมูลของมันก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้
ซูเฉินเอ่ยขึ้น “บอกเรื่องความโดดเด่นของพวกมันให้ข้าอีกหน่อยสิ”
กู่ฮุยหมิงรีบตอบ “แม้ว่าอิ๋นซาจะเป็นเทพอสูร แต่มันไม่มีร่างกายภาพ ดังนั้นแล้วการโจมตีส่วนมากจะไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับมัน ด้วยข้อยกเว้นคือทักษะพลังจิตหรือกฎแห่งพลัง ไม่มีสิ่งใดที่ใช้ประโยชน์ได้เขียนไว้อีกแต่มันคงจะสามารถปกปิดตัวเองและลอบโจมตีได้ ทั้งความเร็วและพลังโจมตีของมันต่างก็ทรงพลังไม่น้อยเลย”
ซูเฉินสรุปคุณลักษณะเหล่านี้ลงเป็นคำคำเดียว “งั้นมันก็เป็นนักลอบสังหารสินะ”
กู่ฮุยหมิงตอบ “ใช่ เจ้าจะมองอย่างนั้นก็ได้ เซิ่นโหลวนั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่มันสามารถสร้างกายลวงตาที่หลอกล่อศัตรูเข้าไปในการโจมตี แม้ว่ามันจะขยับไม่ได้ การป้องกันของมันก็แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ มันยังครอบครองไข่มุกลวงตาไว้ในร่างกาย ไข่มุกนี้เป็นสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล และมันไม่เพียงสามารถขยายพลังภาพลวงตาได้ แต่ยังมอบความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้แก่ภาพลวงตาของเซิ่นโหลวอีกด้วย”
“ปรมาจารย์ภาพลวงตา” ซูเฉินขมวดคิ้ว
แม้ว่าชื่อ ‘ปรมาจารย์ภาพลวงตา’ จะไม่ได้ฟังดูน่าเกรงขามนัก แต่พวกมันก็อันตรายอย่างถึงที่สุดในสนามรบ เทพอสูรปรมาจารย์ภาพลวงตานั้นสามารถสร้างภาพอันน่าพิศวงแสนทรงพลังได้อย่างแน่นอน
เมื่อมนุษย์ต่อสู้กับเทพอสูร พวกเขาไม่เพียงพึ่งพาจำนวนที่มากกว่ามหาศาล แต่ยังพึ่งพาการประสานงานอันไร้ที่ติในการเพิ่มข้อได้เปรียบให้ถึงที่สุดอีกด้วย
ภาพลวงตาสามารถทำลายความเป็นปึกแผ่นนี้ได้
หากการประสานงานของกองทัพเผ่ามนุษย์ถูกรบกวน ค่ายกลของพวกเขาก็จะพังทลายลงและกองทัพก็จะระส่ำระสาย ณ จุดนั้น ข้อได้เปรียบจำนวนมากก็จะไร้ค่า
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินก็นึกได้ทันทีว่าหอยกาบยักษ์ตัวนี้คงจะอันตรายที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
กู่ฮุยหมิงอธิบายต่อไป “ส่วนผายซวนเป็นเทพอสูรทั่วไป”
กู่ฮุยหมิงอธิบายเทพอสูรตัวที่สามด้วยประโยคสั้นกะทัดรัด
เทพอสูรทั่วไปก็คือสัตว์อสูรที่ทรงพลังทางกายภาพเป็นอย่างมากนั่นเอง
พวกมันมักจะมีร่างกายขนาดยักษ์และแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เทพอสูร 7 หรือ 8 ตัวใน 10 ตัวก็เป็นเช่นนี้ ซึ่งก็คือเหตุผลที่พวกมันถูกเรียกว่า ‘ทั่วไป’
เหตุผลที่เทพอสูรประเภทนี้ธรรมดายิ่งนักเป็นเพราะพวกมันต้องพึ่งพาร่างกายที่ทรงพลังในการเอาชีวิตรอด
แน่นอนว่าวิธีการที่แตกต่างในการใช้ร่างกายของพวกมันนั้นไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก็มีให้เห็นอยู่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ถ้าไม่ใช้เขี้ยวฟันก็เป็นกรงเล็บหรือหนังสัตว์หนา ๆ …ตัวก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน แม้ว่ามันจะมีความเชี่ยวชาญในวิชาสายลม มันก็ใช้ร่างกายในการต่อสู้เป็นหลัก
แม้ว่าผายซวนจะมีลูกไม้ซ่อนอยู่ ทว่าการพึ่งพาร่างกายก็เป็นสิ่งจำเป็น ในเมื่อกู่ฮุยหมิงไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของมันเป็นพิเศษก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอธิบายต่อไป
ซูเฉินเข้าใจหลักการเบื้องหลังการส่งเทพอสูรทั้งสามมาทันทีเมื่อเขาได้ยินคำอธิบาย “พวกมันมาด้วยรูปแบบที่ดีทีเดียว โล่เนื้อ ผู้โจมตีระยะไกล และนักลอบสังหาร เป็นกลุ่มที่ดีอะไรอย่างนี้”
“สัตว์อสูรก็ไม่ได้โง่เขลาเสียทีเดียวหรอก” หลี่หวู่อี้กล่าวเพื่อเตือนซูเฉินถึงสิ่งที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้
“แต่พวกมันก็ดูถูกเราอยู่ดี” กู่ซินหรงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถล้มเทพอสูรเองได้แล้ว ในตอนนี้เมื่อมีเมืองล่องนภาอยู่ในกำมือและจำนวนของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่เพิ่มขึ้น พวกเขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถเอาชนะเทพอสูรทั้งสามได้
แต่ซูเฉินกลับเอ่ยเตือน “บางทีอาจจะไม่ ในเมื่อพวกเรามีเมืองล่องนภา เรายังมีทางเลือกอื่นอีกเมื่อมาถึงเรื่องยุทธศาสตร์ หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป เราก็สามารถหนีได้เสมอ ไม่นานหลังจากนั้นพวกมันก็จะหมดแรงและตาย”
นี่คือสิ่งที่เทพอสูรไม่อาจหักห้ามได้ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว พวกมันจะต้องตายในไม่ช้าก็เร็ว
นี่ยังเป็นข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกมันอีกด้วย
หากศัตรูของพวกมันฉลาดพอ พวกเขาก็สามารถเอาชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้เสียด้วยซ้ำ ตราบใดที่พวกเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ออกไป เทพอสูรก็จะสิ้นลมหายใจด้วยตัวเองในอีกไม่ช้า
นี่คือเหตุผลที่เทพอสูรทั้งหลายหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานมหาศาลเพื่อทำลายศัตรูในตอนนี้ หากพวกมันปลุกสัตว์อสูรขึ้น 7 หรือ 8 ตัว ศัตรูของพวกมันก็สามารถหนีไปได้สักสัปดาห์หนึ่ง ทำให้พวกมันได้ต้องสูญเสียพลังงานปริมาณมากไปโดยไร้ประโยชน์
จูเซียนเหยายังไม่เข้าใจ “ทำไมเราถึงไม่หนีถ้ามี 3 ตัวล่ะ? คงจะดีกว่าหากเราไม่ต้องสู้เลยสักนิด”
ซูเฉินส่ายหน้าไปมา “พวกมันอาจตามเราไม่ทัน แต่พวกมันยังสามารถบุกรุกเขตแดนของเผ่ามนุษย์ได้”
การไม่ต่อสู้จะเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
เทพอสูรที่ไม่มีเป้าหมายจะอนุญาตให้ตัวเองตายไปโดยไร้ความหมาย มันจะต้องมุ่งหน้าไปยังชายแดนเผ่ามนุษย์เพื่อก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน นี่ก็เป็นสิ่งที่ซูเฉินและพรรคพวกไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว มนุษย์จะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
เทพอสูรสามตัวเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับมนุษย์และเมืองล่องนภา ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีโอกาสในการคว้าชัยชนะที่เท่าเทียมกัน
เมื่อโอกาสแห่งชัยชนะเท่ากันเท่านั้นที่ทั้งสองฝ่ายจะอยากต่อสู้มากที่สุด
นี่คือเหตุผลที่เทพอสูรทั้งสามปรากฏขึ้นพร้อมกัน
“แน่นอนว่าพวกมันอาจพาพวกตัวเล็กตัวน้อยมากด้วย อย่างราชันจักรพรรดิอสูรที่หลบหนีไปได้หรือเศษซากที่เหลือจากฝูงอสูรกาย” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบางขณะที่จ้องมองไกลออกไป
เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ต่อสู้กับเหยี่ยวสีทองด้วยตัวเองมาโดยตลอดเพราะมันได้ถูกปลุกขึ้นมาโดยเผ่าวิญญาณ
แต่ในตอนนี้ ซูเฉินไม่เชื่อว่าเทพอสูรทั้งสามจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าอสูรกายแม้แต่น้อย
แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น ซูเฉินก็รู้ดีว่าพวกมันอยู่ใกล้ ๆ
“อ้อ เกือบลืมเรื่องอสูรกายที่เหลือไปเลย” กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ ต่างทำหน้านิ่วขณะที่ครุ่นคิด
เทพอสูรทั้งสามนั้นรับมือยากอยู่แล้ว การมีอสูรกายเพิ่มเติมนั้นมีแต่จะเพิ่มแรงกดดันเท่านั้น
แต่ซูเฉินนั้นดูไร้กังวล “แบบนี้ดีกว่า หากพวกมันไม่มั่นใจในชัยชนะ พวกมันจะโผล่หน้ามาทำไม? อย่างไรแล้วพวกเราก็มั่นใจว่าเราจะชนะเช่นกัน อย่าลืมว่ากองทัพยักษ์ของพวกเราไม่เคยเปิดเผยตนเองในสงครามกับสัตว์อสูรครั้งก่อนนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของทุกคนก็ลุกเป็นประกาย
ซูเฉินเก็บกองทัพยักษ์ไว้เป็นความลับเพื่อสงครามระหว่างเผ่าปักษา จนกระทั่งพวกเขาโจมตีเมืองล่องนภาจริง ๆ ที่เขาใช้กองทัพเพื่อยึดวิหารแห่งพระแม่และทำลายกำลังสนับสนุน
ดังนั้น สัตว์อสูรจึงไม่รู้ถึงไพ่ตายใบนี้แม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บซ่อนมันไว้อีกต่อไป
ด้วยการโบกมือเพียงเล็กน้อย กองทัพยักษ์ก็จะสำแดงตน
“วิชาภาพลวงตาของเซิ่นโหลวสามารถรบกวนค่ายกลของเราได้ไม่ยาก กองทัพเผ่ามนุษย์จึงต้องใช้ค่ายกลผนึกเซียนเพื่อขัดขวางผายซวน และเซิ่นโหลวจะถูกกองทัพยักษ์จัดการ”
เพราะพวกมันเป็นหุ่นเชิด หุ่นเชิดยักษ์นั้นเหมาะสมที่จะตอบโต้เซิ่นโหลวที่สุด แม้ว่ามันจะทรงพลัง ทักษะของมันก็ไร้ประโยชน์ต่อหุ่นเชิด
“แล้วอิ๋นซาล่ะ?” เฟิงจู่อิ่งถาม
“อิ๋นซาหรือ?” มุมปากของซูเฉินยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจ “ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”